เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฮิลลารี คลินตัน ผู้กำลังเยือนอินเดีย ได้กล่าวแสดงความชื่นชมต่อ “ความจริงใจ” ในนโยบายด้านต่อต้านการก่อการร้ายของกรุงอิสลามาบัด ชาวปากีสถานผู้หนึ่งก็ได้ให้การสารภาพผิดอันชวนให้ตื่นตระหนก เรื่องที่เขาเข้าร่วมก่อการโจมตีแบบก่อการร้ายครั้งที่สยดสยองเลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งซึ่งเคยเกิดขึ้นในอินเดีย นั่นคือเหตุการณ์ในเมืองมุมไบ(บอมเบย์) เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
โมฮัมหมัด อัจมัล อามีร์ “คาซับ” เป็นมือปืนที่รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียวในกลุ่มมือปืน 10 คนซึ่งสังหารผู้คนไป 166 คนระหว่างการอาละวาดไปทั่วเมืองมุมไบเป็นเวลา 3 วันคราวนั้น ทั้งนี้เขาให้การยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดอะไร ตลอดเวลา 65 วันแห่งการพิจารณาคดีซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาอุกฉกรรจ์ต่างๆ เป็นต้นว่า ฆาตกรรม และทำสงครามต่อต้านอินเดีย แต่เมื่อวันจันทร์(20) เขาก็กลับคำให้การด้วยการพูดว่า “ผมยอมรับว่ากระทำความผิด” และ “ผมต้องการสารภาพ” จำเลยวัย 21 ปีผู้นี้กล่าวในห้องพิจารณาคดีที่ทุกคนต่างตะลึงงัน
เหตุการณ์โจมตีที่มุมไบ ซึ่งตั้งแต่ตอนแรกๆ แล้วอินเดียได้ประณามว่าเป็นฝีมือของชาวปากีสถานนั้น ได้สร้างความตึงเครียดอย่างร้ายแรงให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลปากีสถานได้ส่งมอบเอกสารจำนวนหนึ่งให้แก่อินเดีย ที่เป็นการประมวลหลักฐานเกี่ยวกับบทบาทในการโจมตีคราวนั้นของกลุ่ม ลัชคาร์-อี-ไตบา อันเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกสั่งยุบเลิกไปแล้ว โดยที่ในเอกสารเหล่านี้มีการระบุชื่อว่า คาซับ คือผู้มีส่วนร่วมด้วยคนหนึ่ง
คาซับกล่าวในวันจันทร์ว่า เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนคำให้การสืบเนื่องจากการส่งมอบเอกสารดังกล่าวนี้ “โปรดรับคำสารภาพของผมด้วย ช่วยปิดคดีแล้วก็ตัดสินลงโทษผมเถิด” เขากล่าว ในอากัปกริยาอันแสดงอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกว่าเขาถูกประเทศของเขาเองทรยศ
แต่การหักมุมอันแปลกประหลาดของคดีนี้ แน่นอนทีเดียวว่าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างนิวเดลีกับอิสลามาบัด
ภายหลังการรับสารภาพ คาซับก็ได้เล่าเรื่องราวอันชวนขนลุก เกี่ยวกับบทบาทของเขาในการโจมตีครั้งนั้น ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดมีทั้งโรงแรมระดับเลิศหรู 2 แห่ง, ศูนย์ของชาวยิวแห่งหนึ่ง, ภัตตาคารซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง, โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง, และสถานีรถไฟแห่งหลักของมุมไบ คนร้ายเหล่านี้มีอาวุธทั้งปืนอัตโนมัติ, ลูกระเบิดมือ, และดินระเบิด
