ASTVผู้จัดการรายวัน - ปูนใหญ่ไตรมาส2 และงวด 6 เดือนแรกปีนี้วูบเกือบ 30% เหตุราคาผลิตภัณฑ์ในตลาดโลกหดตัวส่งผลให้มาร์จิ้นต่ำ "กานต์ " ยันคงเป้ารายได้ปี 52 หดเพียง 20-25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 2.93 แสนล้านบาท เชื่อครึ่งปีหลังปิโตรฯและกระดาษขายดี และภาพรวมเศรษฐกิจสัญญานดีขึ้นจาการกระต้นภาครัฐ ขณะโครงการปิโตรฯในเวียดนามเลื่อนอย่างไม่มีกำหนดเหตุกู้เงินยาก เผยดีล M&A ปิดแล้ว 2 เพราะไม่ได้สิทธิ์ในการบริหาร อยู่ระหว่างเจรจาอีก 3-4 ดีล เตรียมออกหุ้นกู้ 1 หมื่นล้านรีไฟแนนซ์หนี้เดิมที่จะครบกำหนด ต.ค. นี้
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 6,837 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,195 ล้านบาท หรือลดลง 358 ล้านบาท คิดเป็น 29% จากปี 51 เนื่องจากยอดขายไตรมาสนี้มี 56,880 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะราคาผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และกระดาษในตลาดโลดลดลง อย่างไรก็ดีผลงานไตรมาส 2 ถือว่าดีกว่าไตรมาสแรกเพราะมาร์จิ้นของสินค้าเคมีภัณฑ์ดีขึ้นจากไตรมาสแรก
สำหรับงวด 6 เดือนพบว่าปีนี้ (ดูตาราง) มียอดขายสุทธิ 112,091 ล้านบาท ลดลง 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 158,855 ล้านบาท ส่วนต้นทุนขาย 86,128 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มี 131,502 ล้านบาท และกำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 25,961 ล้านบาทจากเดิมที่มี 27,352 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนมี 12,025 ล้านบาทต่ำกว่าปี 51 ที่ทำไว้ 14,310 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นลดจาก 11.93 บาทเหลือ 10.02 บาท
หากจะมองตามกลุ่มธุรกิจงวดครึ่งปีแรกพบว่ากำไรสุทธิลดลงจากปีก่อน คือธุรกิจปิโตรเคมีลดลง 23% จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามราคาตลาดโลกและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ธุรกิจกระดาษลดลง 38% จากการหดตัวของตลาดและมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ ส่วนธุรกิจซิเมนต์แม้กำไรไตรมาส 2 จะต่ำกว่าไตรมาสแรกแต่งวดครึ่งปีแรกกลับกำไรเพิ่ม10% ผลดีจากต้นทุนพลังงานที่ต่ำลงจากโครงการ WASTE-HEAT POWER GENERATION (WHG) ที่เริ่มดำเนินการและเห็นผลทันที
อย่างไรก็ดี บริษัทยังยืนยันคงเป้ารายได้ปี 52 ลดลง 20-25% จากปีก่อนที่มีทำได้ 2.93 แสนล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกยอดขายติดลบ 30% แต่คาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นบ้าง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้นมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน
นายกานต์เชื่อว่าผลงานไตรมาส 3 ราคาปิโตรเคมีจะยังดีอยู่ เพราะผลดีจากราคาของเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกจะไม่ต่ำไปอย่างที่ประเมิน หลังกำลังผลิตใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดประมาณ 9 ล้านตันนั้นล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งอาจเลื่อนเป็นปลายปีนี้ 5-6 ล้านตันที่เหลือจะเข้ามาในปี 53 ส่วนรายได้จากธุรกิจซิเมนต์ปีนี้จะลดจากปีก่อน 5-10% ตามภาพรวมของตลาด ถือว่าดีขึ้นจากต้นปีที่มองว่าอาจติดลบถึง 15% เพราะความต้องการใช้ปูนซิเมนต์เพิ่มขึ้นหลังโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มขยับ
" ตอนนี้เรายังไม่ทบทวนเป้าหมายยอดขายใหม่ แม้ครึ่งปีแรกจะติดลบเกือบ 30% แต่คงเป้าทั้งปีติดลบ 20-25% เพราะเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษจะดีต่อเนื่อง " นายกานต์กล่าว
โครงการเวียดนามเจอโรคเลื่อน
นายกานต์กล่าวถึงการลงทุนในเวียดนามโครงการปิโตรเคมีที่ใช้เงินลงทุนมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นถือว่าเป็นโครงการที่ใหญ่และใช้เงินทุนสูงมาก แต่ไม่มีกำหนดการที่แน่นอน เพราะช่วงวิกฤตเช่นปัจจุบัน การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินทำได้ลำบากและต้องใช้เวลานานขึ้น โดยปกติการขอกู้เเงินแบบโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์จะต้องใช้เวลานานเฉลี่ย 1- 1 ปีครึ่ง ซึ่งสภาพเศรฐษฐกิจที่เกิดขึ้นการเรียกความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนเดิมได้
