หากเป็นประเทศเนปาล ป่านนี้ธงค้อนกับเคียว หมวกดาวแดง เพลงมารช์แดง คงเต็มสนามหลวงไปแล้ว นี่ยังโชคดีที่ประเทศไทยมี พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ผู้ทรงธรรม พวกเขายังไม่กล้าชูเต็มๆ ไม่กล้าแสดงอย่างเปิดเผยมากนัก แต่เมื่อได้อ่านจากเว็บไซต์แดงต่างๆ แล้ว ลัทธิแดงปลุกระดมกันเต็มที่ พูดได้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ องคมนตรี ไม่มีที่จะยืนแล้ว
ทั้งนี้ ทฤษฎีแนวร่วม (United front theory) ของพรรคคอมมิวนิสต์สายจีน กำลังได้ผลเกินคาด เป็นทฤษฎีที่ชาญฉลาดของคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งคิดค้นโดย เหมาเจ๋อตุง ผู้นำการปฏิวัติจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวโดยย่อก็คือ แก้ว 3 ประการของพรรคคอมมิวนิสต์ประกอบด้วย
(1) พรรค (ใต้ดิน) ไม่เป็นเปิดเผย รู้ได้จากการเคลื่อนไหวและชี้นำทางการเมือง
(2) กองกำลังติดอาวุธ หรือกองทัพแดง (หลังจากพ่ายแพ้ สิ้นสุดลงโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ด้วยคำสั่งนโยบายที่ 66/2523 เมื่อ พ. ศ. 2525) และกำลังเตรียมการรื้อฟื้นสงครามกลางเมืองขึ้นมาใหม่ ถ้าลัทธิแดงทำได้ มาถึงวันนี้ก็ยากที่จะต้านทาน)
(3) แนวร่วม (United Front) ทฤษฎีแนวร่วมนี่เองที่ทำให้คอมมิวนิสต์ มีชัยชนะต่อระบอบเผด็จการ แต่จะใช้ไม่ได้เลยในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ขออธิบายทฤษฎีแนวร่วม โดยย่อมีอยู่ด้วย 3 ลักษณะ คือ
1) แนวร่วมทางตรง คือพลพรรคที่เห็นด้วยกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และแนวร่วมชั้นสูง ได้ทำแนวร่วมกับทักษิณ เครือญาติ พรรคเพื่อไทย และพรรคอื่น โดยชูคุณทักษิณ เพราะเป็นผู้จ่ายเงิน และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทักษิณตกที่นั่งลำบาก อยากกลับมาเป็นผู้นำประเทศ ลัทธิแดงจึงได้ใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อพวกตน หากเสื้อแดงมีชัยชนะในการปฏิวัติโดยมวลชนเสื้อแดงได้สำเร็จ ทักษิณ จะได้กลับประเทศหรือไม่
2) แนวร่วมมุมกลับ คือ ผู้ปกครองที่รักษาระบอบเผด็จการเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยโฆษณาชวนเชื่อ และหลงผิดเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากเลือกตั้ง หรือมาจากรัฐประหาร ได้แก่ พรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง กลไกรัฐทั้งหมด เช่น กองทัพ ตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น
3) แนวร่วมทางอ้อม คือ ประชาชนทั่วไป เช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อย ชาวนา กรรมกร นักศึกษา และผู้รักความเป็นธรรม ชนกลุ่มนี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปกครองของรัฐบาลของระบอบเผด็จการ และจะถูกปลุกระดมจากพรรคการเมืองที่เสียประโยชน์ออกมาเดินขบวนเรียกร้องปัญหาของตน และจะตกเป็นกำลังให้กระแสการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาล กลายเป็นกระแสแดง
ท่านผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย ท่านจะเห็นได้ว่า แนวร่วมทั้งสามเป็นทฤษฎีที่แยบคายยิ่งนัก ที่สามารถเอาคนในระบอบเผด็จการทุกชนชั้น ทุกภาคส่วนมาเป็นกำลังให้แก่ตนได้
ถ้าจะกล่าวไปแล้ว ทฤษฎีแนวร่วม ก็คือการหลอกใช้ อุปมาดุจนั่งร้านสร้างตึก นั่นเอง คือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันจะถูกชักชวนให้มาร่วมกันสร้างตึก แต่เมื่อสร้างตึกสำเร็จสมใจแล้ว (ประโยชน์ชั่วคราว) ภารกิจต่อไปก็เอานั่งร้านลง คอมมิวนิสต์ไม่เคยปล่อยให้พวกแนวร่วมชั้นสูงมีชีวิตรอดอยู่ได้สักคน (แต่เรามีวิธีแก้ไข ในตอนท้ายของบทความ)
เหมาเจ๋อตุง กล่าวว่า “พวกเผด็จการย่อมโง่เสมอไป” ทำไมถึงโง่ ก็เพราะพวกนักการเมืองภายใต้ระบอบเผด็จการนั้น รักษาแต่ผลประโยชน์ของตนเอง โดยหลอกประชาชน ว่าจะทำโน่นทำนั้น แต่พอเข้าจริง ไม่ว่าพรรคไหนๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการ ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ เพราะพวกเขาเข้าใจผิด และไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น
ลัทธิแดง พวกเขาวางแผนรื้นฟื้นกองทัพแดงเพื่อทำสงครามกลางเมือง ด้วยยุทธวิธี ปลุกม็อบ ลุกขึ้นสู้ หาเรื่อง เผาเมือง ทุบทำลาย เพื่อหวังให้เกิดรัฐประหาร รัฐประหารคือเหตุ หรือเป็นปุ๋ยอย่างดีที่จะเพิ่มกำลังให้ฝ่ายลัทธิแดงอย่างก้าวกระโดด เพราะได้กำลังเพิ่มจากพรรคการเมืองที่เสียประโยชน์ ก็เห็นชัดๆ กันอยู่ ลัทธิแดงร่วมมือกับทักษิณ โดยทักษิณเองก็ไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะความกลมกลืน ที่พวกลัทธิแดงเข้ามาอยู่ในพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคใหม่ๆ ได้ให้การปรึกษาแนะให้ทักษิณทำผิดๆ และสอดคล้องกับจิตใจของทักษิณด้วย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองชั่วๆ ที่ท่านทั้งหลายได้เห็นที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นของผลของระบอบเผด็จการทั้งสิ้น เช่น รัฐบาลไหนๆ แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจ นักการเมืองคอร์รัปชัน เพื่อเตรียมหาทุนรอนไปซื้อเสียง ระบอบเผด็จการต้องซื้อเสียง เพราะสู้กันว่าใครแจกเงินมากกว่ากัน
ประชาชนไม่ร่วมมือ หรือประชาชนไม่เข้าใจในการดำเนินการของรัฐบาล ทั้งนี้ เพราะเงื่อนไขของสังคมเผด็จการนั้น ทั้งทัศนะของพรรคการเมือง นักการเมืองมีศักยภาพต่ำมากๆ แล้วจะไม่ให้ประชาชนมีศักยภาพต่ำลงได้อย่างไรเล่า
ข้าราชการเกียร์ว่าง เราจะเห็น ข้าราชชั้นผู้ใหญ่ ไม่รับผิดชอบ มักจะเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว โง่เขลา มองสถานการณ์ไม่ออก ภัยจะถึงตัวอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายกลับก็ข่มขู่ประชาชนเสียอีก
เราได้แนะนำ บอกเตือนผู้ปกครองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หลายรัฐบาลมาแล้ว ว่าให้สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมเสียก่อน หรือสร้างระบอบ ให้เกิดขึ้นมาเสียก่อนนั่นเอง ก่อนที่จะยกร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่ง ทั้งนี้ เพราะความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง โดยเห็นรัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา และวิธีการ ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่มีแต่เพียงรูปแบบและวิธีการเท่านั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอด ก็เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเท่านั้นเอง ส่วนประชาชนตกแนวร่วมของแต่ละฝ่าย
ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อ ปรากฏการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เช่นว่า รัฐประหาร 14 ครั้ง, รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ, การจลาจลทางการเมือง 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519, 19-20 พฤษภาทมิฬ 2535, โจรแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้, ปัญหาคอร์รัปชัน, ปัญหาเสียดินแดนให้เขมร, ลอบฆ่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยในระบอบประชาธิปไตย
ล่าสุด ขบวนการทักษิณ และลัทธิแดง ถวายฎีกาเถื่อน ทักษิณทำผิดต่อชาติไว้มากมาย มีคดีติดตัวหลายคดี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งนั้น เป็นศัตรูของชาติแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง ใครเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะเสมอไป ฝ่ายเป็นฝ่ายตั้งรับ ฝ่ายนั้นแพ้เสมอไป ความฮึกเหิมของฝ่ายลัทธิแดงมันมากขึ้นๆ ทุกวัน ใหญ่โตขึ้นอย่างน่ากลัว แผนการทางการเมืองของฝ่ายทักษิณ ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ เป็นไปอย่างเป็นขั้นตอน
1) โค่นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วม เพื่อให้กลุ่มทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ สร้างรัฐธรรมนูญใหม่
2) เลิกล้มองคมนตรี เพื่อตัดแขน ขา สถาบันพระมหากษัตริย์
3) โค่นสถาบันหลักของชาติ
ทำไมรัฐบาลประชาธิปัตย์และพรรคร่วม จึงตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง เป็นธรรมดาของรัฐบาลทุกรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองเสมอไปตามเงื่อนไขที่ดำรงอยู่ คือหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แก้ปัญหาอื่นๆ และแก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ได้
แนวทางแก้ไข “การรุกกลับทางการเมือง คือการนำการเมืองโดยธรรมของชาติและปวงชนไทยที่เหนือกว่า” ขอบอกก่อนว่าแนวทางแก้ไขนั้นยากมาก ในสถานการณ์นี้ ช่วยยากเหลือเกิน แต่ก็จำเป็นจะต้องแนะนำ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่จะทำได้หรือไม่ มีศักยภาพพอหรือไม่ ทั้งปัญญาอันแหลมคม และความเป็นผู้นำในการอธิบายต่อประชาชนให้เข้าใจการเมืองตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ หากทำได้ คุณอภิสิทธิ์ จะเป็นรัฐบุรุษคนใหม่ของชาติ กล่าวโดยย่อ ดังนี้
1) บอกความจริง นายกรัฐมนตรีจะต้องบอกความจริงต่อข้าราชการทุกหน่วย และประชาชนทั่วทั้งประเทศ เพื่อบอกความจริงว่า การเมืองเก่านั้นมีปัญหา ไม่สามารถขับเคลื่อนนำไปสู่การแก้ปัญหาของประชาชนและประเทศชาติได้
2) บอกภารกิจ ที่จะต้องขอความร่วมมือกับประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกพรรคการเมือง ข้าราชการทุกหมู่เหล่า รวมทั้งกองทัพจะเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนแนวการเมืองโดยธรรม
3) เสนอ สนับสนุน ส่งเสริม อธิบายหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบโดยธรรม
4) พระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หรือธรรมาธิปไตย 9 จะเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของปวงชนในชาติ โดยถือหลักการปกครองเป็นใหญ่ไม่ใช่ถือบุคคลเป็นใหญ่อันนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในชาติ (จะอธิบายต่อไป)
5) ให้ประชาชนเข้าใจความแตกต่าง ระหว่างหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบ กับรัฐธรรมนูญ โดยทิ้งระยะห่างอย่างน้อย 2 ปี
6) ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม
(รอการอธิบายต่อไป)
ทั้งนี้ ทฤษฎีแนวร่วม (United front theory) ของพรรคคอมมิวนิสต์สายจีน กำลังได้ผลเกินคาด เป็นทฤษฎีที่ชาญฉลาดของคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งคิดค้นโดย เหมาเจ๋อตุง ผู้นำการปฏิวัติจีนแผ่นดินใหญ่ กล่าวโดยย่อก็คือ แก้ว 3 ประการของพรรคคอมมิวนิสต์ประกอบด้วย
(1) พรรค (ใต้ดิน) ไม่เป็นเปิดเผย รู้ได้จากการเคลื่อนไหวและชี้นำทางการเมือง
(2) กองกำลังติดอาวุธ หรือกองทัพแดง (หลังจากพ่ายแพ้ สิ้นสุดลงโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรี ด้วยคำสั่งนโยบายที่ 66/2523 เมื่อ พ. ศ. 2525) และกำลังเตรียมการรื้อฟื้นสงครามกลางเมืองขึ้นมาใหม่ ถ้าลัทธิแดงทำได้ มาถึงวันนี้ก็ยากที่จะต้านทาน)
(3) แนวร่วม (United Front) ทฤษฎีแนวร่วมนี่เองที่ทำให้คอมมิวนิสต์ มีชัยชนะต่อระบอบเผด็จการ แต่จะใช้ไม่ได้เลยในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น ขออธิบายทฤษฎีแนวร่วม โดยย่อมีอยู่ด้วย 3 ลักษณะ คือ
1) แนวร่วมทางตรง คือพลพรรคที่เห็นด้วยกับลัทธิคอมมิวนิสต์ และแนวร่วมชั้นสูง ได้ทำแนวร่วมกับทักษิณ เครือญาติ พรรคเพื่อไทย และพรรคอื่น โดยชูคุณทักษิณ เพราะเป็นผู้จ่ายเงิน และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ทักษิณตกที่นั่งลำบาก อยากกลับมาเป็นผู้นำประเทศ ลัทธิแดงจึงได้ใช้สถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ต่อพวกตน หากเสื้อแดงมีชัยชนะในการปฏิวัติโดยมวลชนเสื้อแดงได้สำเร็จ ทักษิณ จะได้กลับประเทศหรือไม่
2) แนวร่วมมุมกลับ คือ ผู้ปกครองที่รักษาระบอบเผด็จการเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดยโฆษณาชวนเชื่อ และหลงผิดเข้าใจว่า รัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย รัฐบาลไม่ว่าจะมาจากเลือกตั้ง หรือมาจากรัฐประหาร ได้แก่ พรรคการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง กลไกรัฐทั้งหมด เช่น กองทัพ ตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นต้น
3) แนวร่วมทางอ้อม คือ ประชาชนทั่วไป เช่น ข้าราชการชั้นผู้น้อย ชาวนา กรรมกร นักศึกษา และผู้รักความเป็นธรรม ชนกลุ่มนี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปกครองของรัฐบาลของระบอบเผด็จการ และจะถูกปลุกระดมจากพรรคการเมืองที่เสียประโยชน์ออกมาเดินขบวนเรียกร้องปัญหาของตน และจะตกเป็นกำลังให้กระแสการเมืองที่ต่อต้านรัฐบาล กลายเป็นกระแสแดง
ท่านผู้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทั้งหลาย ท่านจะเห็นได้ว่า แนวร่วมทั้งสามเป็นทฤษฎีที่แยบคายยิ่งนัก ที่สามารถเอาคนในระบอบเผด็จการทุกชนชั้น ทุกภาคส่วนมาเป็นกำลังให้แก่ตนได้
