ผู้บริหารปูนซิเมนต์ไทย มองเศรษฐกิจครึ่งปีหลังมีสัญญาณดีขึ้น หลังการส่งออกขยายตัว มองตลาดปูนซีเมนต์ครึ่งปีหลังเป็นบวก แถมปิโตรเคมีดีกว่าที่คาดไว้ ย้ำ ต้นปีหน้าเห็นความชัดเจนโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ที่เวียดนาม และรายได้กลุ่มปิโตรฯเติบโตขึ้นเท่าตัว
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังนี้มีสัญญานดีขึ้น การส่งออกมีการขยายตัว แต่จะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น คงต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง
“เศรษฐกิจโลกได้เลยจุดต่ำสุดแล้ว ทำอย่างไรจะให้การเมืองไทยนิ่งเพื่อให้การลงทุนเดินหน้าต่อไปได้”
สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีพบว่าดีกว่าที่เครือปูนใหญ่ คาดการณ์ไว้จากเดิมที่เคยกังวล ว่า จะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางและจีน เข้ามาในปีนี้ 9 ล้านตัน แต่ลดเหลือ 5 ล้านตัน ซึ่งจนถึงปลายนี้ไม่แน่กำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาอาจจะปรับลดลงอีก ส่วนซีเมนต์มีแนวโน้มดีขึ้น โดยครึ่งปีหลังความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ น่าจะปรับเป็นบวกได้ เช่นเดียวกับธุรกิจกระดาษที่เริ่มดีขึ้น หลังจากสต็อกเก่าลดลง ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาในช่วงกลางปีนี้
ดังนั้น ทุกธุรกิจในเครือเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าขยายตัวดีขึ้น แต่คงต้องพิจารณาเป็นรายธุรกิจว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน สำหรับโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามที่ล่าช้าออกไปนั้น เนื่องจากติดปัญหาโปรเจกต์ ไฟแนนซ์ แต่ขณะนี้สถานการณ์ตลาดการเงินโลกดีขึ้นมากเมื่อเทียบจากต้นปี 2552
นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมีคอลส์ กล่าวถึงโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่เวียดนาม มูลค่าเงินลงทุน 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถแข่งขันได้ คาดว่า จะได้ข้อสรุปชัดเจนในต้นปี 2553
สำหรับสถานการณ์ราคาเม็ดพลาสติกในช่วงนี้ พบว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 600 กว่าเหรียญสหรัฐฯ/ตัน แต่คาดว่า ในช่วงปลายปีนี้สเปรดจะแคบลง แต่จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่มในตลาด ว่า จะเข้าได้ตามกำหนดเดิมหรือไม่ในปี 2553 โครงการโอเลฟินส์ 2 และโรงงานต่อเนื่อง จะแล้วเสร็จทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว ส่งผลให้รายได้เอสซีจี เคมิคอลส์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังต้องเผชิญกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปี 2551 เอสซีจี เคมิคอลส์ มียอดขายรวม 1.36 แสนล้านบาท
“ขณะนี้โครงการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE ที่อิหร่านขนาดกำลังผลิต 3 แสนตันอยู่ระหว่าง Test run คาดว่า จะผลิตเต็มที่ในปี 2553 ซึ่งกำลังการผลิตเน้นส่งออก”
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานอาวุโส หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวในงาน Thailand Top Leaders Forum : Leading Human Capital in Challenging Times วานนี้ (24 ส.ค.) ว่า ธุรกิจยานยนต์ในครึ่งปีหลังมีสัญญาณการใช้กำลังการผลิตดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังต่ำกว่าปีที่แล้ว 10% ทำให้ปีนี้ธุรกิจยานยนต์หดตัวลงประมาณ 20% ซึ่งถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 89 ดีกว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้ที่ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 60 กว่า ประเมินว่า ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นบางตัวน่าจะเกิน 100 ซึ่งไม่เคยเห็นมาในรอบหลายปี จากการสำรวจแรงงานในช่วงที่ผ่านมา พบว่า หลายอุตสาหกรรมมีการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกเริ่มดีขึ้น อาทิ อิเล็กทรอนิกส์จากเดิมเคยส่งออกตกลง 40% ปัจจุบันปรับขึ้นมา 20-30% ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20-30%
“สถานการณ์ครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากรัฐมีการอัดฉีดงบประมาณมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะงบไทยเข้มแข็งสูงถึง 1.06 ล้านล้านบาท ในปี 2553 เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงาน”
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไม่อยากให้ทุกคนประมาทมองว่าเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะมองว่าเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวเร็วเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดส่งออก ซึ่งคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ จะมาจากสต็อกที่ลดลงมาก ขณะเดียวกันประชาชนของสหรัฐฯมีการออมขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย ส่วนตลาดยุโรปมองว่าจะฟื้นตัวช้ากว่าสหรัฐฯ
สำหรับอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงในช่วงนี้ คือ การท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากหลายปัจจัย ซึ่งกระทบต่อคนจำนวนมาก จึงอยากให้คนไทยหันมาเที่ยวเมืองไทยกันมากขึ้น
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังนี้มีสัญญานดีขึ้น การส่งออกมีการขยายตัว แต่จะมีเสถียรภาพหรือไม่นั้น คงต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง
“เศรษฐกิจโลกได้เลยจุดต่ำสุดแล้ว ทำอย่างไรจะให้การเมืองไทยนิ่งเพื่อให้การลงทุนเดินหน้าต่อไปได้”
สำหรับธุรกิจปิโตรเคมีพบว่าดีกว่าที่เครือปูนใหญ่ คาดการณ์ไว้จากเดิมที่เคยกังวล ว่า จะมีกำลังการผลิตใหม่จากตะวันออกกลางและจีน เข้ามาในปีนี้ 9 ล้านตัน แต่ลดเหลือ 5 ล้านตัน ซึ่งจนถึงปลายนี้ไม่แน่กำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาอาจจะปรับลดลงอีก ส่วนซีเมนต์มีแนวโน้มดีขึ้น โดยครึ่งปีหลังความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศ น่าจะปรับเป็นบวกได้ เช่นเดียวกับธุรกิจกระดาษที่เริ่มดีขึ้น หลังจากสต็อกเก่าลดลง ทำให้มีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาในช่วงกลางปีนี้
ดังนั้น ทุกธุรกิจในเครือเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ถือว่าขยายตัวดีขึ้น แต่คงต้องพิจารณาเป็นรายธุรกิจว่าดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน สำหรับโครงการลงทุนปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในเวียดนามที่ล่าช้าออกไปนั้น เนื่องจากติดปัญหาโปรเจกต์ ไฟแนนซ์ แต่ขณะนี้สถานการณ์ตลาดการเงินโลกดีขึ้นมากเมื่อเทียบจากต้นปี 2552
นายชลณัฐ ญาณารณพ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เคมีคอลส์ กล่าวถึงโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์ ที่เวียดนาม มูลค่าเงินลงทุน 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด เพื่อให้โครงการดังกล่าวสามารถแข่งขันได้ คาดว่า จะได้ข้อสรุปชัดเจนในต้นปี 2553
สำหรับสถานการณ์ราคาเม็ดพลาสติกในช่วงนี้ พบว่า ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบ (สเปรด) ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 600 กว่าเหรียญสหรัฐฯ/ตัน แต่คาดว่า ในช่วงปลายปีนี้สเปรดจะแคบลง แต่จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับกำลังการผลิตใหม่ที่เข้ามาเพิ่มในตลาด ว่า จะเข้าได้ตามกำหนดเดิมหรือไม่ในปี 2553 โครงการโอเลฟินส์ 2 และโรงงานต่อเนื่อง จะแล้วเสร็จทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว ส่งผลให้รายได้เอสซีจี เคมิคอลส์ เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปัจจุบัน ภายใต้สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ที่ยังต้องเผชิญกับปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปี 2551 เอสซีจี เคมิคอลส์ มียอดขายรวม 1.36 แสนล้านบาท
“ขณะนี้โครงการผลิตเม็ดพลาสติก HDPE ที่อิหร่านขนาดกำลังผลิต 3 แสนตันอยู่ระหว่าง Test run คาดว่า จะผลิตเต็มที่ในปี 2553 ซึ่งกำลังการผลิตเน้นส่งออก”
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานอาวุโส หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และประธานกรรมการบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวในงาน Thailand Top Leaders Forum : Leading Human Capital in Challenging Times วานนี้ (24 ส.ค.) ว่า ธุรกิจยานยนต์ในครึ่งปีหลังมีสัญญาณการใช้กำลังการผลิตดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก แต่ยังต่ำกว่าปีที่แล้ว 10% ทำให้ปีนี้ธุรกิจยานยนต์หดตัวลงประมาณ 20% ซึ่งถือว่าไม่เลวร้ายมากนัก
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นเดือน ก.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 89 ดีกว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้ที่ดัชนีความเชื่อมั่นอยู่ที่ 60 กว่า ประเมินว่า ในอีก 3-6 เดือนข้างหน้า ดัชนีความเชื่อมั่นบางตัวน่าจะเกิน 100 ซึ่งไม่เคยเห็นมาในรอบหลายปี จากการสำรวจแรงงานในช่วงที่ผ่านมา พบว่า หลายอุตสาหกรรมมีการว่าจ้างงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากการส่งออกเริ่มดีขึ้น อาทิ อิเล็กทรอนิกส์จากเดิมเคยส่งออกตกลง 40% ปัจจุบันปรับขึ้นมา 20-30% ส่วนอุตสาหกรรมเหล็กมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 20-30%
“สถานการณ์ครึ่งปีหลังจะดีขึ้น เนื่องจากรัฐมีการอัดฉีดงบประมาณมากเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเฉพาะงบไทยเข้มแข็งสูงถึง 1.06 ล้านล้านบาท ในปี 2553 เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงาน”
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไม่อยากให้ทุกคนประมาทมองว่าเศรษฐกิจดีขึ้น เพราะมองว่าเศรษฐกิจจะไม่ฟื้นตัวเร็วเหมือนวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 เนื่องจากไทยพึ่งพาตลาดส่งออก ซึ่งคำสั่งซื้อสินค้าที่เพิ่มขึ้นในช่วงนี้ จะมาจากสต็อกที่ลดลงมาก ขณะเดียวกันประชาชนของสหรัฐฯมีการออมขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกของไทย ส่วนตลาดยุโรปมองว่าจะฟื้นตัวช้ากว่าสหรัฐฯ
สำหรับอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงในช่วงนี้ คือ การท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากหลายปัจจัย ซึ่งกระทบต่อคนจำนวนมาก จึงอยากให้คนไทยหันมาเที่ยวเมืองไทยกันมากขึ้น