ที่รัฐสภา วานนี้ (30 ก.ค.) การประชุมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง (เหตุการณ์ช่วงวันสงกรานต์ 255213 ) โดยมีนายสมศักดิ์ บุญทอง ประธานกรรมการฯ เป็นประธานการประชุมเพื่อสรุปรายงานผลการศึกษาของอนุกรรมการ รวบรวมเหตุการณ์ทุกคณะที่แต่งตั้งขึ้นมาให้ตรวจสอบเหตุการณ์ต่างๆ สรุปผลการสอบสวนส่งต่อประธานคณะกรรมการฯภายในวันที่ 30 ก.ค. ซึ่งมีเพียงคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณดินแดงที่ยังไม่ส่งเอกสารสรุปผลการศึกษามาให้
ทั้งนี้พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ประธานคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล รายงานผลการศึกษาว่า พบว่าผลของความเสียหายมี 2 ช่วง คือ ก่อนประกาศ พ.รก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและหลังการประกาศ พ.ร.ก. ฯโดยทั้งสองช่วงเวลาส่งผลให้มีการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมถึง 72 คดี โดยกรรมการมีข้อเสนอแนะ 5 ประการ เกี่ยวกับการดูแลการชุมนุมทางการเมือง คือ ควรให้มีการรณรงค์ประชาธิปไตยให้ประชาชนเข้าใจชัดเจน เมื่อจะใช้กติกาประชาธิปไตยแล้วทุกฝ่ายจะต้องยอมรับผลการดำเนินการตามแนวทางประชาธิปไตย การอำนวยความยุติธรรมต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นและมีมาตรฐานในการปฏิบัติ ต้องออกกฎหมายรองรับการชุมนุมทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนทราบขอบเขต การชุมนุม ขณะเดียวกันผู้ควบคุมการชุมนุมจะต้องรู้ขอบเขตการดูแลการชุมนุม สื่อมวลชนจะต้องระมัดระวังการรายงานข่าวที่อาจไปขยายความขัดแย้ง ทำให้ประชาชนสับสน และผู้ปฏิบัติและมีอำนาจหน้าที่ในการชุมนุมต้องจัดคนที่มีความรู้ความเข้าใจในการควบคุมการชุมเข้ามาดูแล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการหลายคนอภิปรายท้วงติงว่า เอกสารของคณะอนุกรรมการแต่ละคณะยังไม่สมบรูณ์ หากปล่อยผ่านไปคงมีการถกเถียงหาข้อยุติไม่ได้ โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กรรมการ จากพรรคเพื่อไทย เสนอว่าเมื่อรายงานยังไม่สมบรูณ์ควรให้เวลากับฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรายงานแต่ละคณะนำรายงานกลับไปอ่านและกลับมาเสนอเหตุผลที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเพื่อให้ที่ประชุมหาข้อยุติ
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินกรรมการจากพรรคเพื่อไทยกล่าวว่ ในส่วนผลการศึกษา ของคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณดินแดงยังมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบ เพิ่มโดยเฉพาะการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข จึงขอเวลากลับไปทบทวนรายงานผลการศึกษา
ขณะที่นายบรรจบ รุ่งโรจน์ กรรมการฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ อนุกรรมการ รวบรวมเหตุการณ์ที่พัทยา ฯ กล่าวว่า อนุกรรมการฯได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยผลการสอบสวนได้เสร็จสมบรูณ์แล้ว การนำเสนอรายงานและผลการสอบสวน มีความสมบรูณ์ครบถ้วน ส่วนนายขจิต ชัยนิคม กรรมซึกพรรคเพื่อไทย เสนอให้ที่ประชุมพิจารณารายงานของคณะที่ทำเสร็จแล้วไปก่อนเพื่อให้ได้ข้อยุติ ส่วนคณะใดที่ยังไม่ได้ข้อสรุปค่อยทยอยพิจารณา
ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กรรมการจากพรรคเพื่อไทย เสนอว่า เมื่ออ่านแล้ว หากผลสรุปเป็นไปด้านใดด้านหนึ่งจะเกิดความสับสน และหาข้อยุติไม่ได้จึงขอเสนอ ให้เขียนข้อสรุปสองด้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการประชุมมีการถกเถียงระหว่าง กรรมการ จากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ทำให้นายสมศักดิ์สรุปว่า ให้พิจารณารายงาน ที่เสนอมาแล้วไปก่อน ส่วนที่มีความเห็นแตกต่างกันให้กรรมการที่มีความเห็นแตกต่าง ทำหนังสือแจ้งมายังประธาน หลังจากการวินิจฉัย ปรากฎว่านายวรวัจน์และนพ.ชลน่าน กรรมการจากพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจเดินออกจากห้องประชุมทันที
โดยนายนายวรวัจน์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การพิจารณาของคณะกรรมการฯ ควรแยกข้อเท็จจริง กับเรื่องความคิดเห็นออกจากกั้น ในส่วนของข้อเท็จจริงที่ประชุมควรนำข้อเท็จจริงทั้งหมดขึ้นพิจารณา ส่วนความคิดเห็นเนื่องจากกรรมการมาจาก หลายฝ่ายจึงควรสรุปความคิดเห็นของแต่ละฝ่าย ไม่ควรใช้เสียงข้างมากสรุป เหตุการณ์ทั้งหมด การทำรายงานจึงต้องบันทึกความเห็นของทั้งสองฝ่ายไว้ทั้งหมด หากสรุปโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายใส่ความคิดเห็นลงไปด้วยบทสรุปจะนำไปสู่ความขัดแย้ง โดยการดำเนินการไม่จำเป็นต้องรื้อผลการสอบสวนทั้งหมดเพียงแต่ เพิ่มเติมความเห็นที่แตกต่างเข้าไปด้วย
ขณะที่ในห้องประชุมนายสมศักดิ์ สรุปว่า หากกรรมการคนใดยังมีความเห็นที่ แตกต่างกันให้ทำเป็นข้อคิดเห็นส่งมาเพื่อจัดรูปเล่มรายงานใหม่โดยไม่ต้องรื้อ รายงานทั้งเล่ม ทั้งนี้ไม่กำหนดกรอบเวลาการทำงานเพื่อเปิดโอกาสให้อนุกรรมการ พิจารณา ที่โดยการประชุมครั้งต่อไปนัดประชุมวันที่ 13 ส.ค.โดยจะให้แต่ละฝ่ายมาเสนอความเห็นต่อที่ประชุมอีกครั้ง
ทั้งนี้พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ประธานคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ ที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล รายงานผลการศึกษาว่า พบว่าผลของความเสียหายมี 2 ช่วง คือ ก่อนประกาศ พ.รก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินและหลังการประกาศ พ.ร.ก. ฯโดยทั้งสองช่วงเวลาส่งผลให้มีการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมถึง 72 คดี โดยกรรมการมีข้อเสนอแนะ 5 ประการ เกี่ยวกับการดูแลการชุมนุมทางการเมือง คือ ควรให้มีการรณรงค์ประชาธิปไตยให้ประชาชนเข้าใจชัดเจน เมื่อจะใช้กติกาประชาธิปไตยแล้วทุกฝ่ายจะต้องยอมรับผลการดำเนินการตามแนวทางประชาธิปไตย การอำนวยความยุติธรรมต้องทำให้เกิดความเชื่อมั่นและมีมาตรฐานในการปฏิบัติ ต้องออกกฎหมายรองรับการชุมนุมทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนทราบขอบเขต การชุมนุม ขณะเดียวกันผู้ควบคุมการชุมนุมจะต้องรู้ขอบเขตการดูแลการชุมนุม สื่อมวลชนจะต้องระมัดระวังการรายงานข่าวที่อาจไปขยายความขัดแย้ง ทำให้ประชาชนสับสน และผู้ปฏิบัติและมีอำนาจหน้าที่ในการชุมนุมต้องจัดคนที่มีความรู้ความเข้าใจในการควบคุมการชุมเข้ามาดูแล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรรมการหลายคนอภิปรายท้วงติงว่า เอกสารของคณะอนุกรรมการแต่ละคณะยังไม่สมบรูณ์ หากปล่อยผ่านไปคงมีการถกเถียงหาข้อยุติไม่ได้ โดยนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กรรมการ จากพรรคเพื่อไทย เสนอว่าเมื่อรายงานยังไม่สมบรูณ์ควรให้เวลากับฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับรายงานแต่ละคณะนำรายงานกลับไปอ่านและกลับมาเสนอเหตุผลที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเพื่อให้ที่ประชุมหาข้อยุติ
พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินกรรมการจากพรรคเพื่อไทยกล่าวว่ ในส่วนผลการศึกษา ของคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณดินแดงยังมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบ เพิ่มโดยเฉพาะการเสียชีวิตของพลทหารอภินพ เครือสุข จึงขอเวลากลับไปทบทวนรายงานผลการศึกษา
ขณะที่นายบรรจบ รุ่งโรจน์ กรรมการฯ จากพรรคประชาธิปัตย์ อนุกรรมการ รวบรวมเหตุการณ์ที่พัทยา ฯ กล่าวว่า อนุกรรมการฯได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ โดยผลการสอบสวนได้เสร็จสมบรูณ์แล้ว การนำเสนอรายงานและผลการสอบสวน มีความสมบรูณ์ครบถ้วน ส่วนนายขจิต ชัยนิคม กรรมซึกพรรคเพื่อไทย เสนอให้ที่ประชุมพิจารณารายงานของคณะที่ทำเสร็จแล้วไปก่อนเพื่อให้ได้ข้อยุติ ส่วนคณะใดที่ยังไม่ได้ข้อสรุปค่อยทยอยพิจารณา
ด้านนพ.ชลน่าน ศรีแก้ว กรรมการจากพรรคเพื่อไทย เสนอว่า เมื่ออ่านแล้ว หากผลสรุปเป็นไปด้านใดด้านหนึ่งจะเกิดความสับสน และหาข้อยุติไม่ได้จึงขอเสนอ ให้เขียนข้อสรุปสองด้าน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าบรรยากาศการประชุมมีการถกเถียงระหว่าง กรรมการ จากพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ทำให้นายสมศักดิ์สรุปว่า ให้พิจารณารายงาน ที่เสนอมาแล้วไปก่อน ส่วนที่มีความเห็นแตกต่างกันให้กรรมการที่มีความเห็นแตกต่าง ทำหนังสือแจ้งมายังประธาน หลังจากการวินิจฉัย ปรากฎว่านายวรวัจน์และนพ.ชลน่าน กรรมการจากพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจเดินออกจากห้องประชุมทันที
โดยนายนายวรวัจน์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การพิจารณาของคณะกรรมการฯ ควรแยกข้อเท็จจริง กับเรื่องความคิดเห็นออกจากกั้น ในส่วนของข้อเท็จจริงที่ประชุมควรนำข้อเท็จจริงทั้งหมดขึ้นพิจารณา ส่วนความคิดเห็นเนื่องจากกรรมการมาจาก หลายฝ่ายจึงควรสรุปความคิดเห็นของแต่ละฝ่าย ไม่ควรใช้เสียงข้างมากสรุป เหตุการณ์ทั้งหมด การทำรายงานจึงต้องบันทึกความเห็นของทั้งสองฝ่ายไว้ทั้งหมด หากสรุปโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายใส่ความคิดเห็นลงไปด้วยบทสรุปจะนำไปสู่ความขัดแย้ง โดยการดำเนินการไม่จำเป็นต้องรื้อผลการสอบสวนทั้งหมดเพียงแต่ เพิ่มเติมความเห็นที่แตกต่างเข้าไปด้วย
ขณะที่ในห้องประชุมนายสมศักดิ์ สรุปว่า หากกรรมการคนใดยังมีความเห็นที่ แตกต่างกันให้ทำเป็นข้อคิดเห็นส่งมาเพื่อจัดรูปเล่มรายงานใหม่โดยไม่ต้องรื้อ รายงานทั้งเล่ม ทั้งนี้ไม่กำหนดกรอบเวลาการทำงานเพื่อเปิดโอกาสให้อนุกรรมการ พิจารณา ที่โดยการประชุมครั้งต่อไปนัดประชุมวันที่ 13 ส.ค.โดยจะให้แต่ละฝ่ายมาเสนอความเห็นต่อที่ประชุมอีกครั้ง