มีความพยายามของบุคคลหลายฝ่ายที่จะใช้ช่องทาง “สมานฉันท์” แก้วิกฤตทางการเมือง วิกฤตอันเกิดมาจากบุคคลเพียงคนเดียว แต่เป็นบุคคลที่ทรงพลานุภาพ สามารถสั่นคลอนสังคมไทยได้ทั้งองคาพยพ
วาทกรรมที่บรรดาแกนนำเสื้อแดงประดิษฐ์ถ้อยร้อยความออกมาต่างๆ นานา เช่น คำว่า “ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง” หรือ “เพื่อโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย” หรือ “ทักษิณเป็นตัวแทนของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” กระทั่งคำว่า “เป็นการต่อสู้เพื่อประชาชน” ล้วนแล้วแต่เป็นวาทกรรมที่แฝงนัยไว้ทั้งสิ้น ขบวนการโค่นล้มรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ หรือขบวนการจ้องจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ( ฉบับ 2550 ) ด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือเป็นฉบับทายาทอสูร หากแต่แท้จริงแล้วพวกเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ
พาทักษิณกลับบ้าน โดยปราศจากคดีความใดๆ !
แม้ขบวนการพาพ่อกลับบ้านของบรรดาลูกๆ เคอิโงะจะยังไม่สัมฤทธิผล เพราะมีก้างชิ้นใหญ่อย่างกลุ่มพันธมิตรฯ ขวางอยู่ แต่คนพวกนี้ยังไม่ลดละความพยายามในภารกิจดังกล่าว ตราบใดที่ทักษิณยังกำเงินจำนวนมหาศาลไว้ในมือ เขาย่อมใช้มันซื้อ “วรนุส” กลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะบ่อนเซาะสังคมไทยทำลายชาติได้ทุกเมื่อ สร้างความปั่นป่วนใช้เป็นเงื่อนไขนำนักโทษชายรายนี้กลับมาให้จงได้
ณ ห้วงเวลานี้ สืบเนื่องมาตั้งแต่ที่ทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ ประเทศนี้ต้องเผชิญกับวิบากกรรมมาโดยตลอด ลำพังทักษิณซึ่งเป็นทุนใหญ่ก็สาหัสพอแล้ว ยังมามีแนวร่วมเสื้อแดงฝ่ายซ้ายหลงยุคเข้ามาผนึกกำลังร่วม จึงทำให้วิบากกรรมหนนี้ยาวนาน และยากจะขจัดปัญหาลงได้โดยง่ายในเวลาอันสั้น
การผนึกกำลังของเสื้อแดงฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย (บางคน) แม้จะเป็นการจับมืออย่างมีเงื่อนไข แต่มีเป้าหมายเดียวกัน
กิเลสยามเมื่อตกเป็นเจ้าเรือนผู้ใดแล้ว ความโลภโมโทสันย่อมตามมา ยิ่งเมื่อมามีทักษิณเป็นตัวอย่าง และชี้ช่องทางก้าวไปสู่อำนาจและผลประโยชน์ จึงเป็นสิ่งยั่วยวนให้ขั้วอำนาจใหม่พยายามก้าวไปให้ถึงจุดนั้น นายกฯอภิสิทธิ์จึงตกที่นั่งลำบากที่ต้องมาลงเรือลำเดียวกับโจร ตราบใดที่นายกฯ ยังขาดความกล้าหาญที่จะลงดาบปราบปรามพวกคดโกงชาติ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ “อำนาจรัฐซ้อน” ไปได้พ้น
ผู้นำประเทศจำต้องหวานอมขมกลืนต่อไป เพื่อพยุงให้ประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้า แม้ทุกย่างก้าวจะสั่นไหวขาดความมั่นคงก็ตาม อย่างน้อยประคองไปให้ถึงฝั่งของความมั่นใจในการเลือกตั้งสมัยหน้าว่า มีแต้มต่อพรรคตรงข้าม
ผนวกกับบางคนในระบอบทักษิณที่มองหาวิธีพาเจ้านายกลับบ้าน ฉวยโอกาสหยิบไปเป็นเงื่อนไขโดยอ้างว่า ถึงเวลาที่จะยุติวิกฤตการเมืองนี้ได้แล้ว โดยเล็งไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษนักโทษทางการเมืองเป็นด้านหลัก แน่นอนว่าเป้าหมายคือ ทักษิณ ชินวัตร และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย 111 คน พ้นพันธนาการ
จะสังเกตว่า หลายเวทีสมานฉันท์มักจะมีแนวร่วมเสื้อแดงเข้าไปมีส่วนร่วม แม้บางเวทีจะมีเจตนาให้เกิดบรรยากาศการสมานฉันท์ที่แท้จริงก็ตาม อย่างเวทีที่เพิ่งผ่านมา 3 อดีตอธิการบดี มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ได้แก่ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม, นรนิติ เศรษฐบุตร และชาญวิทย์ เกษตรศิริ โดยเฉพาะคำพูดของ ชาญวิทย์ ที่เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนิรโทษกรรมนักการเมือง เป็นเครื่องชี้ชัดว่า คิดอะไรอยู่ มีวัตถุประสงค์อย่างไร เพราะอย่างที่ทราบๆ กันดีว่า นักวิชาผู้นี้สีแดงแป๊ด!
