วานนี้ (11 ก.ค.) เวลา 11.00 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายเศกสรรค์ บางสมบุญ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ นำสำนวนการสอบสวนจำนวน 3 ลัง 20 แฟ้ม รวม 19,933 แผ่น พร้อมความเห็นของ นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด สั่งฟ้องพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นหุ้นส่วน หรือผู้ถือหุ้นในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทที่รับสัมปทาน หรือเข้าเป็นคู่สัญญาในลักษณะดังกล่าว เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือดูแลกิจการใดเข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย เพื่อประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่น เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91,152,157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 ,100 ,122 ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
**เป็นนายกทำผิดกฎหมาย**
ตามโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 9 ก.พ.44 ถึง วันที่ 19 ก.ย.49 ซึ่งเป็นเวลาบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. และเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ม.11 โดยจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลทั้งส่วนราชการในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นในฝ่ายบริหารที่ไม่ได้สังกัดกระทรวง ทบวง กรม ใด รวมทั้งองค์การของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งที่เป็นข้าราชการและพนักงานในองค์การรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจำเลยในฐานะนายกฯ มีอำนาจหน้าที่กำหนดและกำกับนโยบายสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
**ไม่ยับยั้งการกระทำผิด
โดยในส่วนของการจัดการดูแลกิจการโทรคมนาคม จำเลยมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ม.11 ซึ่งจำเลยมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน ในการสั่งราชการส่วนกลาง ชี้แจงแสดงความเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใดๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติ ครม.ซึ่งตาม ม.7 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว กระทรวง เป็นการจัดการบริหารราชการส่วนกลาง และ ม.20 ให้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ ม.24 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน ส่งเสริม พัฒนา และดำเนินกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ และตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ม. 10 กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลัง การบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียวตามกฏหมาย จำเลยจึงมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการกระทรวงการคลัง ผ่าน รมว.คลัง และบริหารราชการเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที รวมทั้งการสั่งราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตผ่านทาง รมว.คลัง และที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที
นอกจากนี้ จำเลยยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ หมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ตาม ม.100 ซึ่งต่อมายังได้มีประกาศ ป.ป.ช.เรื่องกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการตามบทบัญญัติ ม.100
**ถือหุ้นชินฯ ฝ่าฝืนกฎหมาย
โดยคดีนี้ระหว่างวันที่ 9 ก.พ.44 ถึงวันที่ 8 มี.ค.48 และระหว่างวันที่ 9 มี.ค.48 ถึงวันที่ 19 ก.ย. 49 จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าว เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแอดวานซ์ อินโฟล์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด, บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทุกบริษัทดังกล่าวต่างเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ โดยจำเลยอำพรางการถือหุ้นไว้ ด้วยการให้บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด, บริษัท วินมาร์ค จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นของจำเลย โดยมี นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่คู่สมรส มีชื่อถือหุ้นแทน
**แปลงภาษีสรรพสามิตเอื้อชินฯ
โดยระหว่างวันที่ 9 ก.พ.44 ถึงวันที่ 19 ก.ย.49 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการสั่งราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิต ผ่านทาง รมว.คลัง และที่เกี่ยวข้องกับทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที ได้ปฏิบัติ หรือและเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการโทรคมนาคม ด้วยการกระทำการ สั่งการตามอำนาจหน้าที่ให้มีการแปลงค่าสัมปทานในกิจการโทรคมนาคมให้เป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อประโยชน์แก่ธุรกิจของ บมจ.ชินคอร์ปฯ
