ASTVผู้จัดการรายวัน –ต่างชาติเทน้ำหนักลงทุนสู่ตลาดหุ้นอินโดฯ –มาเลย์ มากกว่าไทย ชี้ทั้ง 2 ชาติรัฐบาลให้การสนับสนุนด้านการลงทุนดีกว่า อีกทั้งดัชนีMSCIของไทยก็ต่ำไม่ถึง2% และปัญหาการเมืองในประเทศยังสร้างความหวั่นวิตก ด้าน “บล.กสิกรไทย”เดินหน้าดึงพันธมิตรร่วมทำบทวิจัยคุณภาพสูง และช่วยขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ ตั้งเป้ามาร์เกตแชร์ปีนี้แตะ 2.6% ส่วนดัชนีหุ้นวานนี้เพิ่มขึ้น 4 จุด ตามราคาน้ำ มัน โบรกฯแนะเลือกหุ้นผลประกอบการดี มีปันผลรองรับ
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KS) เปิดเผยว่า จากการเดินทางไปโรดโชว์ร่วมกับบลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 14-20 กรกฏาคมที่ผ่านมา ใน 4 ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ และสิงคโปร์ เพื่อพบนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กองทุน และ Private Bank ส่วนใหญ่แสดงความสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นผลมาจากการพยายามสนับสนุนด้านการลงทุนของรัฐบาลประเทศดังกล่าว ประกอบกับดัชนี MSCI ของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2% รวมถึงความกังวลต่อปัญหาการเมืองในประเทศไทยก็ได้กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ต่างชาติเทน้ำหนักไปลงทุนประเทศเหล่านี้ค่อนข้างมาก
ขณะเดียวกันทางบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันมิตรจากต่างประเทศประมาณ 3 ราย พร้อมทั้งเปิดกว้างสำหรับรายอื่นที่สนใจ เพื่อเข้ามาสร้างความร่วมมือใน 3 ข้อคือ 1.การขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ 2.สร้างการเติบโตกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 3.การร่วมสร้างบทวิจัยที่มีคุณภาพ แต่เนื่องด้วยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ถือหุ้นอยู่ในบริษัท 100% และไม่มีแนวคิดขายหุ้นเพื่อให้ต่างชาติถือครอง ดังนั้นเบื้องต้นการหาพันธมิตรฯ คงเป็นเพียงแค่การร่วมทำบทวิจัยที่มีประสิทธิ์ภาพเท่านั้น
นอกจากนี้ บล.กสิกรไทยเตรียมจัดโครงการ“From Friend 2 Friend (FF2F) หรือ จากเพื่อนสู่เพื่อน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 29 กรกฏาคม 52 เป็นต้นไป โดยลักษณะโครงการจะเป็นการเชิญช่วนลูกค้าของบริษัทไปร่วมทำบุญกับทางวัดใน 5 จังหวัด 5 เส้นทาง ตลอดช่วงระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้หากทุกอย่างเป็นตามที่วางไว้คาดว่าน่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 500 คน จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าทั้งหมดประมาณ 9,500 คน
สำหรับ สัดส่วนลูกค้าของทางบล.กสิกรไทยปัจจุบัน แบ่งออกเป็น นักลงทุนรายย่อย 70% และอีก 30% จากนักลงทุนสถาบันในประเทศ (ไม่มีสถาบัน และนักลงทุนจากต่างประเทศ) ขณะที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหล่งเงินทุนจะมาจาก นักลงทุนรายย่อยในประเทศประมาณ 55-60% ต่างชาติประมาณ 30% ซึ่งสัดส่วนรายย่อยดังกล่าวนี้ประมาณ 2 ใน 3 เป็นเม็ดเงินจากพอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์
สำหรับในปี 52 บริษัทฯตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) อยู่ที่ 2.6% โดยเฉพาะเดือนธันวาคมนี้อาจมีมาร์เกตแชร์ 4% จากปีก่อนที่มีมาร์เกตแชร์ 1.5% และช่วงธันวาคมสามารถขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2% ได้ เนื่องจากมองว่านักลงทุนสถาบันหลายแห่งต้องดำเนินการปิดบุ๊คช่วงเวลานั้นประกอบกับเริ่มเห็นสัญญาณของนักลงทุนรายย่อยกลับเข้าลงทุนในช่วงเวลานั้นมากขึ้น
“การที่เรามองว่าลูกค้าทั้งสถาบันและรายย่อยจะกลับมาในช่วงปลายปี เพราะเรามองว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2/53 และโดยปกติแล้วตลาดหุ้นจะรับรู้ข่าวก่อนประมาณ 6 เดือน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะทำให้นักลงทุนกลับมาคึกคักค่อนข้างมาในไตรมาส 4/52 หรือไม่น่าเกินเดือนสุดท้ายของปีนี้” นางสาวณิฐรินทร์กล่าว