การที่สังคมไทยยังไม่พ้นวิกฤตก็เพราะทักษิณยังไม่ยอมแพ้ ยังต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ได้เงิน 7 หมื่น 6 พันล้านบาทคืน และกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง ทั้งที่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่เพราะนักโทษชายผู้นี้มีบาปหนัก (Mortal sin) ในเมื่อทักษิณเคยอ้างถึงศาสนาพุทธอยู่เนืองๆ ควรจะรู้ว่า บาปกรรมที่กระทำต่อประเทศชาตินั้นร้ายแรง และผลกรรมจะสะท้อนกลับรุนแรงเพียงใด เช่นเดียวกับบรรดาวรนุสหางแดงที่ออกมาทำลายชาติแบบไม่ซ้ำหน้า
อย่างไรก็ตาม ทักษิณยังพอมีดีให้เห็นประการหนึ่ง จากอาการดิ้นรนหนีวิบากกรรมของเขา ช่วยกระชากหน้ากากอีแอบหลายคนที่ซุ่มซ่อนทำลายสังคมไทย ด้วยทัศนคติและอุดมการณ์ที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ในชาติ ทั้งที่บางคนมีการศึกษา มีหน้าที่การงานและมีหน้ามีตาในสังคม แต่กลับตื้นเขินทางปัญญา ทำให้เข้าไม่ถึงจริยธรรม เพราะมัวไปตกเป็นทาสอำนาจและผลประโยชน์ที่จินตนาการไปว่า วันหนึ่งจะได้มาเป็นของตน จนตามืดบอดมองไม่เห็นแยกแยะไม่ออกว่า ความดีกับความชั่วแตกต่างกันอย่างไร
เพราะฉะนั้น ใครที่ยังคิดว่าจะสมานฉันท์ด้วยการเปิดทางให้ทักษิณ ไม่ว่าจะแปลงกายมาในรูปลักษณ์ก็ตาม ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากนักโทษชายต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น
วาทกรรมที่บรรดาแกนนำเสื้อแดงประดิษฐ์ถ้อยร้อยความออกมาต่างๆ นานา เช่น คำว่า “ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง” หรือ “เพื่อโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย” หรือ “ทักษิณเป็นตัวแทนของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง” กระทั่งคำว่า “เป็นการต่อสู้เพื่อประชาชน” ล้วนแล้วแต่เป็นวาทกรรมที่แฝงนัยไว้ทั้งสิ้น ขบวนการโค่นล้มรัฐบาลนายกฯ อภิสิทธิ์ หรือขบวนการจ้องจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ( ฉบับ 2550 ) ด้วยข้ออ้างที่ว่า ไม่เป็นประชาธิปไตย หรือเป็นฉบับทายาทอสูร หากแต่แท้จริงแล้วพวกเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ
พาทักษิณกลับบ้าน โดยปราศจากคดีความใดๆ !
แม้ขบวนการพาพ่อกลับบ้านของบรรดาลูกๆ เคอิโงะจะยังไม่สัมฤทธิผล เพราะมีก้างชิ้นใหญ่อย่างกลุ่มพันธมิตรฯ ขวางอยู่ แต่คนพวกนี้ยังไม่ลดละความพยายามในภารกิจดังกล่าว ตราบใดที่ทักษิณยังกำเงินจำนวนมหาศาลไว้ในมือ เขาย่อมใช้มันซื้อ “วรนุส” กลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะบ่อนเซาะสังคมไทยทำลายชาติได้ทุกเมื่อ สร้างความปั่นป่วนใช้เป็นเงื่อนไขนำนักโทษชายรายนี้กลับมาให้จงได้
ณ ห้วงเวลานี้ สืบเนื่องมาตั้งแต่ที่ทักษิณเข้ามาบริหารประเทศ ประเทศนี้ต้องเผชิญกับวิบากกรรมมาโดยตลอด ลำพังทักษิณซึ่งเป็นทุนใหญ่ก็สาหัสพอแล้ว ยังมามีแนวร่วมเสื้อแดงฝ่ายซ้ายหลงยุคเข้ามาผนึกกำลังร่วม จึงทำให้วิบากกรรมหนนี้ยาวนาน และยากจะขจัดปัญหาลงได้โดยง่ายในเวลาอันสั้น
การผนึกกำลังของเสื้อแดงฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย (บางคน) แม้จะเป็นการจับมืออย่างมีเงื่อนไข แต่มีเป้าหมายเดียวกัน
กิเลสยามเมื่อตกเป็นเจ้าเรือนผู้ใดแล้ว ความโลภโมโทสันย่อมตามมา ยิ่งเมื่อมามีทักษิณเป็นตัวอย่าง และชี้ช่องทางก้าวไปสู่อำนาจและผลประโยชน์ จึงเป็นสิ่งยั่วยวนให้ขั้วอำนาจใหม่พยายามก้าวไปให้ถึงจุดนั้น นายกฯอภิสิทธิ์จึงตกที่นั่งลำบากที่ต้องมาลงเรือลำเดียวกับโจร ตราบใดที่นายกฯ ยังขาดความกล้าหาญที่จะลงดาบปราบปรามพวกคดโกงชาติ ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ “อำนาจรัฐซ้อน” ไปได้พ้น
ผู้นำประเทศจำต้องหวานอมขมกลืนต่อไป เพื่อพยุงให้ประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้า แม้ทุกย่างก้าวจะสั่นไหวขาดความมั่นคงก็ตาม อย่างน้อยประคองไปให้ถึงฝั่งของความมั่นใจในการเลือกตั้งสมัยหน้าว่า มีแต้มต่อพรรคตรงข้าม
ผนวกกับบางคนในระบอบทักษิณที่มองหาวิธีพาเจ้านายกลับบ้าน ฉวยโอกาสหยิบไปเป็นเงื่อนไขโดยอ้างว่า ถึงเวลาที่จะยุติวิกฤตการเมืองนี้ได้แล้ว โดยเล็งไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญและนิรโทษนักโทษทางการเมืองเป็นด้านหลัก แน่นอนว่าเป้าหมายคือ ทักษิณ ชินวัตร และอดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย 111 คน พ้นพันธนาการ
จะสังเกตว่า หลายเวทีสมานฉันท์มักจะมีแนวร่วมเสื้อแดงเข้าไปมีส่วนร่วม แม้บางเวทีจะมีเจตนาให้เกิดบรรยากาศการสมานฉันท์ที่แท้จริงก็ตาม อย่างเวทีที่เพิ่งผ่านมา 3 อดีตอธิการบดี มหาวิทยาธรรมศาสตร์ ได้แก่ เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม, นรนิติ เศรษฐบุตร และชาญวิทย์ เกษตรศิริ โดยเฉพาะคำพูดของ ชาญวิทย์ ที่เสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และนิรโทษกรรมนักการเมือง เป็นเครื่องชี้ชัดว่า คิดอะไรอยู่ มีวัตถุประสงค์อย่างไร เพราะอย่างที่ทราบๆ กันดีว่า นักวิชาผู้นี้สีแดงแป๊ด!
การที่สังคมไทยยังไม่พ้นวิกฤตก็เพราะทักษิณยังไม่ยอมแพ้ ยังต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ได้เงิน 7 หมื่น 6 พันล้านบาทคืน และกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง ทั้งที่ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่เพราะนักโทษชายผู้นี้มีบาปหนัก (Mortal sin) ในเมื่อทักษิณเคยอ้างถึงศาสนาพุทธอยู่เนืองๆ ควรจะรู้ว่า บาปกรรมที่กระทำต่อประเทศชาตินั้นร้ายแรง และผลกรรมจะสะท้อนกลับรุนแรงเพียงใด เช่นเดียวกับบรรดาวรนุสหางแดงที่ออกมาทำลายชาติแบบไม่ซ้ำหน้า
อย่างไรก็ตาม ทักษิณยังพอมีดีให้เห็นประการหนึ่ง จากอาการดิ้นรนหนีวิบากกรรมของเขา ช่วยกระชากหน้ากากอีแอบหลายคนที่ซุ่มซ่อนทำลายสังคมไทย ด้วยทัศนคติและอุดมการณ์ที่สวนทางกับคนส่วนใหญ่ในชาติ ทั้งที่บางคนมีการศึกษา มีหน้าที่การงานและมีหน้ามีตาในสังคม แต่กลับตื้นเขินทางปัญญา ทำให้เข้าไม่ถึงจริยธรรม เพราะมัวไปตกเป็นทาสอำนาจและผลประโยชน์ที่จินตนาการไปว่า วันหนึ่งจะได้มาเป็นของตน จนตามืดบอดมองไม่เห็นแยกแยะไม่ออกว่า ความดีกับความชั่วแตกต่างกันอย่างไร
เพราะฉะนั้น ใครที่ยังคิดว่าจะสมานฉันท์ด้วยการเปิดทางให้ทักษิณ ไม่ว่าจะแปลงกายมาในรูปลักษณ์ก็ตาม ไม่มีทางเป็นไปได้ นอกเสียจากนักโทษชายต้องกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเท่านั้น