ถ้าจะกล่าวไปแล้ว ทฤษฎีแนวร่วม ก็คือการหลอกใช้ อุปมาดุจนั่งร้านสร้างตึก นั่นเอง คือผู้ที่ไม่รู้เท่าทันจะถูกชักชวนให้มาร่วมกันสร้างตึก แต่เมื่อสร้างตึกสำเร็จสมใจแล้ว (ประโยชน์ชั่วคราว) ภารกิจต่อไปก็เอานั่งร้านลง คอมมิวนิสต์ไม่เคยปล่อยให้พวกแนวร่วมชั้นสูงมีชีวิตรอดอยู่ได้สักคน (แต่เรามีวิธีแก้ไข ในตอนท้ายของบทความ)
เหมาเจ๋อตุง กล่าวว่า “พวกเผด็จการย่อมโง่เสมอไป” ทำไมถึงโง่ ก็เพราะพวกนักการเมืองภายใต้ระบอบเผด็จการนั้น รักษาแต่ผลประโยชน์ของตนเอง โดยหลอกประชาชน ว่าจะทำโน่นทำนั้น แต่พอเข้าจริง ไม่ว่าพรรคไหนๆ ภายใต้ระบอบเผด็จการ ไม่สามารถแก้ปัญหาของประเทศชาติได้ เพราะพวกเขาเข้าใจผิด และไม่รับรู้ใดๆ ทั้งสิ้น
ลัทธิแดง พวกเขาวางแผนรื้นฟื้นกองทัพแดงเพื่อทำสงครามกลางเมือง ด้วยยุทธวิธี ปลุกม็อบ ลุกขึ้นสู้ หาเรื่อง เผาเมือง ทุบทำลาย เพื่อหวังให้เกิดรัฐประหาร รัฐประหารคือเหตุ หรือเป็นปุ๋ยอย่างดีที่จะเพิ่มกำลังให้ฝ่ายลัทธิแดงอย่างก้าวกระโดด เพราะได้กำลังเพิ่มจากพรรคการเมืองที่เสียประโยชน์ ก็เห็นชัดๆ กันอยู่ ลัทธิแดงร่วมมือกับทักษิณ โดยทักษิณเองก็ไม่รู้ตัว ทั้งนี้เพราะความกลมกลืน ที่พวกลัทธิแดงเข้ามาอยู่ในพรรคไทยรักไทย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งพรรคใหม่ๆ ได้ให้การปรึกษาแนะให้ทักษิณทำผิดๆ และสอดคล้องกับจิตใจของทักษิณด้วย
ปรากฏการณ์ทางการเมืองชั่วๆ ที่ท่านทั้งหลายได้เห็นที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นของผลของระบอบเผด็จการทั้งสิ้น เช่น รัฐบาลไหนๆ แก้ปัญหาอะไรไม่ได้ ไม่กล้าตัดสินใจ นักการเมืองคอร์รัปชัน เพื่อเตรียมหาทุนรอนไปซื้อเสียง ระบอบเผด็จการต้องซื้อเสียง เพราะสู้กันว่าใครแจกเงินมากกว่ากัน
ประชาชนไม่ร่วมมือ หรือประชาชนไม่เข้าใจในการดำเนินการของรัฐบาล ทั้งนี้ เพราะเงื่อนไขของสังคมเผด็จการนั้น ทั้งทัศนะของพรรคการเมือง นักการเมืองมีศักยภาพต่ำมากๆ แล้วจะไม่ให้ประชาชนมีศักยภาพต่ำลงได้อย่างไรเล่า
ข้าราชการเกียร์ว่าง เราจะเห็น ข้าราชชั้นผู้ใหญ่ ไม่รับผิดชอบ มักจะเอาตัวรอด เห็นแก่ตัว โง่เขลา มองสถานการณ์ไม่ออก ภัยจะถึงตัวอยู่แล้ว ก็ไม่รู้ตัว ซ้ำร้ายกลับก็ข่มขู่ประชาชนเสียอีก
เราได้แนะนำ บอกเตือนผู้ปกครองไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หลายรัฐบาลมาแล้ว ว่าให้สถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมเสียก่อน หรือสร้างระบอบ ให้เกิดขึ้นมาเสียก่อนนั่นเอง ก่อนที่จะยกร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เป็นเพียงคลื่นกระทบฝั่ง ทั้งนี้ เพราะความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรง โดยเห็นรัฐธรรมนูญ ระบบรัฐสภา และวิธีการ ว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่มีแต่เพียงรูปแบบและวิธีการเท่านั้น ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมาตลอด ก็เป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองด้วยกันเท่านั้นเอง ส่วนประชาชนตกแนวร่วมของแต่ละฝ่าย
ถ้าเป็นประชาธิปไตยจริงอย่างที่โฆษณาชวนเชื่อ ปรากฏการณ์ต่างๆ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย เช่นว่า รัฐประหาร 14 ครั้ง, รัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ, การจลาจลทางการเมือง 14 ตุลาคม 2516 – 6 ตุลาคม 2519, 19-20 พฤษภาทมิฬ 2535, โจรแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดภาคใต้, ปัญหาคอร์รัปชัน, ปัญหาเสียดินแดนให้เขมร, ลอบฆ่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยในระบอบประชาธิปไตย
ล่าสุด ขบวนการทักษิณ และลัทธิแดง ถวายฎีกาเถื่อน ทักษิณทำผิดต่อชาติไว้มากมาย มีคดีติดตัวหลายคดี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องฉ้อราษฎร์บังหลวงทั้งนั้น เป็นศัตรูของชาติแท้ๆ แต่กลับกลายเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง ใครเป็นฝ่ายรุกทางการเมือง ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะเสมอไป ฝ่ายเป็นฝ่ายตั้งรับ ฝ่ายนั้นแพ้เสมอไป ความฮึกเหิมของฝ่ายลัทธิแดงมันมากขึ้นๆ ทุกวัน ใหญ่โตขึ้นอย่างน่ากลัว แผนการทางการเมืองของฝ่ายทักษิณ ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ เป็นไปอย่างเป็นขั้นตอน
1) โค่นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วม เพื่อให้กลุ่มทักษิณกลับมามีอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จ สร้างรัฐธรรมนูญใหม่
2) เลิกล้มองคมนตรี เพื่อตัดแขน ขา สถาบันพระมหากษัตริย์
3) โค่นสถาบันหลักของชาติ
ทำไมรัฐบาลประชาธิปัตย์และพรรคร่วม จึงตกเป็นฝ่ายรับทางการเมือง เป็นธรรมดาของรัฐบาลทุกรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการ จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองเสมอไปตามเงื่อนไขที่ดำรงอยู่ คือหลงผิดว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย แก้ปัญหาอื่นๆ และแก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ได้
แนวทางแก้ไข “การรุกกลับทางการเมือง คือการนำการเมืองโดยธรรมของชาติและปวงชนไทยที่เหนือกว่า” ขอบอกก่อนว่าแนวทางแก้ไขนั้นยากมาก ในสถานการณ์นี้ ช่วยยากเหลือเกิน แต่ก็จำเป็นจะต้องแนะนำ คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่จะทำได้หรือไม่ มีศักยภาพพอหรือไม่ ทั้งปัญญาอันแหลมคม และความเป็นผู้นำในการอธิบายต่อประชาชนให้เข้าใจการเมืองตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ หากทำได้ คุณอภิสิทธิ์ จะเป็นรัฐบุรุษคนใหม่ของชาติ กล่าวโดยย่อ ดังนี้
1) บอกความจริง นายกรัฐมนตรีจะต้องบอกความจริงต่อข้าราชการทุกหน่วย และประชาชนทั่วทั้งประเทศ เพื่อบอกความจริงว่า การเมืองเก่านั้นมีปัญหา ไม่สามารถขับเคลื่อนนำไปสู่การแก้ปัญหาของประชาชนและประเทศชาติได้
2) บอกภารกิจ ที่จะต้องขอความร่วมมือกับประชาชนทุกหมู่เหล่า ทุกพรรคการเมือง ข้าราชการทุกหมู่เหล่า รวมทั้งกองทัพจะเป็นกำลังหลักในการสนับสนุนแนวการเมืองโดยธรรม
3) เสนอ สนับสนุน ส่งเสริม อธิบายหลักการปกครองโดยธรรม หรือระบอบโดยธรรม
4) พระมหากษัตริย์ ทรงสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรม หรือธรรมาธิปไตย 9 จะเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของปวงชนในชาติ โดยถือหลักการปกครองเป็นใหญ่ไม่ใช่ถือบุคคลเป็นใหญ่อันนำมาซึ่งความขัดแย้งภายในชาติ (จะอธิบายต่อไป)
5) ให้ประชาชนเข้าใจความแตกต่าง ระหว่างหลักการปกครองโดยธรรมหรือระบอบ กับรัฐธรรมนูญ โดยทิ้งระยะห่างอย่างน้อย 2 ปี
6) ปรับปรุงรัฐธรรมนูญ ให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม
(รอการอธิบายต่อไป)