ส่วนแผนการเปิดสาขาเพิ่มเพื่อรองรับการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดและการเปิดเสรีธุรกิจค้าหลักทรัพย์ในปีหน้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจข้อมูลต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2553 รวมทั้งเรื่องการปรับเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันเป็น 40% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ 30% ด้วยเช่นเดียวกัน
หุ้นบวกเพิ่ม4จุดตามเพื่อนบ้าน
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นวานนี้(28ก.ค.)ปิดที่ระดับ 621.96 จุด เพิ่มขึ้น 4.13 จุด หรือ 0.67% มูลค่าการซื้อขาย 16,461 ล้านบาท โดยในช่วงบ่ายหุ้นไทยบวกค่อนข้างดี ตามการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคและตลาดยุโรปปรับตัวดีขึ้น จากราคาน้ำมันกลับขึ้นมาเป็นบวก ทำให้ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดแตะ 624.30 จุด และต่ำสุดที่ 615.56 จุด โดยสถาบันขายสุทธิ -26.64 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนในประเทศที่ขายสุทธิ 1,573.84 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,600.48 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีซื้อสุทธิไปแล้ว 25,196.27 ล้านบาท
น.ส.ธีระดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ค่อนข้างผันผวน ช่วงเช้าแกว่งแคบแต่ก็ผันผวนเยอะ ช่วงบ่ายกลับมาเป็นบวกค่อนข้างที่จะดีตามการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคและตลาดยุโรปที่เปิดขึ้นมาในแดนบวก เช่นเดียวกับราคาน้ำมันกลับขึ้นมาเป็น บวกจากช่วงเช้าน้ำมันระหว่างวันยังเป็นลบอยู่ พอกลับมาเป็นบวกฟื้นตัวขึ้นมาทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นค่อนข้างดี
สำหรับทิศทางวันนี้ต้องรอดูตัวเลขดัชนีราคาบ้านที่จะประกาศในวานนี้ของสหรัฐ ที่เหลือเป็นการเก็งกำไรผลประกอบการเป็นหลัก ดังนั้นช่วงนี้แนะเล่นหุ้นผลประกอบการ เน้นที่มีผลประกอบการดีและมีปันผลระหว่างกาลรองรับด้วย เช่น CPF, TTW และ BCP
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KS) เปิดเผยว่า จากการเดินทางไปโรดโชว์ร่วมกับบลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 14-20 กรกฏาคมที่ผ่านมา ใน 4 ประเทศในแถบเอเชีย ได้แก่ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปินส์ และสิงคโปร์ เพื่อพบนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กองทุน และ Private Bank ส่วนใหญ่แสดงความสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นผลมาจากการพยายามสนับสนุนด้านการลงทุนของรัฐบาลประเทศดังกล่าว ประกอบกับดัชนี MSCI ของไทยอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 2% รวมถึงความกังวลต่อปัญหาการเมืองในประเทศไทยก็ได้กลายเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ต่างชาติเทน้ำหนักไปลงทุนประเทศเหล่านี้ค่อนข้างมาก
ขณะเดียวกันทางบริษัทฯอยู่ระหว่างการเจรจากับพันมิตรจากต่างประเทศประมาณ 3 ราย พร้อมทั้งเปิดกว้างสำหรับรายอื่นที่สนใจ เพื่อเข้ามาสร้างความร่วมมือใน 3 ข้อคือ 1.การขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ 2.สร้างการเติบโตกับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ 3.การร่วมสร้างบทวิจัยที่มีคุณภาพ แต่เนื่องด้วยธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) ถือหุ้นอยู่ในบริษัท 100% และไม่มีแนวคิดขายหุ้นเพื่อให้ต่างชาติถือครอง ดังนั้นเบื้องต้นการหาพันธมิตรฯ คงเป็นเพียงแค่การร่วมทำบทวิจัยที่มีประสิทธิ์ภาพเท่านั้น
