SIPA ชี้อุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยโตสวนกระแส ศก. ระบุปัญหาที่ผ่านมาเข้าถึงแหล่งทุนยาก แบงก์ไม่กล้าปล่อยกู้ทรัพย์สินจากสมอง ล่าสุด จับมือ “เอสเอ็มอีแบงก์” คัดกรองและรับรองผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ ผลักดันเข้าถึงแหล่งทุน
ดร.รุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA เผยว่า แม้เศรษฐกิจปัจจุบันจะชะลอตัว แต่สำหรับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยสามารถเติบโตสวนกระแส โดยปีที่ผ่านมา (2551) ด้านซอฟต์แวร์ โตขึ้นร้อยละ 5-6 ส่วนดิจิตอล คอนเทนท์ และแอดิเมชั่น โตขึ้นร้อยละ 15-16
อย่างไรก็ตาม ที่แล้วมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ แทบทั้งหมดจะมีปัญหาเดียวกัน คือ ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินได้ เนื่องจากธุรกิจซอฟต์แวร์ และดิจิตอล คอนเทนท์ ไม่มีหลักทรัพย์ที่จะใช้ค้ำประกันเหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จะมีที่ดิน หรือเครื่องจักรเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับสถาบันการเงิน แต่สำหรับผู้ประกอบด้านซอฟต์แวร์ฯ ทรัพย์สินจะเป็นลักษณะของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจับต้องได้ยาก ประเมินมูลค่าลำบาก ดังนั้น สถาบันการเงินต่างๆ จึงไม่กล้าจะปล่อยเงินกู้
ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว SIPA ได้ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ทำโครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
ดร.รุ่งเรือง อธิบายต่อว่า ความร่วมมือดังกล่าว ทาง SIPA จะทำหน้าที่ประสาน และคัดกรองผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ มีความน่าเชื่อถือส่งต่อให้เอสเอ็มอีแบงก์ พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยแบ่งความช่วยเหลือเป็น 4 แนวทาง ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้มแข็งอยู่แล้ว มีความประวัติและผลงานชัดเจน แต่ขาดสภาพคล่องที่จะไปดำเนินธุรกิจ 2. ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่มีไอเดียดี ต้องการทุนพัฒนาธุรกิจ ซึ่ง SIPA จะรับรองกลุ่มนี้ โดยจัดประกวดรางวัล หรือจัดอันดับเพื่อสร้างความมั่นใจให้ธนาคาร 3. บริษัทเล็กๆ ที่ขณะนี้ได้ร่วมทุนกับ SIPA อยู่แล้ว และ 4. ทั้งสองหน่วยงานจะจัดอบรมความรู้เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงระบบบริหารจัดการการเงินได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ วางเป้าว่า เบื้องต้นจะมีผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยได้ประโยชน์จากโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 80 ราย
ด้านนางปรียาพันธุ์ ปิยะอนันต์ รองกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ เผยว่า วงเงินที่จะอนุมัติต่อรายได้สูงสุดตามอัตราของธนาคาร โดยจะพิจารณาจากความขีดความสามารถของผู้ประกอบการแต่ละราย ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้น ขณะนี้กำลังเจรจากับ SIPA ซึ่งคาดว่าจะเป็นอัตราพิเศษ ต่ำกว่าลูกค้าธรรมดาทั่วไป
ดร.รุ่งเรือง ลิ้มชูปฏิภาณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ SIPA เผยว่า แม้เศรษฐกิจปัจจุบันจะชะลอตัว แต่สำหรับอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยสามารถเติบโตสวนกระแส โดยปีที่ผ่านมา (2551) ด้านซอฟต์แวร์ โตขึ้นร้อยละ 5-6 ส่วนดิจิตอล คอนเทนท์ และแอดิเมชั่น โตขึ้นร้อยละ 15-16
อย่างไรก็ตาม ที่แล้วมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้ แทบทั้งหมดจะมีปัญหาเดียวกัน คือ ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนของสถาบันการเงินได้ เนื่องจากธุรกิจซอฟต์แวร์ และดิจิตอล คอนเทนท์ ไม่มีหลักทรัพย์ที่จะใช้ค้ำประกันเหมือนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จะมีที่ดิน หรือเครื่องจักรเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันกับสถาบันการเงิน แต่สำหรับผู้ประกอบด้านซอฟต์แวร์ฯ ทรัพย์สินจะเป็นลักษณะของทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งจับต้องได้ยาก ประเมินมูลค่าลำบาก ดังนั้น สถาบันการเงินต่างๆ จึงไม่กล้าจะปล่อยเงินกู้
ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว SIPA ได้ร่วมกับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ทำโครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้
ดร.รุ่งเรือง อธิบายต่อว่า ความร่วมมือดังกล่าว ทาง SIPA จะทำหน้าที่ประสาน และคัดกรองผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ มีความน่าเชื่อถือส่งต่อให้เอสเอ็มอีแบงก์ พิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยแบ่งความช่วยเหลือเป็น 4 แนวทาง ได้แก่ 1.ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้มแข็งอยู่แล้ว มีความประวัติและผลงานชัดเจน แต่ขาดสภาพคล่องที่จะไปดำเนินธุรกิจ 2. ผู้ประกอบการรายเล็กๆ ที่มีไอเดียดี ต้องการทุนพัฒนาธุรกิจ ซึ่ง SIPA จะรับรองกลุ่มนี้ โดยจัดประกวดรางวัล หรือจัดอันดับเพื่อสร้างความมั่นใจให้ธนาคาร 3. บริษัทเล็กๆ ที่ขณะนี้ได้ร่วมทุนกับ SIPA อยู่แล้ว และ 4. ทั้งสองหน่วยงานจะจัดอบรมความรู้เพื่อให้ผู้ประกอบการเข้าใจถึงระบบบริหารจัดการการเงินได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ วางเป้าว่า เบื้องต้นจะมีผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ไทยได้ประโยชน์จากโครงการนี้ไม่น้อยกว่า 80 ราย
ด้านนางปรียาพันธุ์ ปิยะอนันต์ รองกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ เผยว่า วงเงินที่จะอนุมัติต่อรายได้สูงสุดตามอัตราของธนาคาร โดยจะพิจารณาจากความขีดความสามารถของผู้ประกอบการแต่ละราย ส่วนอัตราดอกเบี้ยนั้น ขณะนี้กำลังเจรจากับ SIPA ซึ่งคาดว่าจะเป็นอัตราพิเศษ ต่ำกว่าลูกค้าธรรมดาทั่วไป
