xs
xsm
sm
md
lg

“เจ๊เพ็ญ” ดิ้นพล่าน! ปัดเล่นงาน “วสันต์” ยันหุ้น อสมท ร่วง 2 วัน แค่ปกป้องผู้ถือหุ้น

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เจ๊เพ็ญ” จีบปากจีบคอชี้แจงกรณีการเผยข้อมูลขาดทุน 27 ล้าน ทำหุ้น อสมท ร่วงติดต่อกัน 2 วันซ้อน แค่ต้องการเผยข้อมูลที่ผู้ถือหุ้นต้องรู้ ไม่เข้าข่ายอินไซเดอร์ อ้างไม่ได้มุ่งเล่นงาน “วสันต์” แต่การขาดทุนครั้งแรกรอบ 7 ปี เป็นเรื่องใหญ่ ต้องประเมินผู้บริหาร หรือ “ภรรยา”ผู้บริหาร

วันนี้ (27 มี.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) จะออกมาตรวจสอบข้อมูลที่นายจักรภพออกมาระบุว่า อสมท ขาดทุน 27 ล้านบาท อาจจะเข้าข่ายการใช้ข้อมูลอินไซด์ ว่า ต้องขอบคุณ กลต. เพราะจะเป็นการช่วยกันให้ภาพการประเมิน อสมท มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เนื่องจากว่ารัฐบาลมีหน้าที่ในการกำกับดูแลบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ถึงแม้จะเป็นบริษัทมหาชนแต่ไม่ได้แปลว่า จะไม่ได้ดูแลหรือเพิกเฉยได้ เมื่อข้อมูลนี้เป็นที่สนใจของผู้ถือหุ้น กลต.ก็ต้องให้ความสนใจเป็นธรรมดา ส่วนที่ว่า กลต.จะสอบสวนอย่างไรนั้น ต้องไปถามท่าน ตนต้อนรับความเคลื่อนไหวตรงนี้ คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ในส่วนของตนจะเดินหน้าต่อไปในการเตรียมให้ อสมท นั้น เป็นบริษัทมหาชนที่ตอบโจทย์ผู้ถือหุ้นและตอบโจทย์ของประเทศตามนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ส่วนการประกอบการจะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องเล็กแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผลการสอบสวน

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่นำข้อมูลออกมาเปิดเผยนั้นเพราะ ไปได้ข้อมูลมาจากไหน และเข้าข่ายอินไซเดอร์ หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นข้อมูลที่ค่อนข้างจะปรากฏชัดเจน มีการรายงานข่าวเป็นระยะ เพียงแต่ว่าไม่ได้รวบมาพูดกันเป็นตัวเลขเท่านั้นเอง ตนเองที่หยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพราะเป็นการตอบคำถามของนักข่าวที่ถามว่า อสมท นั้น จะมีความเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไป คือถามกันในวันที่แถลงข่าว เปิดตัวสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ตนเลยตอบว่ามีความกังวลในเรื่องนี้ เท่านั้นเอง ส่วนเรื่องจะมีการประเมินกันอย่างไรในกรอบอื่นๆ ไม่เฉพาะเรื่องของผลการประกอบการ แต่จะมีแง่ของความสามารถในการบริหารงาน ความสามารถในการแข่งขันของบริษัท อสมทฯ ยังมีอีกมากที่ต้องดูในภาพกว้าง

ต่อข้อถามว่า การระบุว่าอาจจะมีการโยกย้ายนายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ออกจากตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อสมท อาจเข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 268 หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ตนไม่ได้ระบุเรื่องนี้ เป็นเพียงการตอบคำถามว่า เราไม่ได้มุ่งเป้าที่ตัวบุคคลแต่เป็นการมุ่งเป้าที่ผลการบริหารงานของบริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ อย่าลืมว่าบริษัทมหาชนขึ้นอยู่กับว่า ใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าหากเป็นเอกชนถือหุ้นใหญ่ก็เป็นเรื่องของเอกชน แต่ในกรณีของ อสมท รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ รัฐบาลมีความรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะฉะนั้นการกำกับบริษัทมหาชนที่รัฐเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่เหมือนกับบริษัทมหาชนที่เอกชนถือหุ้น เพราะฉะนั้นต้องมีการบริหารงานที่ละเอียดลงไปบ้าง