"ตอนนี้โครงการที่เวียดนามคงต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เพราะการกู้ยืมเงินคงทำได้ยาก เพราะแค่ส่วนต่อขยายที่มาบตาพุดยังใช้เวลาถึง 4 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ" นายกานต์ กล่าว
โดยโรงโอเลฟินส์ แห่งที่ 2 ที่มาบตาพุด ยังดำเนินการได้ตามแผน โดยจะทดสอบเดินเครื่องได้ในเดือนมี.ค. 53 และจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 3 ปี 53 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตใหม่ เพิ่มอีก 1.7 ล้านตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน โดยกำลังการผลิตใหม่แบ่งเป็น เอทิลีน 9 แสนตัน และโพรพิลีน 8 แสนตัน
สำหรับการทำธุรกิจการควบรวมกิจการ( M&A ) นั้นหลังจากที่บริษัทได้เจรจากับคู่ค้าเพื่อหาข้อสรุปในการเข้าถือหุ้นและร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะแต่ละบริษัทที่เจรจานั้นต่างเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศนั้น ๆ และCC ต้องการเข้าไปลงทุนเพื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเข้าบริหาร ขณะที่อีกฝ่ายต้องการเพียงเม็ดเงินเพื่อเข้าไปฟื้นธุรกิจโดยไมต้องการเสียอำนาจในการบริหาร ส่งผลให้การเจรจาดังกล่าวไม่สำเเร็จและปิดดีลไป 2 ราย แต่ยังเหลืออีก 3-4 ดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจาแบบต่อเนื่องโดยไม่รีบร้อน
ขณะที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งปีแรก 52 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น 13 สิงหาคม 52 และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 27 สิงหาคมนี้
พร้อมกันนี้ บอร์ดยังมีมติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดขณะนั้น เพื่อขายให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไป โดยจะนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน 1 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้เมื่อรวมกับหุ้นกู้ออกใหม่ของบริษัท จะมีวงเงินกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้น 110,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมีเงินสดในมือ 29,000 ล้านบาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยว่าปีนี้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 6,837 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 7,195 ล้านบาท หรือลดลง 358 ล้านบาท คิดเป็น 29% จากปี 51 เนื่องจากยอดขายไตรมาสนี้มี 56,880 ล้านบาท ต่ำกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เพราะราคาผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์และกระดาษในตลาดโลดลดลง อย่างไรก็ดีผลงานไตรมาส 2 ถือว่าดีกว่าไตรมาสแรกเพราะมาร์จิ้นของสินค้าเคมีภัณฑ์ดีขึ้นจากไตรมาสแรก
สำหรับงวด 6 เดือนพบว่าปีนี้ (ดูตาราง) มียอดขายสุทธิ 112,091 ล้านบาท ลดลง 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 158,855 ล้านบาท ส่วนต้นทุนขาย 86,128 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มี 131,502 ล้านบาท และกำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 25,961 ล้านบาทจากเดิมที่มี 27,352 ล้านบาท ส่งผลให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนมี 12,025 ล้านบาทต่ำกว่าปี 51 ที่ทำไว้ 14,310 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิต่อหุ้นลดจาก 11.93 บาทเหลือ 10.02 บาท
หากจะมองตามกลุ่มธุรกิจงวดครึ่งปีแรกพบว่ากำไรสุทธิลดลงจากปีก่อน คือธุรกิจปิโตรเคมีลดลง 23% จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ลดลงตามราคาตลาดโลกและภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ธุรกิจกระดาษลดลง 38% จากการหดตัวของตลาดและมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ ส่วนธุรกิจซิเมนต์แม้กำไรไตรมาส 2 จะต่ำกว่าไตรมาสแรกแต่งวดครึ่งปีแรกกลับกำไรเพิ่ม10% ผลดีจากต้นทุนพลังงานที่ต่ำลงจากโครงการ WASTE-HEAT POWER GENERATION (WHG) ที่เริ่มดำเนินการและเห็นผลทันที
อย่างไรก็ดี บริษัทยังยืนยันคงเป้ารายได้ปี 52 ลดลง 20-25% จากปีก่อนที่มีทำได้ 2.93 แสนล้านบาท แม้ครึ่งปีแรกยอดขายติดลบ 30% แต่คาดว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้นบ้าง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจที่มีสัญญาณดีขึ้นมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ ส่งผลดีต่อการลงทุนภาคเอกชน
นายกานต์เชื่อว่าผลงานไตรมาส 3 ราคาปิโตรเคมีจะยังดีอยู่ เพราะผลดีจากราคาของเคมีภัณฑ์ในตลาดโลกจะไม่ต่ำไปอย่างที่ประเมิน หลังกำลังผลิตใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดประมาณ 9 ล้านตันนั้นล่าช้ากว่ากำหนด ซึ่งอาจเลื่อนเป็นปลายปีนี้ 5-6 ล้านตันที่เหลือจะเข้ามาในปี 53 ส่วนรายได้จากธุรกิจซิเมนต์ปีนี้จะลดจากปีก่อน 5-10% ตามภาพรวมของตลาด ถือว่าดีขึ้นจากต้นปีที่มองว่าอาจติดลบถึง 15% เพราะความต้องการใช้ปูนซิเมนต์เพิ่มขึ้นหลังโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มขยับ
" ตอนนี้เรายังไม่ทบทวนเป้าหมายยอดขายใหม่ แม้ครึ่งปีแรกจะติดลบเกือบ 30% แต่คงเป้าทั้งปีติดลบ 20-25% เพราะเชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีและกระดาษจะดีต่อเนื่อง " นายกานต์กล่าว
โครงการเวียดนามเจอโรคเลื่อน
นายกานต์กล่าวถึงการลงทุนในเวียดนามโครงการปิโตรเคมีที่ใช้เงินลงทุนมากกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นั้นถือว่าเป็นโครงการที่ใหญ่และใช้เงินทุนสูงมาก แต่ไม่มีกำหนดการที่แน่นอน เพราะช่วงวิกฤตเช่นปัจจุบัน การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินทำได้ลำบากและต้องใช้เวลานานขึ้น โดยปกติการขอกู้เเงินแบบโปรเจ็กต์ไฟแนนซ์จะต้องใช้เวลานานเฉลี่ย 1- 1 ปีครึ่ง ซึ่งสภาพเศรฐษฐกิจที่เกิดขึ้นการเรียกความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีเหมือนเดิมได้
"ตอนนี้โครงการที่เวียดนามคงต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด เพราะการกู้ยืมเงินคงทำได้ยาก เพราะแค่ส่วนต่อขยายที่มาบตาพุดยังใช้เวลาถึง 4 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ" นายกานต์ กล่าว
โดยโรงโอเลฟินส์ แห่งที่ 2 ที่มาบตาพุด ยังดำเนินการได้ตามแผน โดยจะทดสอบเดินเครื่องได้ในเดือนมี.ค. 53 และจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้ไตรมาส 3 ปี 53 ส่งผลให้มีกำลังการผลิตใหม่ เพิ่มอีก 1.7 ล้านตัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน โดยกำลังการผลิตใหม่แบ่งเป็น เอทิลีน 9 แสนตัน และโพรพิลีน 8 แสนตัน
สำหรับการทำธุรกิจการควบรวมกิจการ( M&A ) นั้นหลังจากที่บริษัทได้เจรจากับคู่ค้าเพื่อหาข้อสรุปในการเข้าถือหุ้นและร่วมลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะแต่ละบริษัทที่เจรจานั้นต่างเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศนั้น ๆ และCC ต้องการเข้าไปลงทุนเพื่อเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และเข้าบริหาร ขณะที่อีกฝ่ายต้องการเพียงเม็ดเงินเพื่อเข้าไปฟื้นธุรกิจโดยไมต้องการเสียอำนาจในการบริหาร ส่งผลให้การเจรจาดังกล่าวไม่สำเเร็จและปิดดีลไป 2 ราย แต่ยังเหลืออีก 3-4 ดีลที่อยู่ระหว่างการเจรจาแบบต่อเนื่องโดยไม่รีบร้อน
ขณะที่คณะกรรมการบริษัทอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งปีแรก 52 ในอัตราหุ้นละ 3.50 บาท โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น 13 สิงหาคม 52 และจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 27 สิงหาคมนี้
พร้อมกันนี้ บอร์ดยังมีมติให้ออกและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ จำนวนไม่เกิน 10,000 ล้านบาท อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยตามราคาตลาดขณะนั้น เพื่อขายให้นักลงทุนและประชาชนทั่วไป โดยจะนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดไถ่ถอน 1 ตุลาคมนี้ ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นกู้เมื่อรวมกับหุ้นกู้ออกใหม่ของบริษัท จะมีวงเงินกู้ที่ออกรวมทั้งสิ้น 110,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันมีเงินสดในมือ 29,000 ล้านบาท