ASTVผู้จัดการรายวัน – อสังหาฯ ครึ่งหลังปี 52 ยังต้องลุ่นว่าจะฟื้นหรือไม่ หวั่นหวัด 2009 ทำคนเลิกช็อปบ้านตามงานแฟร์ ซ้ำเติมด้วย สส.สิ้นสภาพจากคดีถือครองหุ้นบริษัทต้องห้ามฉุดประชาชนขาดความเชื่อมั่น คาดฟื้นอีกทีหลังเลือกตั้งเสร็จ เชื่อทั้งปียอดจดทะเบียนแค่กว่า 60,000 ยูนิต ลดลงจากปี 52 ถืง 10%
ผ่านไปครึ่งปีผลประกอบการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มทยอยประกาศออกมาให้เห็น โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มียอดขายโตกันทั่วหน้า แต่ยอดรับรู้รายได้ยังไม่มีใครแย้มออกมาจนกว่าจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายกลาง-รายย่อยหลายบริษัทกลับระบุว่ายอดขายครึ่งปีไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลในครึ่งปีแรกจะพบว่ายอดขายลดลงประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าทั้งปีตัวเลขบ้านจดทะเบียนกว่า 60,000 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ขณะที่ปีที่ผ่านมามียอดจดทะเบียนกว่า 70,000 ยูนิต ส่วนในตลาดเมืองท่องเที่ยวเช่น ภูเก็ต สมุย ยอดขายหายไปกว่า 1 ใน 3
“ภาพรวมของตลาดอสังหาฯในปีนี้ลดลงแน่ๆ ดูได้จากโครงการเปิดใหม่ลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ประกอบการรายย่อยจะแย่ เพราะปัจจุบันบริษัทที่ยังขายได้มีแต่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีแบรนด์สินค้าติดตลาดเป็นที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ส่วนรายย่อยแทบจะไม่มียอดขายเลย” นายสัมมากล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ายังมีปัจจัยเสียงจาก ปัญหาไขหวัด 2009 เพราะประชาชนกลัวการระบาดของโรค หากมีการจัดงานมหกรรมที่อยู่อาศัยขึ้นอาจทำให้ประชาชนไม่กล้าเดินชมงานแสดงสินค้าหรือซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานก็เป็นได้
นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกประการคือ รัฐบาลขาดเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะทำให้รัฐบาลสั่นคลอนเป็นอย่างมาก คือ กรณีการถือครองหุ้นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.) ในบริษัทต้องห้าม ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพความเป็นส.ส. 61 คน แต่มีผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิและลาออก จึงเหลือกรณีที่กกต.จะวินิจฉัย 44 คน
กรณีที่กกต.จะวินิจฉัย 44 คน แยกเป็นพรรคเพื่อไทย 23 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 3 คน พรรคประชาราช 3 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 8 คน พรรคภูมิใจไทย 3 คน พรรคกิจสังคม 1 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน โดยในจำนวนนี้เป็นรมต.ในรัฐบาลชุดนี้ถึง 6 คน
ก่อนหน้านี้กกต.ได้พิจารณา 28 สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ พบว่ามีบุคคลที่ถือครองหุ้นอยู่ใน 18 บริษัทต้องห้ามที่กกต.มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว รวม 13 คนหากถือครองหุ้นสามัญก็จะถือว่ากระทำการเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 48 และ 265 เป็นเหตุให้ต้องสิ้นสมาชิกภาพความเป็นส.ส.ตามมาตรา 106 ( 6 ) แต่ถ้าถือหุ้นกู้ก็จะยังคงดำรงตำแหน่งส.ส.ได้ต่อไป หลังจากนี้จะให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดต่อไป
“หากกกต.มีมติสิ้นสภาพสส.เพิ่มอีก ก็จะทำให้สถานภาพของรัฐบาลสั่นคลอนได้ แต่เชื่อว่ากว่าศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดคงอีกหลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปีหน้าไปเลย ซึ่งต้องมีเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งสส.ที่ว่าลง หลายคนคาดว่า 20-30 ตำแหน่ง ถ้ามากขนาดนั้นอาจทำให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็เป็นได้ และจากสถิติที่ผ่านมาก่อนเลือกตั้งยอดขายอสังหาฯมักจะนิ่ง ซึ่งช่วงหาเสียงนานถึง 3 เดือน แต่ภายหลังจากเลือกตั้งแล้วยอดขายก็จะกลับมาดีไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ตาม” นายสัมมากล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีหน้าภาวะตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีข่าวดีจากเศรษฐกิจของจีนมีทิศทางดีขึ้นตั้งแต่ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศคู่ค้าได้รับอานิสงค์ไปด้วย ส่วนสหรัฐอเมริกาแม้ว่าในปีจะยังไม่ชัดเจนว่าจะเติบโตขึ้น แต่เชื่อว่าปีหน้ามีทิศทางที่ดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน
ผ่านไปครึ่งปีผลประกอบการของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เริ่มทยอยประกาศออกมาให้เห็น โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มียอดขายโตกันทั่วหน้า แต่ยอดรับรู้รายได้ยังไม่มีใครแย้มออกมาจนกว่าจะแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ในขณะที่ผู้ประกอบการรายกลาง-รายย่อยหลายบริษัทกลับระบุว่ายอดขายครึ่งปีไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลในครึ่งปีแรกจะพบว่ายอดขายลดลงประมาณ 10% จากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าทั้งปีตัวเลขบ้านจดทะเบียนกว่า 60,000 ยูนิต มูลค่าประมาณ 1.2 แสนล้านบาท ขณะที่ปีที่ผ่านมามียอดจดทะเบียนกว่า 70,000 ยูนิต ส่วนในตลาดเมืองท่องเที่ยวเช่น ภูเก็ต สมุย ยอดขายหายไปกว่า 1 ใน 3
“ภาพรวมของตลาดอสังหาฯในปีนี้ลดลงแน่ๆ ดูได้จากโครงการเปิดใหม่ลดน้อยลงอย่างมาก ผู้ประกอบการรายย่อยจะแย่ เพราะปัจจุบันบริษัทที่ยังขายได้มีแต่บริษัทขนาดใหญ่ที่มีแบรนด์สินค้าติดตลาดเป็นที่น่าเชื่อถือเท่านั้น ส่วนรายย่อยแทบจะไม่มียอดขายเลย” นายสัมมากล่าว
อย่างไรก็ตาม ภาวะตลาดอสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่ายังมีปัจจัยเสียงจาก ปัญหาไขหวัด 2009 เพราะประชาชนกลัวการระบาดของโรค หากมีการจัดงานมหกรรมที่อยู่อาศัยขึ้นอาจทำให้ประชาชนไม่กล้าเดินชมงานแสดงสินค้าหรือซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานก็เป็นได้
นอกจากนี้ปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอีกประการคือ รัฐบาลขาดเสถียรภาพทางการเมือง โดยเฉพาะกรณีล่าสุดที่หลายฝ่ายเกรงว่าจะทำให้รัฐบาลสั่นคลอนเป็นอย่างมาก คือ กรณีการถือครองหุ้นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์ (ส.ส.) ในบริษัทต้องห้าม ที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา และนายสมคิด หอมเนตร นักวิชาการอิสระ ยื่นคำร้องขอให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบการสิ้นสมาชิกภาพความเป็นส.ส. 61 คน แต่มีผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิและลาออก จึงเหลือกรณีที่กกต.จะวินิจฉัย 44 คน
กรณีที่กกต.จะวินิจฉัย 44 คน แยกเป็นพรรคเพื่อไทย 23 คน พรรคชาติไทยพัฒนา 3 คน พรรคประชาราช 3 คน พรรคเพื่อแผ่นดิน 8 คน พรรคภูมิใจไทย 3 คน พรรคกิจสังคม 1 คน พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา 2 คน พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน โดยในจำนวนนี้เป็นรมต.ในรัฐบาลชุดนี้ถึง 6 คน
ก่อนหน้านี้กกต.ได้พิจารณา 28 สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ พบว่ามีบุคคลที่ถือครองหุ้นอยู่ใน 18 บริษัทต้องห้ามที่กกต.มีคำวินิจฉัยไว้แล้ว รวม 13 คนหากถือครองหุ้นสามัญก็จะถือว่ากระทำการเข้าข่ายลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 48 และ 265 เป็นเหตุให้ต้องสิ้นสมาชิกภาพความเป็นส.ส.ตามมาตรา 106 ( 6 ) แต่ถ้าถือหุ้นกู้ก็จะยังคงดำรงตำแหน่งส.ส.ได้ต่อไป หลังจากนี้จะให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดต่อไป
“หากกกต.มีมติสิ้นสภาพสส.เพิ่มอีก ก็จะทำให้สถานภาพของรัฐบาลสั่นคลอนได้ แต่เชื่อว่ากว่าศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ขาดคงอีกหลายเดือนหรือไม่ก็เป็นปีหน้าไปเลย ซึ่งต้องมีเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งสส.ที่ว่าลง หลายคนคาดว่า 20-30 ตำแหน่ง ถ้ามากขนาดนั้นอาจทำให้รัฐบาลยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็เป็นได้ และจากสถิติที่ผ่านมาก่อนเลือกตั้งยอดขายอสังหาฯมักจะนิ่ง ซึ่งช่วงหาเสียงนานถึง 3 เดือน แต่ภายหลังจากเลือกตั้งแล้วยอดขายก็จะกลับมาดีไม่ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาลก็ตาม” นายสัมมากล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีหน้าภาวะตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีข่าวดีจากเศรษฐกิจของจีนมีทิศทางดีขึ้นตั้งแต่ปีนี้ ซึ่งจะทำให้ประเทศคู่ค้าได้รับอานิสงค์ไปด้วย ส่วนสหรัฐอเมริกาแม้ว่าในปีจะยังไม่ชัดเจนว่าจะเติบโตขึ้น แต่เชื่อว่าปีหน้ามีทิศทางที่ดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน