xs
xsm
sm
md
lg

"กกต." กุมขมับ ผลสอบ ส.ส.ถือหุ้นสื่อ-สัมปทานรัฐ ไม่ขัด รธน.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"กกต." ถึงขั้นกุมขมับ เมื่ออนุสอบฯคดี ส.ส. ถือหุ้นสื่อ-สัมปทานรัฐ ไม่ขัดต่อ รธน. ระบุได้มาก่อนรับตำแหน่ง มีสิทธิ์ถือครองได้ โยนอนุฯ ไปสอบเพิ่ม แถมให้นโยบายยึดหลักเดียวกับเชือด 16 ส.ว.

วันนี้ (26 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติเสียงข้างมากให้ 16 ส.ว.พ้นสภาพการเป็นสมาชิกภาพตามรัฐธรรมนูญมาตรา 119 (5) เนื่องจากถือครองหุ้นใน 14 บริษัทที่ประกอบธุรกิจสื่อ ซึ่งเข้าข่ายขัดมาตรา 48 และบริษัทที่เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ที่เข้าข่ายขัดมาตรา 265 (2) ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ ยังเตรียมใช้มาตรฐานเดียวกันในการพิจารณาลงมติคำร้องที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพของ ส.ส. 44 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล รวมถึงกรณีที่ นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ร้องขอให้ กกต.ตรวจสอบการสิ้นสภาพสมาชิกของ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 28 รายนั้น ปรากฎขณะนี้ผลการสอบสวนกรณี ส.ส.ถือครองหุ้นกำลังสร้างปัญหาให้กับกกต.อย่างหนัก เนื่องจากอนุกรรมการตรวจสอบ ส.ส.ทั้ง 44 คน มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ให้ยกคำร้องผู้ถูกร้องทั้งหมด โดยให้เหตุผลในทำนองเดียวกับ อนุกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติ ส.ว. เสียงข้างมาก 3 เสียง ที่มองในประเด็นข้อกฎหมายว่า หุ้นที่ ส.ส.ทั้งหมดถือครองอยู่นั้นได้มาก่อนที่จะเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส. จึงย่อมมีสิทธิที่จะครอบครองทรัพย์สินนั้นต่อไป อีกทั้งถ้าหากรัฐธรรมนูญมาตรา 265 ไม่ต้องการให้ ส.ส.ถือครองหุ้นที่ได้รับมาก่อนดำรงตำแหน่ง ก็ต้องมีบทบัญญัติในทำนองเดียวกับ มาตรา 269 ที่ระบุห้ามนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ถือหุ้นส่วนหรือบริษัท และ “ห้ามคงไว้” ซึ่งความเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทอีกต่อไป หากประสงค์จะรับประโยชน์จากกรณีดังกล่าวก็ให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีผู้นั้น โอนหุ้นบริษัทดังกล่าวให้กับนิติบุคคลเป็นผู้จัดการแทน

ทั้งนี้ ความเห็นดังกล่าวของอนุกรรมการฯ ถึงขั้นทำให้กกต.คนหนึ่งทักท้วงว่า หากตีความกฎหมายเช่นนี้ ก็เท่ากับมาตรา 265 เป็นหมันไม่สามารถนำมาใช้ได้ แต่คณะอนุกรรมการฯ ชี้แจงว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะกฎหมายมาตรานี้จะได้ใช้หาก ส.ส. หรือ ส.ว. เข้ามารับตำแหน่งแล้วซื้อหุ้นใหม่ แต่ถ้าหากตีความว่าถือไม่ได้ตั้งแต่เข้าปฏิบัติหน้าที่ ย่อมหมายความว่าทันทีที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อมีหุ้นอยู่ก็ต้องถือว่าขาดคุณสมบัติทันที