“แต่ผมก็อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้ว่าเรื่อง อสมท มีอาการกันมากเหลือเกิน เรื่องนี้จะทำให้มองอย่างไร คงต้องใช้เวลา แต่อยากบอกว่าประเมินผลการบริหารงานเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมายอยู่เหนือการประเมิน ไม่ว่าใครจะเป็นนอมินีของใคร ไม่วาใครจะเป็นผู้แบ่งปันผลประโยชน์ให้ใคร ถ้าหากคุณจะต้องถูกประเมินผลแล้ว อยู่ในฐานะที่เสมอภาคและเท่าเทียมกัน”นายจักรภพ กล่าว

เมื่อถามว่าเปรียบเทียบผลประกอบการอย่างไร จึงบอกว่าขาดทุน นายจักรภพกล่าวว่า จริงๆ แล้วที่เอ่ยตัวเลขนั้นขึ้นมา เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ ซึ่งพนักงาน อสมท รู้กันทุกคน เป็นเรื่องที่ไม่ได้มองกันแบบปีต่อปี ในรอบ 7 ปีขาดทุนครั้งแรกเป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นการแสดงให้เห็นว่าทิศทางในการบริหารงานเกิดปัญหา และ 7 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยไม่ได้ดีตลอด ก็มีภาวะขึ้นๆ ลงๆ แต่กำไรของ อสมท ก็พุ่งขึ้นสูงอยู่ตอลดเวลาในช่วงเวลานั้น เพิ่งจะมีในตอนนี้ที่คว่ำลงไป เพราะฉะนั้นก็น่าคิดว่าเราจะต้องประเมินอะไรกันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการประเมินตัวองค์กรเอง ประเมินตัวผู้บริหาร หรือภรรยาผู้บริหาร

ต่อข้อถามว่า การออกมาเปิดเผยตัวเลข ทำให้มีผลกระทบต่อผู้ถือหุ้นหรือไม่ นายจักรภพกล่าวว่า ไม่มีผลกระทบ เพราะเป็นการปกป้องผลประโยชน์ของผู้หุ้น ถ้าหากผู้ถือหุ้นไม่รับรู้หรือไม่ได้รับการแจ้งถึงผลประกอบการจริง ถามทีไรก็บอกว่ายังได้กำไร ยังดีอยู่ แต่เมื่อแยกรายได้จากสัมปทานไปแล้วปรากฏว่าไม่ดีจริง ตรงนี้การที่เราชี้ปัญหาในจุดที่ถูกต้องเป็นการปกป้องผู้ถือหุ้น

เมื่อถามว่า ผู้เกี่ยวข้องในตลาดหลักทรัพย์อยากจะให้มีการตรวจสอบการเอาข้อมูลมาเปิดเผย เพราะตามปกติบริษัทในตลาดหลักทรัพย์จะรายงานตัวเลขไปยังตลาดหลักทรัพย์ทุกไตรมาสอยู่แล้ว นายจักรภพกล่าวว่า ต้องเข้าใจว่า กลต.มีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์และระบบของบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ฉะนั้นการเคลื่อนไหวของ กลต.ถือเป็นเรื่องดี ถูกต้องแล้ว แต่ต้องให้ชัดเจนว่า การปกป้องสิทธิผู้ถือหุ้น ไม่ได้หมายความว่าซ่อนความลับไม่ให้ผู้ถือหุ้นได้รู้ ต้องให้เขามีสิทธิรับรู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างไร และเมื่อ อสมท เป็นบริษัทมหาชนที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่ รัฐบาลมีความรับผิดชอบที่ย่อมจะต้องกว้างกว่าคนทั่วไป ยิ่งต้องทำให้การตรวจสอบนั้นมีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นจะเปรียบเทียบบริษัทมหาชนที่เอกชนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่กับบริษัทมหาชนที่รัฐบาลเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นั้น ต้องยอมรับว่าเกณฑ์บางอย่างอาจจะไม่เหมือนกัน

ต่อข้อถามว่า ทำไมข้อมูลที่มีถึงต่างจากข้อมูลที่ อสมท รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งบอกว่าได้กำไร 35% นายจักรภพ กล่าวว่า “อยู่ที่ว่าใครใน อสมท เป็นผู้พูดข้อมูลนี้ ผมแนะนำว่าถ้าอยากรู้ข้อมูลจริงไปถามกันแบบไม่เป็นทางการดีกว่า ผมเชื่อว่ามีพนักงาน อสมท จำนวนมากที่รู้ข้อมูลตรงนี้ หรือแม้แต่สหภาพแรงงาน อสมท ก็รู้ดี ว่าการประกอบการและการทำงานในช่วงเวลาที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ถ้าพูดตอนนี้ก็เหมือนการชี้นำ ผมเพียงแต่บอกว่าประเด็นไหนบ้างที่เราควรจะแตะเข้าไปดู เพื่อจะได้ข้อเท็จจริงมาตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง”

เมื่อถามว่า ที่ระบุว่าถ้าอยากได้ข้อมูลที่แท้จริงให้ไปถามสหภาพฯ แสดงว่าได้ข้อมูลมาจากสหภาพฯ ใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ใช่ ตนหมายความว่าข้อมูลอื่นนอกเหนือจากนี้ คนใน อสมท เองค่อนข้างจะรู้ดีกัน เมื่อถามว่า ไม่ได้คิดว่าข้อมูลนี้เป็นการวางยาใช่หรือไม่ นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ใช่

ต่อข้อถามว่าจะอธิบายอย่างไรว่าการเข้าไปดูแล อสมท ไม่ได้มีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง นายจักรภพกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการบริหารงานล้วนๆ ถ้าหากเป็นเรื่องการเมืองก็ไม่ได้มายืนอธิบายกันอยู่ ว่าเราจะไปประเมินในด้านไหนกันบ้าง ที่แจกแจงว่าต้องประเมินเรื่องอะไร เพราะว่าเป็นเรื่องการบริหารซึ่งสื่อมวลชนและประชาชนมีสิทธิรู้ ว่าหากมีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาดูตรงไหนบ้าง ถ้าเป็นการเมืองก็เป็นการใช้อำนาจล้วนๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้แน่

เมื่อถามว่า กังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อราคาหุ้นของ อสมท หรือไม่ นายจักรภพกล่าวว่า ขนาดนี้ตนเชื่อว่าเราต้องมองไปที่ความโปร่งใสและธรรมาภิบาลของบริษัท อสมทฯ ก่อนที่เราจะห่วงเรื่องอื่น เพราะว่าถ้าหากเราห่วงแต่เรื่องของตัวเลข ก็จะทำให้เราไม่รู้ว่าต้นเหตุของปัญหามาจากไหน ที่ต้องเอ่ยถึงตัวเลขการขาดทุน เพราะตรงนั้นน่าจะเป็นต้นเหตุที่ทำให้การประกอบการของ อสมท มีปัญหาในปัจจุบัน ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องจับประเด็นให้ถูก อสมท มีปัญหาตรงไหนต้องจี้และแก้ตรงนั้น ส่วนผลจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้นเป็นเรื่องที่ต้องบริหารงานกันในห้วงสองห้วงสาม

เมื่อถามว่าคิดหรือไม่ว่าประเด็น อสมท จะทำให้มีการเข้าชื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการขาดคุณสมบัติของรัฐมนตรี นายจักรภพ กล่าวว่า ไม่ เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็มีประเด็นปัญหาที่เป็นการวางกับดักไว้เยอะอยู่แล้ว ถ้านั่งห่วงกังวลกันก็ไม่ต้องมาทำงานอะไรกัน นี่คือเหตุผลว่าทำไมรัฐบาลชุดนี้จึงต้องทำงานแข่งกับเวลา ขณะเดียวกันก็เสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น