โดยค่าสัมปทานดังกล่าว บมจ.แอดวานซ์ฯ บมจ.ดิจิตอลโฟนฯ ที่ บมจ.ชินคอร์ปฯ ถือหุ้นใหญ่ มีหน้าที่ต้องชำระให้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยมอบนโยบายและสั่งการให้ออก พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2546 พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68 ) ลงวันที่ 28 ม.ค.46 และมติ ครม. วันที่ 11 ก.พ.46 กรณีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม และให้นำค่าสัมปทานหักกับภาษีสรรพสามิต โดยการกระทำดังกล่าว ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กระทรวงการคลัง กระทรวงไอซีที บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท. รวมทั้งบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องโดยทำให้ บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท. ที่เป็นคู่สัญญานำค่าภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากค่าสัมปทาน ทำให้เสียหายจำนวน 41,951.68 ล้านบาท และจำนวน 25,992.08 ล้านบาท
**ละเว้นเก็บภาษีมือถือ-ดาวเทียม
นอกจากนี้ จำเลยไม่กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการดาวเทียม ทั้งที่เป็นกิจการโทรคมนาคม และเป็นกิจการที่ บมจ.ชินคอร์ปฯ ได้รับสัมปทานจากรัฐเช่นเดียวกับโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการใช้อำนาจของจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยไม่สุจริต เหตุตามฟ้องเกิดที่แขวง-เขตดุสิต และแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
คดีนี้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทีโอที มีหนังสือลงวันที่ 29 พ.ย.49 ถึงประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบการตรา พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราสรรพสามิต ดังกล่าว ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาล ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง คตส. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่ตรวจสอบมาพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้ถือหุ้นแทนใน บมจ.ชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.100, 122 และ เป็นความผิด ตาม ป.อาญา ม.152 และ 157 จึงเสนอ คตส.ซึ่งได้มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ ซึ่งต่อมาจำเลยได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยให้การปฏิเสธ
**ขอบวกโทษคดีที่ดินรัชดา
โดยระหว่างไต่สวน จำเลยไม่ถูกควบคุมตัว โจทก์ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง เนื่องจากจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลนี้แล้ว โดยจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.1/2550 (คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก) ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงขอให้ศาลมีหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาต่อไป ซึ่งคดีนี้โจทก์มี นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ขณะนั้น) นายสัญญา วรัญญู นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เป็นพยานยื่นยันการถือหุ้น และปิดบังอำพรางการถือหุ้นของจำเลยใน บมจ.ชินคอร์ปฯ และมีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ นายสมหมาย ภาษี เป็นพยานยืนยันการแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตและบุคคลอื่น ประกอบพยานเอกสารที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ โดยโจทก์ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของ จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายดำที่ อม.1/2550 ของศาลฎีกาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนต่อไปประธานศาลฎีกา จะกำหนดนัดประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเพื่อคัดเลือกองค์คณะผู้พิพากษา จำนวน 9 คน เพื่อรับผิดชอบพิจารณาพิพากษาคดีนี้ เมื่อได้องค์คณะทั้ง 9 คนแล้ว องค์คณะจะประชุมพิจารณาเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน พร้อมตรวจสำนวนคำฟ้อง เพื่อพิจารณาว่าจะมีคำสั่งว่ารับหรือไม่รับฟ้องคดี หรือไม่อย่างไร
**อัยการยันทำตามกฎหมายสั่งคดี 3 ก.ย.
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีการแปลงสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ว่า คดีนี้อัยการสูงสุดได้รับมอบสำนวนจาก คตส. เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเมื่ออัยการเห็นว่าสำนวนคดีดังกล่าวมีความสมบูรณ์เพียงพอ อัยการสูงสุดจึงได้สั่งฟ้อง และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯในวันนี้ โดยเมื่อยื่นฟ้องแล้วศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 3 ก.ย. นี้ เวลา 10.00 น.