อย่างไรก็ตาม ความเห็นดังกล่าวเป็นเหตุผลสำคัญให้ที่ประชุม กกต. เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ไม่สามารถลงมติได้ เนื่องจากหากยืนตามที่อนุกรรมการสอบสวนเสนอมาก็จะกลายเป็น 2 มาตรฐาน แต่ถ้าหากยึดตามมาตรฐานที่จะใช้กับ 16 ส.ว. กกต. ก็อาจถูกกล่าวว่าจ้องเล่นงาน ส.ส.อีก รวมทั้งขณะนี้ กกต.ยังขาดพยานหลักฐานที่มีน้ำหนักในการเสนอต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ประชุมกกต. ได้มีการหาทางออกด้วยการให้อนุกรรมการไปสอบสวนหาข้อมูลเพิ่มในสิ่งที่ยังเป็นจุดอ่อนของสำนวน ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริงจาก 72 บริษัท ที่ถูกระบุว่า ส.ส.เข้าไปมีหุ้น แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่เสนอข้อมูลใดๆกลับมา หรืออาจจะเป็นการให้โอกาส ส.ส.ที่ถูกร้อง 32 คน ซึ่งยังไม่ได้มาชี้แจง มาเข้าชี้แจงต่ออนุกรรมการฯสอบ รวมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตว่า มาตรา 265 มิได้ระบุห้ามเพียง ส.ส.หรือ ส.ว. ถือหุ้นเท่านั้น แต่ยังบัญญัติถึงคู่สมรส และบุตรอีกด้วย โดยหาก กกต.ไม่ดำเนินการก็อาจถูกร้องภายหลังว่าการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้น ต้องไปดำเนินการสอบบุตรและภรรยาอีก แม้ว่าข้อมูลในส่วนของบุตรนั้น ส.ส.ที่ถูกร้องบางคนไม่ได้แจ้งไว้กับป.ป.ช. ก็ให้อนุกรรมการฯ ตรวจสอบจากทะเบียนบ้าน เพื่อตรวจดูรายชื่อผู้เกี่ยวข้อง พร้อมสั่งให้ฝ่ายเลขานุการของอนุกรรมการสอบสวนชุด ส.ว. มาช่วยงานอนุกรรมการฯ สอบชุดดังกล่าวด้วย โดยเน้นให้ยึดแนวทางการสอบสวนของอนุกรรมการฯ สอบชุด ส.ว.ที่เป็นเสียงข้างน้อย และยึดมติเอกฉันท์ของคณะที่ปรึกษากฎหมาย กกต. ซึ่งกกต. ยึดถือจนมีมติว่า 16 ส.ว.ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง

นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าอนุกรรมการฯ ชุดดังกล่าวได้เสนอว่า เมื่อ กกต.ตัดสินกรณี ส.ว.ไปแล้ว ก็ควรเร่งส่งเรื่องไปตามขั้นตอน เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และเมื่อถึงเวลานั้นหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินอย่างไร กกต.ก็ทำงานตามคำตัดสิน แต่ กกต. บางคนกลับเกรงว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเวลาตัดสินนาน จึงยืนยันที่จะตัดสินเรื่องนี้และเร่งรัดให้อนุกรรมการฯ สอบสวนดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่ขอขยาย 15 วัน โดยในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ จะมี ส.ส.ที่ถูกร้อง 6 คนเข้าชี้แจงต่ออนุกรรมการฯ

ขณะเดียวกันมีรายงานอีกว่า อนุกรรมการสอบสวนคำร้องของ นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ร้องขอให้กกต.ตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพของส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 28 คน ซึ่งกำลังจะส่งรายงานของผลการสอบสวนให้กับประธาน กกต. ก็ได้มีการสรุปผลการสอบสวนว่า ให้มีการยกคำร้อง ส.ส.ที่ถูกร้องทั้งหมดเช่นเดียวกัน

ด้าน นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการกกต. เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากคณะอนุกรรมการชุดสอบ ส.ส.28 คนแล้ว ว่าสรุปสำนวนการสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายนนี้ จะมีการประชุมและตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้ง ก่อนที่จะเสนอประธาน กกต.ในวันเดียวกัน เพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุม กกต.ในวันอังคารที่ 30 มิถุนายนนี้ ซึ่งเชื่อว่าประธาน กกต.จะสามารถทำแจกจ่ายให้กับกกต. คนอื่น เพื่อนำไปศึกษาตามแนวทางปฏิบัติที่เคยทำมา แต่กรณีนี้ก็ไม่ทราบว่า กกต.จะดำเนินการอย่างไร จะมีการพิจารณาเลยหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น