มาลี เดินเกมรุกตลาดน้ำผลไม้พรีเมียมเสริมสารอาหาร รับเทรนด์คนรุ่นใหม่ต้องการเครื่องดื่มมีโภชนาการ ทุ่ม 50 ล้านบาท ปั้น”มาลี เฮลท์ติ พลัส”ปูพรม 3 รสชาติ หวัง 3-5 ปี ดันภาพลักษณ์แบรนด์”คุณค่าที่มากกว่าน้ำผลไม้” พร้อมสอยบัลลังก์ทิปโก้ สิ้นปีแชร์พุ่งจาก 20% เป็น 23-25% ทิ้งห่างยูนิฟ
นางปทุมรัตน์ เพียรชอบ ผู้อำนวยการใหญ่ สายธุรกิจตราผลิตภัณฑ์ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ตรามาลี เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทฯมุ่งเน้นตลาดน้ำผลไม้มาลี 100% โดยเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ภายใต้แนวคิด”คุณค่าที่มากกว่าน้ำผลไม้” เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพต้องการน้ำผลไม้รสชาติดี มีคุณค่าทางโภชนาการ อีกทั้งยังรองรับกับแนวโน้มของตลาดน้ำผลไม้ที่หันมาสร้างตลาดน้ำผลไม้ที่เสริมสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯวางเป้าหมายสัดส่วน น้ำผลไม้ที่เสริมสารอาหาร 50% และน้ำผลไม้ปกติ 50%
แนวทางตลาดกลุ่มน้ำผลไม้ที่เสริมสารอาหาร จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆต่อเนื่อง และทำให้เป็นแบรนด์ที่ทันสมัย ล่าสุดทุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดตัวน้ำผลไม้พรีเมียมมภายใต้ “มาลี เฮลท์ติ พลัส” นำร่อง 3 รสชาติ ได้แก่
รสส้มเขียวหวาน-ส้มแมนดาริน และน้ำแบล็คเคอร์แรนท์ ทั้งรสชาติผสมโอเมก้า 3 ส่วนน้ำทับทิมผสมกับน้ำผลไม้รวมผสมสารสกัดจากเมล็ดองุ่นพร้อมโฟเลต ราคา 75-76 บาท สูงกว่าน้ำผลไม้ธรรมดา 3-4 บาท เจาะกลุ่มเป้าหมาย คนรุ่นใหม่และผู้ใส่ใจสุขภาพอายุ 20-40 ปี
ทั้งนี้บริษัทเน้นการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เกี่ยวกับคุณค่าของสารอาหารฟังก์ชันต่างๆ ในน้ำผลไม้ และจัดกิจกรรมการตลาดอย่างครบวงจร การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และตระหนักถึงสินค้าในกลุ่ม เฮลท์ติ พลัส จัดโรดโชว์ตามสำนักงานต่างๆ การจัดโปรโมชันและจัดบูธชงชิม ณ จุดขาย
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายว่าแนวคิดคุณค่าที่มากกว่าน้ำผลไม้ มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนภายใน 3-5 ปี และผลักดันให้มาลีจากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 20% ขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่ทิปโก้ซึ่งมีส่วนแบ่ง 40%
ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 8,600 ล้านบาท ในปีนี้คาดเติบโต 7% โดยน้ำผลไม้ระดับพรีเมียมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ติดลบ 2% แบ่งเป็น น้ำผลไม้พาสเจอร์ไรซ์มูลค่า 400 -500 ล้านบาท เป็นเซกเมนต์ที่ติดลบเช่นกัน เพราะผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่หากเศรษฐกิจกลับมาดีประกอบกับกระแสสุขภาพที่มาแรงอยู่แล้ว ผลักดันให้ตลาดเติบโต ส่วนตลาดน้ำผลไม้ระดับกลาง-ล่าง มูลค่า 5,200 ล้านบาท เติบโต 15% ส่วนอีกกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นน้ำผลไม้เข้มข้น
นางปทุมรัตน์ กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาการแข่งขันน้ำผลไม้พรีเมียม ในกลุ่มน้ำผลไม้ปกติ เน้นกลยุทธ์ราคา ลด แลก แจก แถม อย่างรุนแรง ส่วนหนึ่งเพราะต้องการกระตุ้นตลาดน้ำผลไม้ และการบริโภคให้เพิ่มขึ้น โดยพบว่าผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการบริโภคน้ำผลไม้ของคนไทยเพียง 11 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งการเติบโตชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตามในปีนี้ผลประกอบการกลุ่มน้ำผลไม้โดยรวมบริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% หรือมีรายได้ 600-700 ล้านบาท โดยกลุ่มน้ำผลไม้พรีเมียม เติบโต 10-11% คาดว่ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 20% เป็น 23-25% ทิ้งห่างยูนิฟ ซึ่งเป็นอันดับ 3 มีส่วนแบ่ง 15-17%
นางปทุมรัตน์ เพียรชอบ ผู้อำนวยการใหญ่ สายธุรกิจตราผลิตภัณฑ์ บริษัท มาลีสามพราน จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายน้ำผลไม้ตรามาลี เปิดเผยว่า นโยบายของบริษัทฯมุ่งเน้นตลาดน้ำผลไม้มาลี 100% โดยเน้นพัฒนาสินค้าที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้น ภายใต้แนวคิด”คุณค่าที่มากกว่าน้ำผลไม้” เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพต้องการน้ำผลไม้รสชาติดี มีคุณค่าทางโภชนาการ อีกทั้งยังรองรับกับแนวโน้มของตลาดน้ำผลไม้ที่หันมาสร้างตลาดน้ำผลไม้ที่เสริมสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยบริษัทฯวางเป้าหมายสัดส่วน น้ำผลไม้ที่เสริมสารอาหาร 50% และน้ำผลไม้ปกติ 50%
แนวทางตลาดกลุ่มน้ำผลไม้ที่เสริมสารอาหาร จะพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆต่อเนื่อง และทำให้เป็นแบรนด์ที่ทันสมัย ล่าสุดทุ่มงบ 50 ล้านบาท เปิดตัวน้ำผลไม้พรีเมียมมภายใต้ “มาลี เฮลท์ติ พลัส” นำร่อง 3 รสชาติ ได้แก่
รสส้มเขียวหวาน-ส้มแมนดาริน และน้ำแบล็คเคอร์แรนท์ ทั้งรสชาติผสมโอเมก้า 3 ส่วนน้ำทับทิมผสมกับน้ำผลไม้รวมผสมสารสกัดจากเมล็ดองุ่นพร้อมโฟเลต ราคา 75-76 บาท สูงกว่าน้ำผลไม้ธรรมดา 3-4 บาท เจาะกลุ่มเป้าหมาย คนรุ่นใหม่และผู้ใส่ใจสุขภาพอายุ 20-40 ปี
ทั้งนี้บริษัทเน้นการสร้างการรับรู้ในวงกว้าง เกี่ยวกับคุณค่าของสารอาหารฟังก์ชันต่างๆ ในน้ำผลไม้ และจัดกิจกรรมการตลาดอย่างครบวงจร การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และตระหนักถึงสินค้าในกลุ่ม เฮลท์ติ พลัส จัดโรดโชว์ตามสำนักงานต่างๆ การจัดโปรโมชันและจัดบูธชงชิม ณ จุดขาย
อย่างไรก็ตามบริษัทตั้งเป้าหมายว่าแนวคิดคุณค่าที่มากกว่าน้ำผลไม้ มีภาพลักษณ์ที่ชัดเจนภายใน 3-5 ปี และผลักดันให้มาลีจากปัจจุบันมีส่วนแบ่ง 20% ขึ้นเป็นผู้นำตลาดแทนที่ทิปโก้ซึ่งมีส่วนแบ่ง 40%
ภาพรวมตลาดน้ำผลไม้มูลค่า 8,600 ล้านบาท ในปีนี้คาดเติบโต 7% โดยน้ำผลไม้ระดับพรีเมียมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ติดลบ 2% แบ่งเป็น น้ำผลไม้พาสเจอร์ไรซ์มูลค่า 400 -500 ล้านบาท เป็นเซกเมนต์ที่ติดลบเช่นกัน เพราะผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ แต่หากเศรษฐกิจกลับมาดีประกอบกับกระแสสุขภาพที่มาแรงอยู่แล้ว ผลักดันให้ตลาดเติบโต ส่วนตลาดน้ำผลไม้ระดับกลาง-ล่าง มูลค่า 5,200 ล้านบาท เติบโต 15% ส่วนอีกกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นน้ำผลไม้เข้มข้น
นางปทุมรัตน์ กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาการแข่งขันน้ำผลไม้พรีเมียม ในกลุ่มน้ำผลไม้ปกติ เน้นกลยุทธ์ราคา ลด แลก แจก แถม อย่างรุนแรง ส่วนหนึ่งเพราะต้องการกระตุ้นตลาดน้ำผลไม้ และการบริโภคให้เพิ่มขึ้น โดยพบว่าผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้อัตราการบริโภคน้ำผลไม้ของคนไทยเพียง 11 ลิตรต่อคนต่อปี ซึ่งการเติบโตชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตามในปีนี้ผลประกอบการกลุ่มน้ำผลไม้โดยรวมบริษัทตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 10% หรือมีรายได้ 600-700 ล้านบาท โดยกลุ่มน้ำผลไม้พรีเมียม เติบโต 10-11% คาดว่ามีส่วนแบ่งเพิ่มจาก 20% เป็น 23-25% ทิ้งห่างยูนิฟ ซึ่งเป็นอันดับ 3 มีส่วนแบ่ง 15-17%