xs
xsm
sm
md
lg

ประเด็นที่ละเอียดอ่อนทางการเมืองและการทูต

เผยแพร่:   โดย: ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน

นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทางวิทยุโทรทัศน์ในรายการสัมภาษณ์กับนายสุทธิชัย หยุ่น ในวาระที่มาร่วมประชุมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมอาเซียน + จีน ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เมื่อเร็วๆ นี้ การแสดงความคิดเห็นของนางฮิลลารี คลินตัน สะท้อนถึงการเข้าใจสภาวการณ์ทางการเมืองไทย การกล่าวชมการพัฒนาระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยในประเทศไทยแม้จะเผ็ดบ้างเหมือนอาหารไทยก็ตาม ทำให้เกิดความชื่นชมยินดีในหมู่คนจำนวนไม่น้อย

นอกจากนั้นนางฮิลลารี คลินตัน ยังมีมุกตลกเกี่ยวกับสังคมไทย เป็นต้นว่า ได้มีการพูดว่ามีเสื้อผ้าบางสีที่ไม่ควรใส่อันหมายถึงสีเหลืองและสีแดง ขณะเดียวกันเมื่อมีการถามถึงการบริหารของจอร์จ บุช นางฮิลลารี คลินตัน ก็กล่าวทันทีว่าไม่ต้องการพูดถึงเรื่องในอดีต และเมื่อมีการเอ่ยถึงคุกไทยที่ถูกกล่าวหาว่ามีการทรมานนักโทษนั้น นางฮิลลารี คลินตัน ก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอันใด

จากการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเทศไทยและเกี่ยวกับระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย รวมทั้งความรู้เรื่องการขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงการมีข่าวสารข้อมูลหรือได้รับการชี้แจงสรุปจากเจ้าหน้าที่ของสถานทูตเป็นอย่างดี นอกเหนือจากนี้การวางตัวเป็นกันเองและเป็นมิตรในระหว่างการสัมภาษณ์นั้น ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าสตรีชาวอเมริกันผู้นี้ซึ่งเกือบจะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งแข่งขันเป็นประธานาธิบดี น่าจะมีอนาคตทางการเมืองที่ยาวนานในอนาคต

อย่างไรก็ตาม ความน่าชื่นชมดังกล่าวมานั้นก็ถูกบั่นทอนลงโดยการแสดงความคิดเห็นและการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเมียนมาร์ เกาหลีเหนือ และอิหร่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงจุดยืนบางอย่างของสหรัฐอเมริกา และยังตามมาด้วยการชี้แนะชี้นำประเทศในกลุ่มอาเซียนให้กระทำการบางอย่าง ซึ่งหมิ่นเหม่ต่อการนำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ไม่ระมัดระวังในเรื่องความละเอียดอ่อนทางการเมืองและการทูต

ในกรณีเมียนมาร์นั้น ถึงแม้ความต้องการของสหรัฐฯ ที่จะส่งเสริมการให้สิทธิเสรีภาพและการพัฒนาประชาธิปไตย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลพม่ากระทำต่อนางอองซาน ซูจี ซึ่งก็มีเหตุผลในตัวของมันเอง แต่การที่นางฮิลลารี คลินตัน ชี้แนะชี้นำต่อประเทศในกลุ่มอาเซียนว่าน่าจะมีการพิจารณาสมาชิกภาพของเมียนมาร์ หรือกล่าวง่ายๆ ก็คือ พิจารณาถึงการขับเมียนมาร์ออกจากองค์กรอาเซียน

อาเซียนเป็นความร่วมมือส่วนภูมิภาค มีประวัติอันยาวนาน ในการประชุมที่ภูเก็ตก็มี 3 ประเทศร่วมประชุมด้วย ซึ่งได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี อาเซียนมาประชุมเพื่อร่วมมือกันในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการต่อสู้กับไข้หวัด 2009 การเข้าไปก้าวก่ายกับสมาชิกภาพของประเทศในกลุ่มอาเซียนเป็นเรื่องที่ไม่งาม อาเซียนย่อมมีวุฒิภาวะสามารถตัดสินและวินิจฉัยสถานการณ์และกรณีดังกล่าวได้เอง

ข้อสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ก็คือการคว่ำบาตรให้เมียนมาร์ออกจากอาเซียนยิ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น ในส่วนนี้นางฮิลลารี คลินตัน ในฐานะตัวแทนของสหรัฐฯ น่าจะคิดให้รอบคอบและใช้ภาษาอย่างระมัดระวัง ที่สำคัญน่าจะแสดงการให้เกียรติต่อความเป็นอิสระของประเทศในกลุ่มองค์กรอาเซียน

ขณะเดียวกันจีนเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับเมียนมาร์ พร้อมๆ กับการมีพรมแดนติดเกาหลีเหนือ การพูดจาอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเกาหลีเหนือซึ่งจะกล่าวต่อไป ย่อมจะสร้างความไม่สบายใจแก่จีน ส่วนกรณีของอาเซียนนั้น การแสดงความเห็นเช่นนั้นนำไปสู่ความกระอักกระอ่วนใจ ในกรณีของอิหร่านนางฮิลลารี คลินตัน ก็ใช้โอกาสดังกล่าวแสดงจุดยืนของสหรัฐฯ ออกมา ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้

แต่ในกรณีของเกาหลีเหนือนั้นมีการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงซึ่งมีลักษณะเป็นการยื่นคำขาดกลายๆ การแสดงทีท่าที่แข็งกร้าวเช่นนี้ย่อมเสี่ยงต่อการมีปฏิกิริยาตอบโต้ และทำให้กระบวนการเจรจาเพื่อจะยุติการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ถูกกระทบได้ และผลก็ออกมาเช่นนั้นจริงๆ ทางเกาหลีเหนือตอบโต้ด้วยภาษาที่ดุเดือดเผ็ดร้อน และในบางส่วนก็เป็นการดูถูกดูแคลนซึ่งมักจะไม่ทำกันในวงการทูต หรือในวงการเมืองระหว่างที่มีการเจรจาเพื่อหาข้อยุติในประเด็นความขัดแย้ง

การขาดความสนใจต่อความละเอียดอ่อนทางการเมืองและการทูตของรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ต่อเมียนมาร์และเกาหลีเหนืออย่างเห็นได้ชัดที่สุด

นางฮิลลารี คลินตัน ได้กล่าวว่าสหรัฐฯ จะกลับมามีบทบาทอีกครั้งหนึ่งในเอเชีย ซึ่งหมายความว่าจะไม่ปล่อยมหาอำนาจอื่น เช่น จีน อินเดีย หรือแม้รัสเซียผูกขาดในความสัมพันธ์ทางการเมืองและการค้าต่อไป แต่สิ่งซึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียอาจจะตั้งคำถามขึ้นมาคือ ถ้าหากการเริ่มต้นการกลับมาสู่ภูมิภาคเอเชียของสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยการขยายความขัดแย้งทางการเมือง จนอาจจะนำไปสู่ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของเกาหลีเหนือซึ่งอาจจะสร้างความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม หรือในกรณีของเมียนมาร์ซึ่งอาจจะทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียนถูกกระทบได้ บทบาทของสหรัฐฯ จะกลายเป็นบทบาทในทางลบมากกว่าบวก ขณะเดียวกันความพยายามของประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่จะให้มีการปฏิรูปการเมืองและการพัฒนาประชาธิปไตย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพในเมียนมาร์ชะงักงันลงได้ถ้าเมียนมาร์ออกจากอาเซียน

คำถามก็คือ ถ้าการกลับมาสู่เอเชียของสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยความขัดแย้งหรือด้วยการสร้างความขัดแย้ง หรือขยายความขัดแย้งให้มีขอบข่ายกว้างขึ้น จะเกิดประโยชน์อันใดกับภูมิภาคเอเชีย เพราะในขณะนี้ต่างก็เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งสหรัฐฯ มีส่วนอย่างสำคัญยิ่งในการเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้นจากนโยบายเศรษฐกิจและการบริหารที่ล้มเหลวผิดพลาด การฟื้นฟูเศรษฐกิจต้องอยู่บนฐานของการมีเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศและภายในภูมิภาค การให้สัมภาษณ์และการแสดงความคิดเห็นและจุดยืนของนโยบายต่างประเทศสหรัฐฯ ที่เพิ่มอุณหภูมิความขัดแย้งในทางการเมืองของภูมิภาคนั้น เป็นการดำเนินการที่สวนทางกับสิ่งที่พึงประสงค์และถือได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

ความประทับใจที่มีต่อนางฮิลลารี คลินตัน จากบุคลิกภาพและการพูดจาที่เป็นมิตร กลับถูกทำลายลงอย่างน่าเสียดายจากการไม่ให้น้ำหนักกับความละเอียดอ่อนทางการเมืองและทางการทูต รัฐบาลสหรัฐฯ อาจต้องทบทวนท่าทีที่แข็งกร้าวที่เคยแสดงมาเยี่ยงนี้ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา

สิ่งที่น่าจะตระหนักก็คือ ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปในระดับหนึ่ง มหาอำนาจอื่นๆ กำลังผงาดขึ้นมาและมีบทบาทมากขึ้นตามลำดับ ทีท่าที่มีความเชื่อมั่นถึงอำนาจทางทหารและทางเศรษฐกิจ จนอาจทำให้หลายประเทศรู้สึกว่ากระเดียดไปในทางแสดงออกถึงความอหังการแห่งอำนาจ (arrogance of power) ซึ่งอาจจะส่งผลในทางลบต่อรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างน่าเสียดายยิ่ง
กำลังโหลดความคิดเห็น