ASTV ผู้จัดการรายวัน-ครม.เศรษฐกิจเด้งแผนพัฒนาสนามบินดอนเมือง 6 โครงการ ติงขาดรายละเอียด สั่งสศช.ศึกษารายละเอียดใน 90 วัน “โสภณ” ไม่ท้อแม้หลายโครงการจะถูกถูกคัดค้าน ทั้งเช่าเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน, ปรับโครงสร้างร.ฟ.ท. ก่อนหน้านี้ ยันเดินหน้าทุกโครงการ ยอมรับเปิดเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์ไม่ทันธ.ค.ตามเป้า ระบุในที่สุดรัฐบาลต้องตัดสินใจปล่อยยืดเยื้อไม่ได้
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ วานนี้ (29 ก.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคมได้รายงาน ผลการย้ายเที่ยวบินภายในประเทศของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กลับไปให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่ามีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง และรายงานการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งมีแผนพัฒนา 6 โครงการรองรับอุตสาหกรรมการบินและ International Free Trade Zone ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับการพัฒนาแต่ท้วงติงว่า การพัฒนา 6 โครงการที่นำเสนอนั้นมีรายละเอียดน้อย จึงมีมติให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้ศึกษากรอบการดำเนินโครงการและเสนอครม.อีกครั้งภายใน 2 สัปดาห์และให้สรุปรายละเอียดการศึกษาภายใน 90 วัน
“ครม.เห็นด้วยกับการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมืองแต่ติงที่รายละเอียดน้อย จึงให้สศช.ศึกษาเพิ่มเติม เช่น ประเด็นมูลค่าการลงทุนในแต่ละโครงการ ความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นต้น เพื่อความรอบคอบ “นายโสภณกล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจ เห็นว่า รายละเอียดของแผนน้อยมากรวมถึงไม่มีรายละเอียดของเงินลงทุน และกระทรวงคมนาคมเองก็ไม่สามารถตอบคำถามที่ชัดเช่นในกรณีที่นายกรัฐมนตรีถามถึงแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนั้นที่ประชุมจึงมอบหมายให้ สศช.กลับไปจัดทำแผนการพัฒนาศูนย์กลางการบินในภูมิภาคให้ชัดเจน
โดยให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานนานาชาติเพียงแห่งเดียว และให้พิจารณาอย่างชัดเจนว่าท่าอากาศยานดอนเมืองจะลงทุนอย่างไร และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเดินหน้าอย่างไร โดยมีกำหนดศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
ยอมรับ เปิดแอร์พอร์ตลิ้งค์ไม่ทันธ.ค.
สำหรับการปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ร.ฟ.ท.คัดค้านการจัดตั้งบริษัทลูก และส่งผลกระทบต่อการเปิดเดินรถโครงการระบบขนส่งทางรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีขนส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ตลิงค์เรลลิงค์) นั้น นายโสภณกล่าวว่า คงต้องขอร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ของร.ฟ.ท.และประเทศชาติเพราะเรื่องการเปิดเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์นั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อมูลกับต่างประเทศไปแล้วว่าจะเปิดในเดือนธ.ค. 52
“หากภายใน 1-2 วันนี้ ยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ คาดว่าการเปิดเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์จะไม่ทันกำหนดในเดือนธ.ค.52นี้แน่นอน จึงอยากให้ทุกฝ่ายถอยคนละก้าว เคารพกติกา และปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามที่ควรเป็น เรื่องก็จบเร็ว แต่หากเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้แบบนี้ลำบาก และถ้ายืดเยื้อแบบไม่มีเหตุผล รัฐบาลและผมก็คงต้องตัดสินใจ
เพราะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องให้เวลาทุกฝ่ายต้องทำความเข้าใจกัน ซึ่งผู้บริหารฯร.ฟ.ท.ต้องคุยกับสหภาพฯ อยู่แล้ว ส่วนผมยืนยันไปแล้วว่า การจั้ดตั้งบริษัทไม่ได้เป็นการแปรรูป ไม่ได้ขายทรัพย์สินและไม่กระทบกับรถไฟเลย”นายโสภณกล่าว
ไม่ท้อขอทำงานต่อแม้ถูกเด้งทุกโครงการ
ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติไม่ชอบ สภาผู้แทนราษฎร สรุปผลสอบโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คันว่ามีความผิด 5 ประเด็นและเตรียมยื่นคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้นนายโสภณกล่าวว่า ใครจะเสนออะไรก็เสนอไป และไม่ขอตอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการยื้อโครงการให้ล่าช้าออกไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่อยากให้เรื่องของสนามบินสุวรรณภูมิที่ต้องมีการพัฒนาเหมือนโครงการรถเมล์เอ็นจีวี คือพอจบเรื่องหนึ่งก็เปิดประเด็นใหม่ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การที่โครงการของกระทรวงคมนาคมที่นำเสนอครม.หลายโครงการ เช่น โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน แผนปรับโครงสร้างร.ฟ.ท.และล่าสุด โครงการพัฒนาท่าอากาศดอนเมือง 6 โครงการถูกครม.ตีกลับ และถูกคัดค้าน ทำให้โครงการสะดุดไม่เดินหน้านั้น นายโสภณยืนยันว่า ไม่รู้สึกท้อในการทำงานแต่อย่างใด
ยื่นฟ้องมติครม.ปรับโครงสร้างรฟท.