คาซับ และคู่หู (ชื่อ อาบู อิสมาอิล) ได้รับมอบหมายให้สังหารผู้คนทั้งในและรอบๆ สถานีรถไฟ “ผมทำหน้าที่ใช้ปืนกราดยิง ส่วนอาบูก็คอยขว้างระเบิดมือ ... ผมยิงใส่ตำรวจคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีการยิงโต้ตอบมาจากฝ่ายตำรวจเลย” คาซับเล่า
จากสถานีรถไฟ ซึ่งพวกเขาฆ่าคนไปมากกว่า 50 คน ทั้งสองได้ไปยังโรงพยาบาลคามา สังหารคนเพิ่มขึ้นอีก แล้วพวกเขาก็ไปยังชายหาดเชาวปัตตี ที่ซึ่งอาบูถูกฆ่าและอาบูก็ถูกจับหลังจากยิงต่อสู้กับตำรวจ
คาซับยังระบุชื่อสมาชิก 4 คนของกลุ่มลัชคาร์-อี-ไตบา ซึ่งเขาบอกว่าได้มาคอยส่งมือปืนกลุ่มนี้เดินทางออกจากท่าเรือเมืองการาจีของปากีสถาน ในจำนวนนี้คนหนึ่งคือ ซากี อูร์-เราะห์มาน ลัควี หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของลัชคาร์-อี-ไตบา ทั้งนี้ลัควีถูกฝ่ายอินเดียระบุมานานแล้วว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ที่วางแผนการโจมตีคราวนี้
เพียงไม่นานหลังจากคาซับสารภาพผิด ทั้งสื่อมวลชนและผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างก็ออกมาเสนอทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการตัดสินใจสารภาพอย่างฉับพลันของเขาคราวนี้
มีทฤษฎีหนึ่งระบุว่า การยอมรับผิดเช่นนี้เป็นผลมาจากการหารืออย่างลับๆ กับรัฐมนตรีอาวุโสผู้หนึ่งของรัฐมหาราษฎระ ซึ่งได้บอกกับคาซับว่าเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะสู้คดีต่อไป ในเมื่อปากีสถานได้ประกาศไม่ยอมรับทั้งเขาและครอบครัวของเขาเสียแล้ว คนที่เสนอทฤษฎีนี้บอกต่อไปว่า เมื่อรัฐมนตรีผู้นั้นถามคาซับว่าทำไมเขาจึงกลายมาเป็นผู้ก่อการร้าย เขาก็ตอบว่า “พวกผู้นำของเราในปากีสถานคอยบอกกับเราเรื่อยๆ ว่า ฝ่ายอินเดียคือผู้รับผิดชอบต่อการก่อเหตุระเบิดต่างๆ ในประเทศเรา ดังนั้นเราจึงต้องล้างแค้น”
สำหรับอัยการแผ่นดิน อุจจวัล นิคาม แสดงปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้โดยเรียกการรับสารภาพของคาซับว่าเป็น “อุบาย” เขาอธิบายว่า ในช่วงเวลาที่ล่าช้าเนิ่นนานถึงขนาดนี้ (นั่นคือ หลังการโจมตีผ่านมา 8 เดือน และการพิจารณาคดีก็ดำเนินไปแล้ว 65 วัน) มือปืนผู้นี้จึงหมดสิทธิที่จะรับสารภาพอะไรได้แล้ว
ทางด้านรัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน เชาธรี เอ มุคตาร์ บอกกับสถานีโทรทัศน์อินเดียช่องหนึ่งว่า “คำบอกเล่า(ของคาซับ) เป็นการพูดข้างเดียว และออกมาจากปากของบุคคลที่กำลังตกอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อินเดีย ดังนั้น เมื่อเขาลุกขึ้นมาและบอกเล่าเรื่องนี้ ผมก็ไม่ทราบว่ามีอะไรบีบคั้นเขาหรือไม่”
แม้ยังมีการสงวนความเห็นเช่นนี้ แต่ความเกรี้ยวกราดใส่กันระหว่างปากีสถานกับอินเดียสืบเนื่องจากคดีนี้ ก็น่าที่จะลดทอนจางคลายลงไป และการพิจารณาคดีก็สามารถที่จะดำเนินไปสู่บทสรุปอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้ประตูเปิดกว้างสำหรับประเทศทั้งสองที่จะเคลื่อนเข้าหากัน และกลับคืนสู่การเจรจาสันติภาพ ซึ่งได้ถูกรบกวนขัดขวางอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
