บล.กสิกรไทย เปิดแผนครึ่งปีหลัง เล็งเพิ่มมาร์เกตติ้ง 90 คน–ลูกค้ารายใหญ่เป็น 1 พันราย พร้อมอัดโปรโมชันปล่อยสินเชื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ก่อนจะเดินทางโรดโชว์ดึงกองทุนต่างประเทศ หวังดันมาร์เกตแชร์สิ้นปีเข้าเป้า 4% ด้านผู้บริหาร แย้มไตรมาส 2/52 พลิกเป็นกำไรจากไตรมาสแรกขาดทุน 39 ล้านบาท ขณะเดียวกันวาดฝันปี 2 ปี ก้าวสู่ตำแหน่งท็อปทรี
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ว่า บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะรับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพิ่มอีก 90 คน จากปัจจุบันที่มี 55 คน ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังมีมาร์เกตติ้งเพิ่มเป็น 145 คน และคาดว่าจะทำให้มีลูกค้าเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันที่มี 9 พันบัญชี
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าบุคคลพิเศษ (ไฮด์เน็ตเวิร์ค) หรือลูกค้ารายใหญ่เพิ่มเป็น 1,000 ราย ภายในต้นเดือนกันยายนนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 500 ราย และบริษัทจะมีการจัดโปรโมชันให้กับนักลงทุนที่เข้ามาขอสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) เพื่อให้นักลงทุนเข้ามาขอสินเชื่อกับบริษัทมากขึ้น
โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มจำนวนหุ้นที่ปล่อยมาร์จิ้นเป็น 100 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในดัชนี SET100 จากก่อนหน้านี้ที่มีการปล่อยเพียง 50 บริษัท มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทคาดว่าตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4/52 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ 4%
“ลูกค้าไฮด์เน็ตเวิร์ค หรือลูกค้ารายใหญ่ จะต้องมีพอร์ตลงทุนกับบริษัทมากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่การเพิ่มขึ้นจะมาจากลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย ที่การลงทุนในตลาดหุ้นผ่านบล.อื่นจำนวนกว่า 70,000 ราย ส่วนโปรโมชันการปล่อยมาร์จินจะเป็นลักษณะเช่น หากนักลงทุนที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงจะได้รับอัตราดอกเบี้นพิเศษ รวมถึงการรับมาร์เกตติ้งเพิ่ม จะทำให้มั่นใจว่ามาร์เกตแชร์จะไม่ต่ำกว่า 3% อย่างแน่นอน” นางสาวณัฐรินทร์ กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทจะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจคือ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) จะมีการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ประเทศในแถบเอเชีย เช่น อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 14-20 กรกฎาคม 2552 เพื่อไปให้ข้อมูลนักลงทุนต่างประเทศเพื่อที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า โดยสามารถที่จะส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านระบบ (DMA) ซึ่งผ่านระบบของบลูมเบิร์ก ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศรู้จักบลูมเบิร์กอยู่แล้ว
นางสาวณัฐรินทร์ กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีต้นทุนในการซื้อขายหุ้นต่ำ สะดวกรวดเร็ว และสามารถส่งคำสั่งเองได้ โดยไม่ต้องเซ็นสัญญาในการเป็นการทำสัญญาเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะคู่ค้า (Exclusive Partner ) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีลูกค้าสถาบันต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 10% เป็น 40% จากปัจจุบันที่สัดส่วนลูกค้าสถาบัน 30% ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย
นอกจากนี้ การไปโรดโชว์ดังกล่าวยังเป็นการร่วมมือกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการประสานงานในเรื่องการเชื่อมโยงตลาดหุ้นอาเซียน (อาเซียนลิ้งค์เกจ)
สำหรับผลการดำเนินงานนั้น นางสาวณัฐรินทร์ กล่าวว่า ไตรมาส 2/52 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้จากบริการที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการ (M&A) และรายได้จากค่าธรรมเนียนในการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) หลังจากมูลค่าการซื้อขายในไตรมาส2/52 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากไตรมาส1/51 เฉลี่ยอยู่ที่ 8. 8 พันล้านบาท ทำให้บริษัทกลับมาพลิกเป็นกำไรไตรมาส2/52 จากไตรมาส1/52 ที่มีผลขาดทุน 39 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าภายในอีก 2 ปีจะเป็นโบรกเกอร์ติด 1 ใน 3 ของประเทศ โดยอาศัยจุดแข่งของธนาคารกสิกรไทยไทย และจากการให้บริการที่ครบวงจรเกี่ยวกับตลาดทุนและตลาดเงิน พร้อมเน้นให้คำแนะนำที่ดีกับนักลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดี
“เมื่อเริ่มก่อตั้งบริษัท เราได้ตั้งเป้าจะเป็นโบรกเกอร์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 5 ภายใน 5 ปี แต่ได้ล่าช้าออกไปอีก 1 ปี จากภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้อ ขณะที่ด้านจุดคุ้มทุนนั้นบริษัทสามารถมีกำไรภายใน 2 ปี ซึ่งถือว่าเร็วมาก แต่การขึ้นท็อปทรีภายในระยะเวลา 6 ปี ถือว่าไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด”นางณัฐรินทร์ กล่าวว่า
นายวรวัจน์ สุวคนธ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานงานวาณิชธนกิจ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทมีงานที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้การแต่งตั้งแล้วจำนวน 15 บริษัท แบ่งเป็น การเป็นที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 5 บริษัท และงานควบรวมกิจการ 10 ดีล ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังจะสำเร็จได้ 5 ดีล
นางสาวณัฐรินทร์ ตาลทอง กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2552 ว่า บริษัทมีแผนจะขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะรับเจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพิ่มอีก 90 คน จากปัจจุบันที่มี 55 คน ทำให้ในช่วงครึ่งปีหลังมีมาร์เกตติ้งเพิ่มเป็น 145 คน และคาดว่าจะทำให้มีลูกค้าเพิ่มเป็น 1.2 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันที่มี 9 พันบัญชี
ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าบุคคลพิเศษ (ไฮด์เน็ตเวิร์ค) หรือลูกค้ารายใหญ่เพิ่มเป็น 1,000 ราย ภายในต้นเดือนกันยายนนี้ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 500 ราย และบริษัทจะมีการจัดโปรโมชันให้กับนักลงทุนที่เข้ามาขอสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จินโลน) เพื่อให้นักลงทุนเข้ามาขอสินเชื่อกับบริษัทมากขึ้น
โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทได้เพิ่มจำนวนหุ้นที่ปล่อยมาร์จิ้นเป็น 100 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในดัชนี SET100 จากก่อนหน้านี้ที่มีการปล่อยเพียง 50 บริษัท มูลค่าประมาณ 250 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทคาดว่าตลาดหุ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะไตรมาส 4/52 จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมั่นใจว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ 4%
“ลูกค้าไฮด์เน็ตเวิร์ค หรือลูกค้ารายใหญ่ จะต้องมีพอร์ตลงทุนกับบริษัทมากกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ขณะที่การเพิ่มขึ้นจะมาจากลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย ที่การลงทุนในตลาดหุ้นผ่านบล.อื่นจำนวนกว่า 70,000 ราย ส่วนโปรโมชันการปล่อยมาร์จินจะเป็นลักษณะเช่น หากนักลงทุนที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงจะได้รับอัตราดอกเบี้นพิเศษ รวมถึงการรับมาร์เกตติ้งเพิ่ม จะทำให้มั่นใจว่ามาร์เกตแชร์จะไม่ต่ำกว่า 3% อย่างแน่นอน” นางสาวณัฐรินทร์ กล่าว
พร้อมกันนี้ บริษัทจะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจคือ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) จะมีการเดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ประเทศในแถบเอเชีย เช่น อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 14-20 กรกฎาคม 2552 เพื่อไปให้ข้อมูลนักลงทุนต่างประเทศเพื่อที่จะเข้ามาเป็นลูกค้า โดยสามารถที่จะส่งคำสั่งซื้อขายหุ้นผ่านระบบ (DMA) ซึ่งผ่านระบบของบลูมเบิร์ก ซึ่งนักลงทุนต่างประเทศรู้จักบลูมเบิร์กอยู่แล้ว
นางสาวณัฐรินทร์ กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนต่างชาติมีต้นทุนในการซื้อขายหุ้นต่ำ สะดวกรวดเร็ว และสามารถส่งคำสั่งเองได้ โดยไม่ต้องเซ็นสัญญาในการเป็นการทำสัญญาเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะคู่ค้า (Exclusive Partner ) ซึ่งบริษัทคาดว่าจะมีลูกค้าสถาบันต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 10% เป็น 40% จากปัจจุบันที่สัดส่วนลูกค้าสถาบัน 30% ที่เหลือเป็นนักลงทุนรายย่อย
นอกจากนี้ การไปโรดโชว์ดังกล่าวยังเป็นการร่วมมือกับทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการประสานงานในเรื่องการเชื่อมโยงตลาดหุ้นอาเซียน (อาเซียนลิ้งค์เกจ)
สำหรับผลการดำเนินงานนั้น นางสาวณัฐรินทร์ กล่าวว่า ไตรมาส 2/52 บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ประมาณกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้จากบริการที่ปรึกษาทางการเงินในการควบรวมกิจการ (M&A) และรายได้จากค่าธรรมเนียนในการซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชัน) หลังจากมูลค่าการซื้อขายในไตรมาส2/52 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2 หมื่นล้านบาทต่อวัน จากไตรมาส1/51 เฉลี่ยอยู่ที่ 8. 8 พันล้านบาท ทำให้บริษัทกลับมาพลิกเป็นกำไรไตรมาส2/52 จากไตรมาส1/52 ที่มีผลขาดทุน 39 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าภายในอีก 2 ปีจะเป็นโบรกเกอร์ติด 1 ใน 3 ของประเทศ โดยอาศัยจุดแข่งของธนาคารกสิกรไทยไทย และจากการให้บริการที่ครบวงจรเกี่ยวกับตลาดทุนและตลาดเงิน พร้อมเน้นให้คำแนะนำที่ดีกับนักลงทุนเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดี
“เมื่อเริ่มก่อตั้งบริษัท เราได้ตั้งเป้าจะเป็นโบรกเกอร์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดติดอันดับ 1 ใน 5 ภายใน 5 ปี แต่ได้ล่าช้าออกไปอีก 1 ปี จากภาวะตลาดหุ้นที่ไม่เอื้อ ขณะที่ด้านจุดคุ้มทุนนั้นบริษัทสามารถมีกำไรภายใน 2 ปี ซึ่งถือว่าเร็วมาก แต่การขึ้นท็อปทรีภายในระยะเวลา 6 ปี ถือว่าไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด”นางณัฐรินทร์ กล่าวว่า
นายวรวัจน์ สุวคนธ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานงานวาณิชธนกิจ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า บริษัทมีงานที่ปรึกษาทางการเงินที่ได้การแต่งตั้งแล้วจำนวน 15 บริษัท แบ่งเป็น การเป็นที่ปรึกษาในการนำบริษัทเข้าจดเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 5 บริษัท และงานควบรวมกิจการ 10 ดีล ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังจะสำเร็จได้ 5 ดีล