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ ทนายความ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 -3 โดยขอให้ศาลปกครองระงับมติครม. ที่มีมติให้ปฏิรูปโครงสร้างรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) โดยฟ้องคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 2 นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 3 รมว.คมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 4 กระทรวงคมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 5 การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 6 และ คณะกรรมการกำกับนโยบาย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 7
ทั้งนี้ เนื่องจากว่า ครม.ได้มีมติให้ตั้งบริษัทลูกเข้ามาบริหารร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยจะมีการโอนถ่ายภายใน 180 วันให้กับ 2 บริษัทดำเนินการ ประกอบด้วย บริษัทบริหารสินทรัพย์ และ บริษัทเดินรถ ซึ่งกำลังจะแปรสภาพจากเดิม แต่การที่รัฐได้เอาบริษัทเอกชนเข้าร่วมรวมโดยอ้างว่ารัฐยังถือหุ้น 100%นั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งการดำเนินการต่างๆ สหภาพฯรับไม่ได้ เพราะรัฐบาลได้ดำเนินการโดยไม่ได้เรียกสหภาพมาร่วมหารือแต่อย่างไร อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าหากยังมีการดำเนินอยู่ตนและพวกก็จะมาร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองชั่วคราวต่อไปนอกจากนี้เราเตรียมยื่นฟ้องอาญาใน มาตรา 157 และฟ้องทางแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายด้วย
นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเศรษฐกิจ วานนี้ (29 ก.ค.) ว่า กระทรวงคมนาคมได้รายงาน ผลการย้ายเที่ยวบินภายในประเทศของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) กลับไปให้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่ามีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอย่างไรบ้าง และรายงานการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานดอนเมืองซึ่งมีแผนพัฒนา 6 โครงการรองรับอุตสาหกรรมการบินและ International Free Trade Zone ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับการพัฒนาแต่ท้วงติงว่า การพัฒนา 6 โครงการที่นำเสนอนั้นมีรายละเอียดน้อย จึงมีมติให้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นผู้ศึกษากรอบการดำเนินโครงการและเสนอครม.อีกครั้งภายใน 2 สัปดาห์และให้สรุปรายละเอียดการศึกษาภายใน 90 วัน
“ครม.เห็นด้วยกับการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมืองแต่ติงที่รายละเอียดน้อย จึงให้สศช.ศึกษาเพิ่มเติม เช่น ประเด็นมูลค่าการลงทุนในแต่ละโครงการ ความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นต้น เพื่อความรอบคอบ “นายโสภณกล่าว
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เศรษฐกิจ เห็นว่า รายละเอียดของแผนน้อยมากรวมถึงไม่มีรายละเอียดของเงินลงทุน และกระทรวงคมนาคมเองก็ไม่สามารถตอบคำถามที่ชัดเช่นในกรณีที่นายกรัฐมนตรีถามถึงแผนการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ดังนั้นที่ประชุมจึงมอบหมายให้ สศช.กลับไปจัดทำแผนการพัฒนาศูนย์กลางการบินในภูมิภาคให้ชัดเจน
โดยให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเป็นท่าอากาศยานนานาชาติเพียงแห่งเดียว และให้พิจารณาอย่างชัดเจนว่าท่าอากาศยานดอนเมืองจะลงทุนอย่างไร และท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจะเดินหน้าอย่างไร โดยมีกำหนดศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน
ยอมรับ เปิดแอร์พอร์ตลิ้งค์ไม่ทันธ.ค.
สำหรับการปรับโครงสร้างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ ร.ฟ.ท.คัดค้านการจัดตั้งบริษัทลูก และส่งผลกระทบต่อการเปิดเดินรถโครงการระบบขนส่งทางรถไฟฟ้าเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และสถานีขนส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง (แอร์พอร์ตลิงค์เรลลิงค์) นั้น นายโสภณกล่าวว่า คงต้องขอร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ของร.ฟ.ท.และประเทศชาติเพราะเรื่องการเปิดเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์นั้น นายกรัฐมนตรีได้ให้ข้อมูลกับต่างประเทศไปแล้วว่าจะเปิดในเดือนธ.ค. 52
“หากภายใน 1-2 วันนี้ ยังไม่สามารถหาข้อยุติร่วมกันได้ คาดว่าการเปิดเดินรถแอร์พอร์ตลิ้งค์จะไม่ทันกำหนดในเดือนธ.ค.52นี้แน่นอน จึงอยากให้ทุกฝ่ายถอยคนละก้าว เคารพกติกา และปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามที่ควรเป็น เรื่องก็จบเร็ว แต่หากเดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้แบบนี้ลำบาก และถ้ายืดเยื้อแบบไม่มีเหตุผล รัฐบาลและผมก็คงต้องตัดสินใจ
เพราะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องให้เวลาทุกฝ่ายต้องทำความเข้าใจกัน ซึ่งผู้บริหารฯร.ฟ.ท.ต้องคุยกับสหภาพฯ อยู่แล้ว ส่วนผมยืนยันไปแล้วว่า การจั้ดตั้งบริษัทไม่ได้เป็นการแปรรูป ไม่ได้ขายทรัพย์สินและไม่กระทบกับรถไฟเลย”นายโสภณกล่าว
ไม่ท้อขอทำงานต่อแม้ถูกเด้งทุกโครงการ
ส่วนกรณีที่คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติไม่ชอบ สภาผู้แทนราษฎร สรุปผลสอบโครงการเช่ารถเมล์ NGV 4,000 คันว่ามีความผิด 5 ประเด็นและเตรียมยื่นคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้นนายโสภณกล่าวว่า ใครจะเสนออะไรก็เสนอไป และไม่ขอตอบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นการยื้อโครงการให้ล่าช้าออกไปหรือไม่ อย่างไรก็ตามไม่อยากให้เรื่องของสนามบินสุวรรณภูมิที่ต้องมีการพัฒนาเหมือนโครงการรถเมล์เอ็นจีวี คือพอจบเรื่องหนึ่งก็เปิดประเด็นใหม่ ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การที่โครงการของกระทรวงคมนาคมที่นำเสนอครม.หลายโครงการ เช่น โครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน แผนปรับโครงสร้างร.ฟ.ท.และล่าสุด โครงการพัฒนาท่าอากาศดอนเมือง 6 โครงการถูกครม.ตีกลับ และถูกคัดค้าน ทำให้โครงการสะดุดไม่เดินหน้านั้น นายโสภณยืนยันว่า ไม่รู้สึกท้อในการทำงานแต่อย่างใด
ยื่นฟ้องมติครม.ปรับโครงสร้างรฟท.
พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ประธานตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยนายกฤษศักดา วัฒนพงษ์ ทนายความ ผู้ฟ้องคดีที่ 1 -3 โดยขอให้ศาลปกครองระงับมติครม. ที่มีมติให้ปฏิรูปโครงสร้างรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) โดยฟ้องคณะรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 1 นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 2 นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 3 รมว.คมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 4 กระทรวงคมนาคม เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 5 การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 6 และ คณะกรรมการกำกับนโยบาย เป็นผู้ถูกฟ้องที่ 7
ทั้งนี้ เนื่องจากว่า ครม.ได้มีมติให้ตั้งบริษัทลูกเข้ามาบริหารร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยจะมีการโอนถ่ายภายใน 180 วันให้กับ 2 บริษัทดำเนินการ ประกอบด้วย บริษัทบริหารสินทรัพย์ และ บริษัทเดินรถ ซึ่งกำลังจะแปรสภาพจากเดิม แต่การที่รัฐได้เอาบริษัทเอกชนเข้าร่วมรวมโดยอ้างว่ารัฐยังถือหุ้น 100%นั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งการดำเนินการต่างๆ สหภาพฯรับไม่ได้ เพราะรัฐบาลได้ดำเนินการโดยไม่ได้เรียกสหภาพมาร่วมหารือแต่อย่างไร อย่างไรก็ตามตนเห็นว่าหากยังมีการดำเนินอยู่ตนและพวกก็จะมาร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้มีการไต่สวนฉุกเฉินและคุ้มครองชั่วคราวต่อไปนอกจากนี้เราเตรียมยื่นฟ้องอาญาใน มาตรา 157 และฟ้องทางแพ่ง เพื่อเรียกร้องค่าเสียหายด้วย