นอกจากนี้ บล.กสิกรไทยเตรียมจัดโครงการ“From Friend 2 Friend (FF2F) หรือ จากเพื่อนสู่เพื่อน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ 29 กรกฏาคม 52 เป็นต้นไป โดยลักษณะโครงการจะเป็นการเชิญช่วนลูกค้าของบริษัทไปร่วมทำบุญกับทางวัดใน 5 จังหวัด 5 เส้นทาง ตลอดช่วงระยะเวลา 2 เดือน ทั้งนี้หากทุกอย่างเป็นตามที่วางไว้คาดว่าน่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าใหม่ได้เพิ่มขึ้นประมาณ 500 คน จากปัจจุบันที่มีฐานลูกค้าทั้งหมดประมาณ 9,500 คน
สำหรับ สัดส่วนลูกค้าของทางบล.กสิกรไทยปัจจุบัน แบ่งออกเป็น นักลงทุนรายย่อย 70% และอีก 30% จากนักลงทุนสถาบันในประเทศ (ไม่มีสถาบัน และนักลงทุนจากต่างประเทศ) ขณะที่บรรยากาศการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหล่งเงินทุนจะมาจาก นักลงทุนรายย่อยในประเทศประมาณ 55-60% ต่างชาติประมาณ 30% ซึ่งสัดส่วนรายย่อยดังกล่าวนี้ประมาณ 2 ใน 3 เป็นเม็ดเงินจากพอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์
สำหรับในปี 52 บริษัทฯตั้งเป้าจะมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) อยู่ที่ 2.6% โดยเฉพาะเดือนธันวาคมนี้อาจมีมาร์เกตแชร์ 4% จากปีก่อนที่มีมาร์เกตแชร์ 1.5% และช่วงธันวาคมสามารถขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 2% ได้ เนื่องจากมองว่านักลงทุนสถาบันหลายแห่งต้องดำเนินการปิดบุ๊คช่วงเวลานั้นประกอบกับเริ่มเห็นสัญญาณของนักลงทุนรายย่อยกลับเข้าลงทุนในช่วงเวลานั้นมากขึ้น
“การที่เรามองว่าลูกค้าทั้งสถาบันและรายย่อยจะกลับมาในช่วงปลายปี เพราะเรามองว่าเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2/53 และโดยปกติแล้วตลาดหุ้นจะรับรู้ข่าวก่อนประมาณ 6 เดือน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงก็น่าจะทำให้นักลงทุนกลับมาคึกคักค่อนข้างมาในไตรมาส 4/52 หรือไม่น่าเกินเดือนสุดท้ายของปีนี้” นางสาวณิฐรินทร์กล่าว
ส่วนแผนการเปิดสาขาเพิ่มเพื่อรองรับการคิดค่าคอมมิชชั่นแบบขั้นบันไดและการเปิดเสรีธุรกิจค้าหลักทรัพย์ในปีหน้า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสำรวจข้อมูลต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในปี 2553 รวมทั้งเรื่องการปรับเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันเป็น 40% ในปีหน้า จากปัจจุบันที่ 30% ด้วยเช่นเดียวกัน
หุ้นบวกเพิ่ม4จุดตามเพื่อนบ้าน
ส่วนความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นวานนี้(28ก.ค.)ปิดที่ระดับ 621.96 จุด เพิ่มขึ้น 4.13 จุด หรือ 0.67% มูลค่าการซื้อขาย 16,461 ล้านบาท โดยในช่วงบ่ายหุ้นไทยบวกค่อนข้างดี ตามการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคและตลาดยุโรปปรับตัวดีขึ้น จากราคาน้ำมันกลับขึ้นมาเป็นบวก ทำให้ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดแตะ 624.30 จุด และต่ำสุดที่ 615.56 จุด โดยสถาบันขายสุทธิ -26.64 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนในประเทศที่ขายสุทธิ 1,573.84 ล้านบาท และนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 1,600.48 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีซื้อสุทธิไปแล้ว 25,196.27 ล้านบาท
น.ส.ธีระดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ค่อนข้างผันผวน ช่วงเช้าแกว่งแคบแต่ก็ผันผวนเยอะ ช่วงบ่ายกลับมาเป็นบวกค่อนข้างที่จะดีตามการฟื้นตัวของตลาดภูมิภาคและตลาดยุโรปที่เปิดขึ้นมาในแดนบวก เช่นเดียวกับราคาน้ำมันกลับขึ้นมาเป็น บวกจากช่วงเช้าน้ำมันระหว่างวันยังเป็นลบอยู่ พอกลับมาเป็นบวกฟื้นตัวขึ้นมาทำให้ตลาดปรับตัวขึ้นค่อนข้างดี
สำหรับทิศทางวันนี้ต้องรอดูตัวเลขดัชนีราคาบ้านที่จะประกาศในวานนี้ของสหรัฐ ที่เหลือเป็นการเก็งกำไรผลประกอบการเป็นหลัก ดังนั้นช่วงนี้แนะเล่นหุ้นผลประกอบการ เน้นที่มีผลประกอบการดีและมีปันผลระหว่างกาลรองรับด้วย เช่น CPF, TTW และ BCP