ASTVผู้จัดการรายวัน - กพช.คลอด 5 มาตรการดูแลผลกระทบน้ำมันแพงรวมมูลค่าการใช้จ่าย 3.725 หมื่นล้าน ลดราคาดีเซล 2 บาทต่อลิตร บี 5 ลง 40 สตางค์ต่อลิตร ตรึงแอลพีจี เอ็นจีวี ค่าไฟ ยาว 1 ปีถึง ส.ค. 53 แย้มหากน้ำมันดิบเกิน 80 เหรียญต่อบาร์เรล อาจลดภาษี
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานวานนี้(10ส.ค.) ว่า กพช.เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นเพื่อลดภาระแก่ประชาชน 5 มาตรการ รวมเป็นมูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมด 3.752 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) วันนี้ (11ส.ค.) เพื่อพิจารณาโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมดให้สอดคล้องกับมติ กพช.ครั้งนี้เพื่อเสนอลงราชกิจจานุเบกษาให้มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันลดลงภายในสัปดาห์นี้
สำหรับ 5 มาตรการประกอบด้วย 1. ลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนของดีเซล(บี2 ) ควบคู่กับกองทุนเพื่อส่งเสริการอนุรักษ์พลังงาน โดยลดอตราการเก็บเงินเขากองทุนอนุรักษ์ฯของเบนซิน 0.50 บาท/ลิตร และดีเซล 0.70 บาท/ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกดีเซลดลง 0.75 บาท/ลิตร พร้อมปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนดีเซลลง 1.17 บาท/ิตร จาก1.70 บาท/ลิตร เหลือ 0.53 บาท/ลิตรเพื่อให้ราคาขายปลีกลดลง 1.25 บาท/ลิตร ซึ่งเมื่อรวมเงินเข้าทั้งสองกองทุนฯดังกล่าวจะทำให้ลดราคาขายปลีกดีเซลได้ 2 บาท/ลิตร พร้อมกันนี้จะปรับอัตราชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซล(บี 5 ) อีก 0.58 บาท/ลิตรจากชดเชย 0.23 บาท/ลิตร เป็น 0.81 บาท/ลิตร เพื่อทำให้ส่วนต่างราคาบี 5 กับบี 2 ต่างกัน 1.20 บาทต่อลิตร และทำให้ขายปลีกลดลง 40 สตางค์ต่อลิตร
มาตรการที่ 2. ตรึงราคาแอลพีจี(ก๊าซหุงต้ม) ยาว 1 ปีจากส.ค. 52 สิ้นสุด 31 ก.ค.2553 ,มาตรการที่ 3. ตรึงราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม 1 ปีเช่นเดียวกับแอลพีจี , มาตรการที่ 4. การปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ยังคงใช้แอลพีจี อยู่ถึง 30,000 คัน หันมาใช้ NGV โดยจะสนับนุนโครงารเปลี่ยนแท็กซี่ป็นเอ็นจีวี 3 หมื่นคัน ภายใน 4 เดือนวงเงินรวม 1,200 ล้านบาท มาตรการที่ 5 ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)ระดับ 92.55 ตางค์/หน่วย 1 ปีถึงส.ค. 2553
โดยการยืดการชำระหนี้กฟผ.ออกไปคิดเป็นภาระที่จะรับเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาทจากเดิมที่แบกรับอยู่แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาทรวมเป็นแบกภาระรวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
“ 5 มาตรการดังกล่าวรวมวงเงินเพื่อการสนับจากกองทุน้ำมันฯ ทั้งสิ้น 27,530 ล้านบาท หรือ 2,494 ล้kนบาท/เดือน แบ่งเป็นจากลดราคานำมันดีเซล 1,154 ล้านบท/เดือน ตรึงราคา LPG 740 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคา NGV 300 ล้นบาท/เดือน และโครงการเปลี่ยนแท็กซีเป็นเอ็นจีวี 30,000 คัน 4 เดือน 300 ล้านบาท/เดือน โดยปัจุบันกองุนน้ำมันฯ มีเงินสดหมุนเวีน 3,104 ล้านบาท/เดือนการสนับสนุนมาตรกรดังกล่วจะทำให้รายรับจากองทุนนำมันฯ ลดง 2,494 ล้าบาท/เดือน เหลือเงินสดหมุนเวียน 610 ล้านบาท/เดือน และ จาก กฟผ.รับภาระยืดเลาการจ่ยคืนค่า Ft ของปรชาชนประมาณ 10,000 ล้นบาทรวมเป็น 3.752 หมื่นล้านบาท”รมว.พลังงานกล่าว
****ก๊อก 2 น้ำมันเกิน 80 เหรียญลดภาษี
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวคิดจากฐานราคาน้ำมันดิบที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบเกิน 80 เหรียญต่อบาร์เรลจึงจะหันมาพิจารณามาตรการทางด้านภาษีเพื่อดูแลผลกระทบให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามส่วนของกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่เก็บสะสมไว้สร้างรถไฟฟ้าจะมีการหารือในการประชุมกพช.วันที่ 24 ส.ค. ที่จะโยกเงินที่สะสมไว้ประมาณ 7,000ล้านบาทมาไว้ที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทน
*****อุ้มดีเซลไม่เกิน 30 บ.แค่ ต.ค.
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานกล่าวว่า การที่รัฐได้ลดราคาขายปลีกดีเซล 2 บาทต่อลิตรคาดว่าจะมีผลให้ตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรได้เพียงช่วงต.ค.-พ.ย.เท่านั้นเนื่องจากราคาดีเซลตลาดโลกช่วงสิ้นปีจะมีราคาสูงเพราะประเทศสหรัฐฯและยุโรปจะมีความต้องการนำไปทำความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว
****ปตท.ทวงจ่ายหนี้อุ้มแอลพีจีเก่า
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. กล่าวว่านโยบายในการตรึงราคาแอลพีจีจนถึงส.ค. 2553 จะทำให้ปริมาณการนำเข้าแอลพีจียังมีต่อเนื่องเฉลี่ย 6-8 หมื่นตัน/เดือนและบางเดือนจะสูงถึง 1แสนตัน ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการนำเข้าแอลพีจีจะแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาทภายในเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2552 นี้ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ และปตท.ไม่สามารถขออนุมัติวงเงินในการรับภาระกับที่ประชุมคณะกรรมการปตท. ได้อีก ดังนั้นภาครัฐจะต้องทยอยจ่ายคืนหนี้ในการนำเข้าแอลพีจีแต่ละเดือนไม่ควรต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นในส่วนของหนี้ใหม่ทีเกิดขึ้นในปี 2552 ขณะที่ภาระหนี้เก่าในปี 2551 ก็ต้องทยอยจ่ายคืนตามกำหนดระยะเวลาด้วย
*** บางจากฯเชื่อยอดการใช้บี5 ไม่ลด
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯพร้อมที่จะปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลทันที 2 บาท/ลิตร เมื่อรัฐลดการเก็บเงินเข้ากองทุน ซึ่งมองว่าเป็นความตั้งใจดีของรัฐบาลที่ต้องการช่วยแบ่งเบาภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว
ส่วนราคาน้ำมันบี 5 ถูกกว่าดีเซลเพียง 1.20 บาท/ลิตร เชื่อว่ายอดการใช้บี 5 คงไม่ลดลงมาก เนื่องจากราคาบี 5 ต่ำกว่าบี 2 เกิน 1 บาท/ลิตร เพียงแต่ผู้ที่ใช้ดีเซลจะเปลี่ยนใจมาใช้บี 5 คงไม่เพิ่มขึ้นเพราะแรงจูงใจด้านราคาน้อย ซึ่งก็เห็นใจรัฐบาลที่ต้องลดการจัดเก็บเงินกองทุนฯค่อนข้างมาก และมองว่ารัฐบาลก็พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แนวโน้มราคาน้ำมันโลกมีโอกาจะปรับขึ้นประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/บาเรล หรือคิดเป็น 2 บาท/ลิตร หากรัฐอุ้มราคาดีเซล 2 บาท เชื่อว่าปลายปีนี้ราคาน้ำมันดีเซลคงไม่ถึง 30 บาท/ลิตร ส่วนเบนซินหากรัฐไม่เข้าไปแตะก็คงอยู่ที่ระดับ 33 บาท/ลิตร
สำหรับความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปีนี้คาดว่าดีมานด์จะลดลง 1.5-2 ล้านบาเรล/วัน เนื่องจากมีปริมาณการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางและอินเดีย ทำให้มีปริมาณน้ำมันเกินความต้องการอยู่มาก ช่วยกดราคาน้ำมันไม่ให้สูง มีผลทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ความต้องการใช้แก๊สโซฮอล์และเบนซินในช่วงครึ่งปีแรกพบว่าสูง 4-5% แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้ยอดการใช้จะลดลง4-5% และดีเซลการใช้ลดลง 8% เพราะราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นและเข้าสู่ช่วงฤดูฝน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุม กพช.ว่า มาตรการที่ได้รับการเห็นชอบคือจะดำเนินการบริหารกองทุนน้ำมัน และกองทุนเพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมพลังงานให้ลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 2 บาท ส่วนรายละเอียดว่าแต่ละกองทุนจะลดอย่างไรนั้น จะมีการชี้แจง และยังเห็นชอบการตรึงราคาก๊าซแอลพีจี และก๊าซเอ็นจีวี และค่าเอฟที ไปจนถึงเดือนส.ค.53 เพื่อลดภาระให้ประชาชน อีกทั้งจะมีมาตรการช่วยเหลือแท๊กซี่ คือสนับสนุนให้เปลี่ยนมาใช้ เอ็นจีวี โดยไม่มีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ มาตรการราคาน้ำมันดีเซล ยังไม่มีผลในทันที เพราะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมครม.ในวันนี้ (11ส.ค.) ก่อน.
น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงาน เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานวานนี้(10ส.ค.) ว่า กพช.เห็นชอบมาตรการบรรเทาผลกระทบจากราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นเพื่อลดภาระแก่ประชาชน 5 มาตรการ รวมเป็นมูลค่าการใช้จ่ายทั้งหมด 3.752 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงาน (กบง.) วันนี้ (11ส.ค.) เพื่อพิจารณาโครงสร้างราคาพลังงานทั้งหมดให้สอดคล้องกับมติ กพช.ครั้งนี้เพื่อเสนอลงราชกิจจานุเบกษาให้มีผลต่อราคาขายปลีกน้ำมันลดลงภายในสัปดาห์นี้
สำหรับ 5 มาตรการประกอบด้วย 1. ลดอัตราเงินเก็บเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงส่วนของดีเซล(บี2 ) ควบคู่กับกองทุนเพื่อส่งเสริการอนุรักษ์พลังงาน โดยลดอตราการเก็บเงินเขากองทุนอนุรักษ์ฯของเบนซิน 0.50 บาท/ลิตร และดีเซล 0.70 บาท/ลิตร เพื่อให้ราคาขายปลีกดีเซลดลง 0.75 บาท/ลิตร พร้อมปรับลดเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ส่วนดีเซลลง 1.17 บาท/ิตร จาก1.70 บาท/ลิตร เหลือ 0.53 บาท/ลิตรเพื่อให้ราคาขายปลีกลดลง 1.25 บาท/ลิตร ซึ่งเมื่อรวมเงินเข้าทั้งสองกองทุนฯดังกล่าวจะทำให้ลดราคาขายปลีกดีเซลได้ 2 บาท/ลิตร พร้อมกันนี้จะปรับอัตราชดเชยสำหรับน้ำมันดีเซล(บี 5 ) อีก 0.58 บาท/ลิตรจากชดเชย 0.23 บาท/ลิตร เป็น 0.81 บาท/ลิตร เพื่อทำให้ส่วนต่างราคาบี 5 กับบี 2 ต่างกัน 1.20 บาทต่อลิตร และทำให้ขายปลีกลดลง 40 สตางค์ต่อลิตร
มาตรการที่ 2. ตรึงราคาแอลพีจี(ก๊าซหุงต้ม) ยาว 1 ปีจากส.ค. 52 สิ้นสุด 31 ก.ค.2553 ,มาตรการที่ 3. ตรึงราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์หรือเอ็นจีวีที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม 1 ปีเช่นเดียวกับแอลพีจี , มาตรการที่ 4. การปรับเปลี่ยนรถแท็กซี่ที่ยังคงใช้แอลพีจี อยู่ถึง 30,000 คัน หันมาใช้ NGV โดยจะสนับนุนโครงารเปลี่ยนแท็กซี่ป็นเอ็นจีวี 3 หมื่นคัน ภายใน 4 เดือนวงเงินรวม 1,200 ล้านบาท มาตรการที่ 5 ตรึงค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ(เอฟที)ระดับ 92.55 ตางค์/หน่วย 1 ปีถึงส.ค. 2553
โดยการยืดการชำระหนี้กฟผ.ออกไปคิดเป็นภาระที่จะรับเพิ่มอีก 1 หมื่นล้านบาทจากเดิมที่แบกรับอยู่แล้วประมาณ 2 หมื่นล้านบาทรวมเป็นแบกภาระรวมประมาณ 3 หมื่นล้านบาท
“ 5 มาตรการดังกล่าวรวมวงเงินเพื่อการสนับจากกองทุน้ำมันฯ ทั้งสิ้น 27,530 ล้านบาท หรือ 2,494 ล้kนบาท/เดือน แบ่งเป็นจากลดราคานำมันดีเซล 1,154 ล้านบท/เดือน ตรึงราคา LPG 740 ล้านบาท/เดือน ตรึงราคา NGV 300 ล้นบาท/เดือน และโครงการเปลี่ยนแท็กซีเป็นเอ็นจีวี 30,000 คัน 4 เดือน 300 ล้านบาท/เดือน โดยปัจุบันกองุนน้ำมันฯ มีเงินสดหมุนเวีน 3,104 ล้านบาท/เดือนการสนับสนุนมาตรกรดังกล่วจะทำให้รายรับจากองทุนนำมันฯ ลดง 2,494 ล้าบาท/เดือน เหลือเงินสดหมุนเวียน 610 ล้านบาท/เดือน และ จาก กฟผ.รับภาระยืดเลาการจ่ยคืนค่า Ft ของปรชาชนประมาณ 10,000 ล้นบาทรวมเป็น 3.752 หมื่นล้านบาท”รมว.พลังงานกล่าว
****ก๊อก 2 น้ำมันเกิน 80 เหรียญลดภาษี
น.พ.วรรณรัตน์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวคิดจากฐานราคาน้ำมันดิบที่ 70 เหรียญต่อบาร์เรล ซึ่งหากราคาน้ำมันดิบเกิน 80 เหรียญต่อบาร์เรลจึงจะหันมาพิจารณามาตรการทางด้านภาษีเพื่อดูแลผลกระทบให้กับประชาชน อย่างไรก็ตามส่วนของกองทุนเพื่อการอนุรักษ์พลังงานที่เก็บสะสมไว้สร้างรถไฟฟ้าจะมีการหารือในการประชุมกพช.วันที่ 24 ส.ค. ที่จะโยกเงินที่สะสมไว้ประมาณ 7,000ล้านบาทมาไว้ที่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงแทน
*****อุ้มดีเซลไม่เกิน 30 บ.แค่ ต.ค.
แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงานกล่าวว่า การที่รัฐได้ลดราคาขายปลีกดีเซล 2 บาทต่อลิตรคาดว่าจะมีผลให้ตรึงราคาดีเซลไว้ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตรได้เพียงช่วงต.ค.-พ.ย.เท่านั้นเนื่องจากราคาดีเซลตลาดโลกช่วงสิ้นปีจะมีราคาสูงเพราะประเทศสหรัฐฯและยุโรปจะมีความต้องการนำไปทำความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว
****ปตท.ทวงจ่ายหนี้อุ้มแอลพีจีเก่า
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. กล่าวว่านโยบายในการตรึงราคาแอลพีจีจนถึงส.ค. 2553 จะทำให้ปริมาณการนำเข้าแอลพีจียังมีต่อเนื่องเฉลี่ย 6-8 หมื่นตัน/เดือนและบางเดือนจะสูงถึง 1แสนตัน ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการนำเข้าแอลพีจีจะแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาทภายในเดือนพ.ย.-ธ.ค. 2552 นี้ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้ และปตท.ไม่สามารถขออนุมัติวงเงินในการรับภาระกับที่ประชุมคณะกรรมการปตท. ได้อีก ดังนั้นภาครัฐจะต้องทยอยจ่ายคืนหนี้ในการนำเข้าแอลพีจีแต่ละเดือนไม่ควรต่ำกว่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นในส่วนของหนี้ใหม่ทีเกิดขึ้นในปี 2552 ขณะที่ภาระหนี้เก่าในปี 2551 ก็ต้องทยอยจ่ายคืนตามกำหนดระยะเวลาด้วย
*** บางจากฯเชื่อยอดการใช้บี5 ไม่ลด
นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯพร้อมที่จะปรับลดราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลทันที 2 บาท/ลิตร เมื่อรัฐลดการเก็บเงินเข้ากองทุน ซึ่งมองว่าเป็นความตั้งใจดีของรัฐบาลที่ต้องการช่วยแบ่งเบาภาระด้านพลังงานให้กับประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว
ส่วนราคาน้ำมันบี 5 ถูกกว่าดีเซลเพียง 1.20 บาท/ลิตร เชื่อว่ายอดการใช้บี 5 คงไม่ลดลงมาก เนื่องจากราคาบี 5 ต่ำกว่าบี 2 เกิน 1 บาท/ลิตร เพียงแต่ผู้ที่ใช้ดีเซลจะเปลี่ยนใจมาใช้บี 5 คงไม่เพิ่มขึ้นเพราะแรงจูงใจด้านราคาน้อย ซึ่งก็เห็นใจรัฐบาลที่ต้องลดการจัดเก็บเงินกองทุนฯค่อนข้างมาก และมองว่ารัฐบาลก็พยายามอย่างดีที่สุดแล้ว แนวโน้มราคาน้ำมันโลกมีโอกาจะปรับขึ้นประมาณ 10 เหรียญสหรัฐ/บาเรล หรือคิดเป็น 2 บาท/ลิตร หากรัฐอุ้มราคาดีเซล 2 บาท เชื่อว่าปลายปีนี้ราคาน้ำมันดีเซลคงไม่ถึง 30 บาท/ลิตร ส่วนเบนซินหากรัฐไม่เข้าไปแตะก็คงอยู่ที่ระดับ 33 บาท/ลิตร
สำหรับความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลกปีนี้คาดว่าดีมานด์จะลดลง 1.5-2 ล้านบาเรล/วัน เนื่องจากมีปริมาณการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลางและอินเดีย ทำให้มีปริมาณน้ำมันเกินความต้องการอยู่มาก ช่วยกดราคาน้ำมันไม่ให้สูง มีผลทำให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวดีขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ความต้องการใช้แก๊สโซฮอล์และเบนซินในช่วงครึ่งปีแรกพบว่าสูง 4-5% แต่เชื่อว่าครึ่งปีหลังนี้ยอดการใช้จะลดลง4-5% และดีเซลการใช้ลดลง 8% เพราะราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นและเข้าสู่ช่วงฤดูฝน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุม กพช.ว่า มาตรการที่ได้รับการเห็นชอบคือจะดำเนินการบริหารกองทุนน้ำมัน และกองทุนเพื่อการอนุรักษ์และส่งเสริมพลังงานให้ลดราคาน้ำมันดีเซลลงลิตรละ 2 บาท ส่วนรายละเอียดว่าแต่ละกองทุนจะลดอย่างไรนั้น จะมีการชี้แจง และยังเห็นชอบการตรึงราคาก๊าซแอลพีจี และก๊าซเอ็นจีวี และค่าเอฟที ไปจนถึงเดือนส.ค.53 เพื่อลดภาระให้ประชาชน อีกทั้งจะมีมาตรการช่วยเหลือแท๊กซี่ คือสนับสนุนให้เปลี่ยนมาใช้ เอ็นจีวี โดยไม่มีภาระค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ มาตรการราคาน้ำมันดีเซล ยังไม่มีผลในทันที เพราะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมครม.ในวันนี้ (11ส.ค.) ก่อน.
