xs
xsm
sm
md
lg

นักวิชาการถล่ม"พาณิชย์" มั่วข้อมูลข้าวปนแคดเมียม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - นักวิชาการจวกซ้ำ ข้าวปนเปื้อนแคดเมียมพบข้อมูลมั่วหลายจุด ถามกลับปัญหาจิ๊บจ๊อยแต่ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ มีเป้าหมายทุบราคาข้าวหรือแค่การทำประชาสัมพันธ์แบบใช้จินตนาการ “ผาแดงฯ”เผยพื้นที่ปลูกข้าวปนเปื้อนเหลือน้อยลง หลังตั้งโรงงานผลิตเอทานอลที่ตาก ส่งเสริมให้คนในพื้นที่หันมาปลูกอ้อยแทน

นายอนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทยกล่าวถึง กรณีที่นายธนพร ศรียากูล ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ ออกมาให้ข่าวผ่านสื่อมวลชน ถึงการตรวจพบข้าวปนเปื้อนสารแคดเมียมเกินกว่ามาตรฐานที่กำหนด พื้นที่แม่ตาว อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อวันจันทร์ที่ 3 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า   ข้าวที่ผลิตในไทยมีพื้นที่ถึง 60 ล้านไร่ แต่พื้นที่ที่ปลูกในอ.แม่สอด จ.ตากนั้นมีเพียงหมื่นไร่ผลิตได้ 4,000-5,000ตันเท่านั้น และที่อยู่ใกล้การทำเหมืองแร่สังกะสีและแร่เหล็กจริงๆ ยิ่งมีน้อยกว่านั้น และส่วนใหญ่ทำเพื่อการบริโภคไม่ให้มีการจำหน่ายออกสู่ตลาด  ขณะที่ข้าวที่ไทยผลิตเพื่อส่งออกที่มีมากถึง 10 ล้านตัน จึงเท่ากับเป็นการทำลายชื่อเสียงการส่งออกข้าวไทยและเกษตรกรไทย

“  การออกมาระบุปัญหาดังกล่าวโดยไม่วิเคราะห์ถึงผลกระทบต่อภาคการส่งออกข้าวไทย ถือเป็นการกระทำที่มีเจตนาในการทุบราคาข้าวของไทยหรือไม่ หรือเป็นเพียงการทำงานแบบใช้การจิตนาการไปเอง โดยไม่มีการศึกษาให้ถ่องแท้ ขอเพียงแค่จะทำการประชาสัมพันธ์ ซึ่งการออกมาพูดก็ไม่ชัดว่า เป็นข้าวหอมมะลิที่ปนเปื้อนก็ยังไม่แน่ใจ เพราะที่ทราบจ.ตากเป็นพื้นที่ทำนาปีผลผลิตจะออกมาอีกครั้งก็พ.ย.-ธ.ค.จึงไม่แน่ใจว่าเป็นข้าวฤดูการผลิตปีไหนที่พบ”นายอนันต์กล่าว

ทั้งนี้ หากพบว่าพื้นที่ดังกล่าวมีสารปนเปื้อนเกินมาตรฐานจริง ก็ควรจะวิเคราะห์ลงลึกแล้วร่วมมือกันแก้ไข โดยเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกิดการปนเปื้อน ซึ่งเคยมีการศึกษาว่าควรจะส่งเสริมการปลูกพืชอื่น โดยเฉพาะอ้อยแต่จะต้องนำไปผลิตเป็นเอทานอลเท่านั้นซึ่งทราบว่ามีการดำเนินการอยู่แล้วดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรควรจะต้องมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ที่มองปัญหาภาพรวมทุกพื้นที่ในการจัดสรรการปลูกพืชเกษตรให้เหมาะสมกับพื้นที่

***ชี้การปนเปื้อนควรพิสูจน์ให้ชัดก่อน
แหล่งข่าวจากกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า  พื้นที่การทำเหมืองในบริเวณ อ.แม่สอด จ.ตาก มีเพียงธุรกิจเหมืองสังกะสีที่มีการออกประทานบัตรการทำเหมืองให้ไป 2 บริษัท คือ บริษัทผาแดงอินดัสตรี จำกัด(มหาชน) กับบริษัทตากไมนิ่ง จำกัด แต่ปัจจุบันมีเพียงผาแดงที่ทำการผลิต ขณะที่บริษัทตากไมนิ่งฯปิดการดำเนินการไปนานแล้ว

“ ที่ผ่านมา มีการต่ออายุประทานบัตรให้แก่ผาแดงในการทำเหมือง และมีข้อกำหนดในการดูแลปัญหาดังกล่าวชัดเจน และทำให้บริษัทมีการทำรายงานผลกระทบอย่างเข้มข้นค่อนข้างมาก โดยเฉพาะแผนการจัดการด้านสารปนเปื้อนที่กระทบกับข้าวที่เกิดปัญหาในช่วงปี 2545-2546 และมีการควบคุมมาต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินการคุมการปลูกที่ผลิตออกมาไม่ให้สู่ตลาด แต่เป็นแค่การบริโภคในครัวเรือนและส่งเสริมให้ปลูกข้าวแทนอ้อยไปผลิตเอทานอลไม่ให้นำมาผลิตเป็นน้ำตาล เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวแล้ว “แหล่งข่าวกล่าว

ทั้งนี้ ข่าวที่ออกมาสร้างความรู้สึกแปลกใจพอสมควร เพราะปัญหาดังกล่าวหากเกิดขึ้นจริง ข้อมูลก็น่าจะมีการหารือกันภายในก่อน เพื่อร่วมกันแก้ไข ไม่ใช่ไปปล่อยข่าวกลายเป็นผลกระทบในวงกว้าง เนื่องจากควรพิสูจน์ให้ชัดเจน เพราะการปนเปื้อนนั้นหากพื้นที่ใดมีปริมาณแร่ที่หนาแน่น ก็
สามารถเกิดการปนเปื้อนโดยธรรมชาติได้ทั้งสิ้น และการทำเหมืองเองก็อาจจะเกิดจากกระบวนการชะล้างหรือไม่ก็ควรจะต้องพิสูจน์ก่อน  

*** ผาแดงชี้พท.ปลูกข้าวปนเปื้อนลดลง
แหล่งข่าวจากบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งดำเนินธุรกิจเหมืองแร่สังกะสี อ.แม่สอด จ.ตาก กล่าวว่า ปัญหาข้าวปนเปื้อนแคดเมียมมีมาตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งบริษัทฯได้ร่วมมือกับหน่วยงานราชการจังหวัดตาก และชุมชนในพื้นที่ร่วมแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนปัจจุบันพื้นที่ที่เคยเพาะปลูกได้ข้าวปนเปื้อนแคดเมียมลดลงจาก 1.3 หมื่นไร่ เหลือเพียง 1.5 พันไร่ โดยทางจังหวัดได้ขอให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชชนิดอื่นที่ไม่ใช่ข้าวแทน เช่น สัก ยาง และอ้อย จนขณะนี้มีเกษตรกรหันมาปลูกพืชอื่นแทนแล้ว 7 พันไร่ คงเหลือพื้นที่ปลูกข้าวอยู่ 5 พันไร่ ซึ่งเมื่อปลายปีที่แล้วมีการตรวจสอบผลผลิตข้าวในพื้นที่ดังกล่าวพบว่ามีข้าวปนเปื้อนสารแคดเมียมเกินมาตรฐานอยู่ 1.5 พันไร่เท่านั้น

ดังนั้น ทางจ.ตากจึงได้ดูแลพื้นที่ดังกล่าวที่เหลือเป็นพิเศษ โดยขอให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทนการใช้ปุ๋ยเคมี รวมทั้งรับซื้อข้าวที่มีการปนเปื้อนสูงจากเกษตรกรเพื่อทำลาย แต่เกษตรกรบางรายก็ไม่ขาย เพราะต้องการเก็บไว้กินเอง ซึ่งปีที่แล้วปริมาณข้าวที่เพาะปลูกได้ในพื้นที่น้อย แทบจะไม่เพียงพอที่จะรับประทาน ทำให้ต้องซื้อข้าวจากจังหวัดอื่นมาเพิ่มเติม จึงเชื่อว่าไม่มีปัญหาข้าวปนเปื้อนแคดเมียมในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐหรือปัญหาการส่งออก

“ไม่เข้าใจเหตุผลที่กระทรวงพาณิชย์ออกมาปล่อยข่าวแบบนนี้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกข้าวไทย โดยต้นปีนี้ก็มีตัวแทนจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมงญี่ปุ่นเข้ามาดูข้อมูลและซักถามในพื้นที่แล้ว ซึ่งก็มีความเข้าใจที่ดีถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจากทุกฝ่าย ”

แหล่งข่าวจากผาแดงฯ กล่าวว่า บริษัทได้ร่วมมือกับกลุ่มน้ำตาลมิตรผล และไทยออยล์ ตั้งโรงงานผลิตเอทานอลในตาก ที่ได้เปิดดำเนินการเมื่อต้นปี 2552 โดยโรงงานดังกล่าวจะรับซื้ออ้อยในพื้นที่มาเป็นวัตถุดิบ โดยผาแดงฯได้ส่งเสริมการปลูกอ้อยโดยดูแลปัจจัยการผลิต เช่น การไถปรับที่ดิน ให้ท่อนพันธุ์อ้อย ปุ๋ยและยา ขณะที่เกษตรกรออกแรงเพาะปลูก ขณะที่ราคาขายอ้อยก็จะอิงตามคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.)กำหนดไว้ เชื่อว่าหลังจากนี้จะมีเกษตรกรหันมาปลูกอ้อยแทนข้าวเพิ่มมากขึ้น ก็จะช่วยแก้ปัญหาข้าวปนเปื้อนสารแคทเมียมต่อไปได้

ที่ผ่านมา ผาแดงฯได้มีการดูแลด้านสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานสากลในการทำธุรกิจเหมืองแร่และผลิตสังกะสี

ก่อนที่ นายธนพร ศรียากูล จะก้าวมาเป็นที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เคยเป็นหน้าห้องนักการเมืองท่านหนึ่งในกระทรวงทรัพยากรฯมาก่อน ในช่วงนั้นได้รับการกล่าวขวัญว่ามีการเตะถ่วงการอนุมัติผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) จะด้วยเหตุผลใดสุดจะคาดเดา ซึ่งหนึ่งในมีเหมืองผาแดงฯคั่งค้างอยู่ด้วย.
กำลังโหลดความคิดเห็น