ส่วนการพิจารณาสำนวน คตส. คดีทุจริตโครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้า และเครือข่าย ท่อร้อยสายสนามสุวรรณภูมิ นั้นคดีนี้ ที่ คตส.ส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งคดี ซึ่งมีผู้ถูกล่าวหารวม 21 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ข้าราชการ 2.เจ้าหน้าที่ของบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) และ 3.บริษัทเอกชน
อย่างไรก็ดี อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดียังมีข้อไม่สมบูรณ์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อัยการสูงสุด จึงได้เสนอข้อไม่สมบูรณ์ไปที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งทำหน้าที่รับสำนวนต่อจาก คตส. แต่งตั้งคณะกรรมการ่วมระหว่างอัยการ และ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนร่วมกัน ทั้งนี้ เกี่ยวกับรายละเอียดความไม่สมบูรณ์ในสำนวนนั้นมีอยู่หลายประเด็น
"การพิจารณาคดีต่างๆ ที่ผ่านมานั้น อัยการสูงสุดได้ทำตามที่กรอบกฎหมายกำหนด ซึ่ง พยายามพิจารณาสำนวนให้เสร็จภายใน 30 วัน หากล่าช้าอาจถูกโจมตีว่าทำไม่ทัน ส่วนที่มีข่าวว่า อัยการสูงสุด สั่งให้อัยการถอนตัว ไม่ให้ความร่วมมือกับป.ป.ช. ในการทำหน้าที่คณะกรรมการร่วมนั้น ไม่เป็นความจริง ขอชี้แจงว่าทาง อสส. ไม่ได้มีนโยบายที่จะกระทำเช่นนั้น" โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวและว่า อัยการ ขอยืนยันว่าในคดีที่สำนวนมีความสมบูรณ์ ทางอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลในทันที โดยได้ทำการพิจารณาบนพื้นฐานของความเป็นจริง ถูกต้อง และเป็นธรรม
**เป็นนายกทำผิดกฎหมาย**
ตามโจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 9 ก.พ.44 ถึง วันที่ 19 ก.ย.49 ซึ่งเป็นเวลาบริหารราชการแผ่นดินตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช. และเจ้าพนักงานตามกฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ม.11 โดยจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่กำกับดูแลทั้งส่วนราชการในสังกัดกระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานอื่นในฝ่ายบริหารที่ไม่ได้สังกัดกระทรวง ทบวง กรม ใด รวมทั้งองค์การของรัฐและรัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย และเป็นผู้บังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งที่เป็นข้าราชการและพนักงานในองค์การรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจำเลยในฐานะนายกฯ มีอำนาจหน้าที่กำหนดและกำกับนโยบายสูงสุดในการบริหารราชการแผ่นดินตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ และนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่แถลงต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
**ไม่ยับยั้งการกระทำผิด
โดยในส่วนของการจัดการดูแลกิจการโทรคมนาคม จำเลยมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ม.11 ซึ่งจำเลยมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดิน ในการสั่งราชการส่วนกลาง ชี้แจงแสดงความเห็น ทำรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการ ในกรณีจำเป็นจะยับยั้งการปฏิบัติราชการใดๆ ที่ขัดต่อนโยบายหรือมติ ครม.ซึ่งตาม ม.7 ของ พ.ร.บ.ดังกล่าว กระทรวง เป็นการจัดการบริหารราชการส่วนกลาง และ ม.20 ให้มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ ม.24 กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการวางแผน ส่งเสริม พัฒนา และดำเนินกิจการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ และตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 ม. 10 กระทรวงการคลังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเงินการคลัง การบริหารทรัพย์สินของแผ่นดิน ภาษีอากร การรัษฎากร กิจการหารายได้ที่รัฐมีอำนาจดำเนินการได้แต่เพียงผู้เดียวตามกฏหมาย จำเลยจึงมีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการกระทรวงการคลัง ผ่าน รมว.คลัง และบริหารราชการเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที รวมทั้งการสั่งราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิตผ่านทาง รมว.คลัง และที่เกี่ยวข้องกับ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที
นอกจากนี้ จำเลยยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ หมวด 9 ว่าด้วยการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม ตาม ม.100 ซึ่งต่อมายังได้มีประกาศ ป.ป.ช.เรื่องกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ต้องห้ามไม่ให้ดำเนินกิจการตามบทบัญญัติ ม.100
**ถือหุ้นชินฯ ฝ่าฝืนกฎหมาย
โดยคดีนี้ระหว่างวันที่ 9 ก.พ.44 ถึงวันที่ 8 มี.ค.48 และระหว่างวันที่ 9 มี.ค.48 ถึงวันที่ 19 ก.ย. 49 จำเลยเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยการเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 1,419,490,150 หุ้น ซึ่งบริษัทดังกล่าว เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในบริษัทแอดวานซ์ อินโฟล์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน), บริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด, บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งทุกบริษัทดังกล่าวต่างเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ และเข้าเป็นคู่สัญญากับรัฐ โดยจำเลยอำพรางการถือหุ้นไว้ ด้วยการให้บริษัท แอมเพิลริช อินเวสต์เมนท์ จำกัด, บริษัท วินมาร์ค จำกัด ซึ่งทั้งสองบริษัทเป็นของจำเลย โดยมี นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรสาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่คู่สมรส มีชื่อถือหุ้นแทน
**แปลงภาษีสรรพสามิตเอื้อชินฯ
โดยระหว่างวันที่ 9 ก.พ.44 ถึงวันที่ 19 ก.ย.49 จำเลยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีอำนาจหน้าที่กำกับโดยทั่วไปในการบริหารราชการแผ่นดิน รวมทั้งการสั่งราชการที่เกี่ยวข้องกับภาษีสรรพสามิต ผ่านทาง รมว.คลัง และที่เกี่ยวข้องกับทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารผ่าน รมว.ไอซีที ได้ปฏิบัติ หรือและเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริต เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการโทรคมนาคม ด้วยการกระทำการ สั่งการตามอำนาจหน้าที่ให้มีการแปลงค่าสัมปทานในกิจการโทรคมนาคมให้เป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อประโยชน์แก่ธุรกิจของ บมจ.ชินคอร์ปฯ
โดยค่าสัมปทานดังกล่าว บมจ.แอดวานซ์ฯ บมจ.ดิจิตอลโฟนฯ ที่ บมจ.ชินคอร์ปฯ ถือหุ้นใหญ่ มีหน้าที่ต้องชำระให้แก่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) และบริษัท กสท.โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยมอบนโยบายและสั่งการให้ออก พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 (ฉบับที่ 4 ) พ.ศ.2546 พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2527 พ.ศ.2546 ประกาศกระทรวงการคลัง เรื่องลดอัตราและยกเว้นภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 68 ) ลงวันที่ 28 ม.ค.46 และมติ ครม. วันที่ 11 ก.พ.46 กรณีที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากกิจการโทรคมนาคม และให้นำค่าสัมปทานหักกับภาษีสรรพสามิต โดยการกระทำดังกล่าว ทำให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ กระทรวงการคลัง กระทรวงไอซีที บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท. รวมทั้งบริษัทอื่นที่เกี่ยวข้องโดยทำให้ บมจ.ทีโอที และบมจ.กสท. ที่เป็นคู่สัญญานำค่าภาษีสรรพสามิตมาหักออกจากค่าสัมปทาน ทำให้เสียหายจำนวน 41,951.68 ล้านบาท และจำนวน 25,992.08 ล้านบาท
**ละเว้นเก็บภาษีมือถือ-ดาวเทียม
นอกจากนี้ จำเลยไม่กำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการดาวเทียม ทั้งที่เป็นกิจการโทรคมนาคม และเป็นกิจการที่ บมจ.ชินคอร์ปฯ ได้รับสัมปทานจากรัฐเช่นเดียวกับโทรศัพท์พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการใช้อำนาจของจำเลยในฐานะนายกรัฐมนตรี โดยไม่สุจริต เหตุตามฟ้องเกิดที่แขวง-เขตดุสิต และแขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กทม.
คดีนี้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.ทีโอที มีหนังสือลงวันที่ 29 พ.ย.49 ถึงประธานคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบการตรา พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราสรรพสามิต ดังกล่าว ซึ่งดำเนินการโดยรัฐบาล ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง คตส. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่า พยานหลักฐานที่ตรวจสอบมาพอที่จะแจ้งข้อกล่าวหากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ให้บุคคลอื่นเป็นผู้ถือหุ้นแทนใน บมจ.ชินคอร์ปฯ ซึ่งเป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐ เป็นการกระทำที่เป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วย ป.ป.ช.ฯ ม.100, 122 และ เป็นความผิด ตาม ป.อาญา ม.152 และ 157 จึงเสนอ คตส.ซึ่งได้มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาให้จำเลยทราบ ซึ่งต่อมาจำเลยได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยให้การปฏิเสธ
**ขอบวกโทษคดีที่ดินรัชดา
โดยระหว่างไต่สวน จำเลยไม่ถูกควบคุมตัว โจทก์ไม่ได้นำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง เนื่องจากจำเลยเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจของศาลนี้แล้ว โดยจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อม.1/2550 (คดีทุจริตซื้อขายที่ดินรัชดาภิเษก) ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงขอให้ศาลมีหมายเรียกจำเลยมาพิจารณาพิพากษาต่อไป ซึ่งคดีนี้โจทก์มี นายสุนัย มโนมัยอุดม อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ขณะนั้น) นายสัญญา วรัญญู นายธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล เป็นพยานยื่นยันการถือหุ้น และปิดบังอำพรางการถือหุ้นของจำเลยใน บมจ.ชินคอร์ปฯ และมีนายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธ์ นายสมหมาย ภาษี เป็นพยานยืนยันการแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิตและบุคคลอื่น ประกอบพยานเอกสารที่จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ โดยโจทก์ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย และขอให้นับโทษจำเลยคดีนี้ต่อจากโทษของ จำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายดำที่ อม.1/2550 ของศาลฎีกาฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขั้นตอนต่อไปประธานศาลฎีกา จะกำหนดนัดประชุมใหญ่ผู้พิพากษาศาลฎีกาเพื่อคัดเลือกองค์คณะผู้พิพากษา จำนวน 9 คน เพื่อรับผิดชอบพิจารณาพิพากษาคดีนี้ เมื่อได้องค์คณะทั้ง 9 คนแล้ว องค์คณะจะประชุมพิจารณาเลือกผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน พร้อมตรวจสำนวนคำฟ้อง เพื่อพิจารณาว่าจะมีคำสั่งว่ารับหรือไม่รับฟ้องคดี หรือไม่อย่างไร
**อัยการยันทำตามกฎหมายสั่งคดี 3 ก.ย.
นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงการยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีการแปลงสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่บริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ว่า คดีนี้อัยการสูงสุดได้รับมอบสำนวนจาก คตส. เมื่อวันที่ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยเมื่ออัยการเห็นว่าสำนวนคดีดังกล่าวมีความสมบูรณ์เพียงพอ อัยการสูงสุดจึงได้สั่งฟ้อง และยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาฯในวันนี้ โดยเมื่อยื่นฟ้องแล้วศาลฎีกาฯ นัดฟังคำสั่งจะรับฟ้องหรือไม่ในวันที่ 3 ก.ย. นี้ เวลา 10.00 น.
ส่วนการพิจารณาสำนวน คตส. คดีทุจริตโครงการก่อสร้างระบบจ่ายไฟฟ้า และเครือข่าย ท่อร้อยสายสนามสุวรรณภูมิ นั้นคดีนี้ ที่ คตส.ส่งสำนวนการสอบสวนให้อัยการสูงสุดพิจารณาสั่งคดี ซึ่งมีผู้ถูกล่าวหารวม 21 คน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ข้าราชการ 2.เจ้าหน้าที่ของบริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) และ 3.บริษัทเอกชน
อย่างไรก็ดี อัยการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดียังมีข้อไม่สมบูรณ์ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อัยการสูงสุด จึงได้เสนอข้อไม่สมบูรณ์ไปที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งทำหน้าที่รับสำนวนต่อจาก คตส. แต่งตั้งคณะกรรมการ่วมระหว่างอัยการ และ ป.ป.ช.เพื่อพิจารณาสำนวนร่วมกัน ทั้งนี้ เกี่ยวกับรายละเอียดความไม่สมบูรณ์ในสำนวนนั้นมีอยู่หลายประเด็น
"การพิจารณาคดีต่างๆ ที่ผ่านมานั้น อัยการสูงสุดได้ทำตามที่กรอบกฎหมายกำหนด ซึ่ง พยายามพิจารณาสำนวนให้เสร็จภายใน 30 วัน หากล่าช้าอาจถูกโจมตีว่าทำไม่ทัน ส่วนที่มีข่าวว่า อัยการสูงสุด สั่งให้อัยการถอนตัว ไม่ให้ความร่วมมือกับป.ป.ช. ในการทำหน้าที่คณะกรรมการร่วมนั้น ไม่เป็นความจริง ขอชี้แจงว่าทาง อสส. ไม่ได้มีนโยบายที่จะกระทำเช่นนั้น" โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวและว่า อัยการ ขอยืนยันว่าในคดีที่สำนวนมีความสมบูรณ์ ทางอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อศาลในทันที โดยได้ทำการพิจารณาบนพื้นฐานของความเป็นจริง ถูกต้อง และเป็นธรรม