(เก็บความตัดทอนจากเรื่อง Jihadi confession rocks India, Pakistan
ของ Neeta Lal ผู้เป็นนักเขียน/นักวิจารณ์ ที่มีผลงานแพร่หลายกว้างขวาง โดยเขียนเรื่องให้แก่สื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออินเทอร์เน็ตทั้งระดับชาติและระดับระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังจำนวนมาก)
โมฮัมหมัด อัจมัล อามีร์ “คาซับ” เป็นมือปืนที่รอดชีวิตอยู่เพียงคนเดียวในกลุ่มมือปืน 10 คนซึ่งสังหารผู้คนไป 166 คนระหว่างการอาละวาดไปทั่วเมืองมุมไบเป็นเวลา 3 วันคราวนั้น ทั้งนี้เขาให้การยืนยันว่าไม่ได้กระทำความผิดอะไร ตลอดเวลา 65 วันแห่งการพิจารณาคดีซึ่งเขาถูกตั้งข้อหาอุกฉกรรจ์ต่างๆ เป็นต้นว่า ฆาตกรรม และทำสงครามต่อต้านอินเดีย แต่เมื่อวันจันทร์(20) เขาก็กลับคำให้การด้วยการพูดว่า “ผมยอมรับว่ากระทำความผิด” และ “ผมต้องการสารภาพ” จำเลยวัย 21 ปีผู้นี้กล่าวในห้องพิจารณาคดีที่ทุกคนต่างตะลึงงัน
เหตุการณ์โจมตีที่มุมไบ ซึ่งตั้งแต่ตอนแรกๆ แล้วอินเดียได้ประณามว่าเป็นฝีมือของชาวปากีสถานนั้น ได้สร้างความตึงเครียดอย่างร้ายแรงให้แก่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง
อย่างไรก็ดี เมื่อสัปดาห์ที่แล้วรัฐบาลปากีสถานได้ส่งมอบเอกสารจำนวนหนึ่งให้แก่อินเดีย ที่เป็นการประมวลหลักฐานเกี่ยวกับบทบาทในการโจมตีคราวนั้นของกลุ่ม ลัชคาร์-อี-ไตบา อันเป็นกลุ่มหัวรุนแรงที่ถูกสั่งยุบเลิกไปแล้ว โดยที่ในเอกสารเหล่านี้มีการระบุชื่อว่า คาซับ คือผู้มีส่วนร่วมด้วยคนหนึ่ง
คาซับกล่าวในวันจันทร์ว่า เขาตัดสินใจที่จะเปลี่ยนคำให้การสืบเนื่องจากการส่งมอบเอกสารดังกล่าวนี้ “โปรดรับคำสารภาพของผมด้วย ช่วยปิดคดีแล้วก็ตัดสินลงโทษผมเถิด” เขากล่าว ในอากัปกริยาอันแสดงอย่างชัดเจนว่าเขารู้สึกว่าเขาถูกประเทศของเขาเองทรยศ
แต่การหักมุมอันแปลกประหลาดของคดีนี้ แน่นอนทีเดียวว่าจะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างนิวเดลีกับอิสลามาบัด
ภายหลังการรับสารภาพ คาซับก็ได้เล่าเรื่องราวอันชวนขนลุก เกี่ยวกับบทบาทของเขาในการโจมตีครั้งนั้น ซึ่งเป้าหมายทั้งหมดมีทั้งโรงแรมระดับเลิศหรู 2 แห่ง, ศูนย์ของชาวยิวแห่งหนึ่ง, ภัตตาคารซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง, โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง, และสถานีรถไฟแห่งหลักของมุมไบ คนร้ายเหล่านี้มีอาวุธทั้งปืนอัตโนมัติ, ลูกระเบิดมือ, และดินระเบิด
คาซับ และคู่หู (ชื่อ อาบู อิสมาอิล) ได้รับมอบหมายให้สังหารผู้คนทั้งในและรอบๆ สถานีรถไฟ “ผมทำหน้าที่ใช้ปืนกราดยิง ส่วนอาบูก็คอยขว้างระเบิดมือ ... ผมยิงใส่ตำรวจคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่มีการยิงโต้ตอบมาจากฝ่ายตำรวจเลย” คาซับเล่า
จากสถานีรถไฟ ซึ่งพวกเขาฆ่าคนไปมากกว่า 50 คน ทั้งสองได้ไปยังโรงพยาบาลคามา สังหารคนเพิ่มขึ้นอีก แล้วพวกเขาก็ไปยังชายหาดเชาวปัตตี ที่ซึ่งอาบูถูกฆ่าและอาบูก็ถูกจับหลังจากยิงต่อสู้กับตำรวจ
คาซับยังระบุชื่อสมาชิก 4 คนของกลุ่มลัชคาร์-อี-ไตบา ซึ่งเขาบอกว่าได้มาคอยส่งมือปืนกลุ่มนี้เดินทางออกจากท่าเรือเมืองการาจีของปากีสถาน ในจำนวนนี้คนหนึ่งคือ ซากี อูร์-เราะห์มาน ลัควี หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของลัชคาร์-อี-ไตบา ทั้งนี้ลัควีถูกฝ่ายอินเดียระบุมานานแล้วว่าเป็นหัวหน้าใหญ่ที่วางแผนการโจมตีคราวนี้
เพียงไม่นานหลังจากคาซับสารภาพผิด ทั้งสื่อมวลชนและผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายต่างก็ออกมาเสนอทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับการตัดสินใจสารภาพอย่างฉับพลันของเขาคราวนี้
มีทฤษฎีหนึ่งระบุว่า การยอมรับผิดเช่นนี้เป็นผลมาจากการหารืออย่างลับๆ กับรัฐมนตรีอาวุโสผู้หนึ่งของรัฐมหาราษฎระ ซึ่งได้บอกกับคาซับว่าเป็นการเปล่าประโยชน์ที่จะสู้คดีต่อไป ในเมื่อปากีสถานได้ประกาศไม่ยอมรับทั้งเขาและครอบครัวของเขาเสียแล้ว คนที่เสนอทฤษฎีนี้บอกต่อไปว่า เมื่อรัฐมนตรีผู้นั้นถามคาซับว่าทำไมเขาจึงกลายมาเป็นผู้ก่อการร้าย เขาก็ตอบว่า “พวกผู้นำของเราในปากีสถานคอยบอกกับเราเรื่อยๆ ว่า ฝ่ายอินเดียคือผู้รับผิดชอบต่อการก่อเหตุระเบิดต่างๆ ในประเทศเรา ดังนั้นเราจึงต้องล้างแค้น”
สำหรับอัยการแผ่นดิน อุจจวัล นิคาม แสดงปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้โดยเรียกการรับสารภาพของคาซับว่าเป็น “อุบาย” เขาอธิบายว่า ในช่วงเวลาที่ล่าช้าเนิ่นนานถึงขนาดนี้ (นั่นคือ หลังการโจมตีผ่านมา 8 เดือน และการพิจารณาคดีก็ดำเนินไปแล้ว 65 วัน) มือปืนผู้นี้จึงหมดสิทธิที่จะรับสารภาพอะไรได้แล้ว
ทางด้านรัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน เชาธรี เอ มุคตาร์ บอกกับสถานีโทรทัศน์อินเดียช่องหนึ่งว่า “คำบอกเล่า(ของคาซับ) เป็นการพูดข้างเดียว และออกมาจากปากของบุคคลที่กำลังตกอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์อินเดีย ดังนั้น เมื่อเขาลุกขึ้นมาและบอกเล่าเรื่องนี้ ผมก็ไม่ทราบว่ามีอะไรบีบคั้นเขาหรือไม่”
แม้ยังมีการสงวนความเห็นเช่นนี้ แต่ความเกรี้ยวกราดใส่กันระหว่างปากีสถานกับอินเดียสืบเนื่องจากคดีนี้ ก็น่าที่จะลดทอนจางคลายลงไป และการพิจารณาคดีก็สามารถที่จะดำเนินไปสู่บทสรุปอย่างเร่งรีบ ปล่อยให้ประตูเปิดกว้างสำหรับประเทศทั้งสองที่จะเคลื่อนเข้าหากัน และกลับคืนสู่การเจรจาสันติภาพ ซึ่งได้ถูกรบกวนขัดขวางอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว
(เก็บความตัดทอนจากเรื่อง Jihadi confession rocks India, Pakistan
ของ Neeta Lal ผู้เป็นนักเขียน/นักวิจารณ์ ที่มีผลงานแพร่หลายกว้างขวาง โดยเขียนเรื่องให้แก่สื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออินเทอร์เน็ตทั้งระดับชาติและระดับระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดังจำนวนมาก)