นายนพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง ประเมินผลงานรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในรอบ 6 เดือนแรก และความนิยมต่อพรรคการเมือง ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่วันน จากประชาชน 17 จังหวัด 4, 012 คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 71.2 เห็นว่าควรให้โอกาสรัฐบาลทำงานต่อไปก่อน ขณะที่ร้อยละ 28.8 ที่เห็นว่าไม่ควรให้โอกาสรัฐบาล
ผลสำรวจพบประชาชนพึงพอใจภาพร่วมมาตรการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลร้อยละ 54.1 โดยมาตรการที่พึ่งพอจมากที่สุดอันดับแรก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน ร้อยละ 60.2 อันดับ 2 ร้อยละ 48.6 ค่าตอบแทน อสม. 600 บาทต่อเดือน อันดับ 3 ร้อยละ 44.6 การลดค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนการเดินทางทางรถไฟ รถเมล์ ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า น้ำประปา รองลงมา คือ โครงการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
ส่วนความพึงพอใจต่อมาตรการรัฐบาลด้านสังคม ประชาชนให้คะแนนรัฐบาล ร้อยละ 49.14 โดยมาตรการที่ประชาชนพึงพอใจมากที่สุด อันดับ 1 ร้อยละ 62.8 คือ นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อันดับ 2 ร้อยละ 44.8 พอใจต่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคหวัด 2009
ขณะที่ความพอใจมาตรการด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาชนให้คะแนน ร้อยละ 55.18 โดย อันดับ 1 ร้อยละ 65.4 พอใจต่อการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่ความพอใจต่อการ แก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้น้อยที่สุด ร้อยละ 23.6
สำหรับความนิยมและตั้งใจจะเลือก ส.ส.แบบสัดส่วนของพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ประชาชน ร้อยละ 44.6 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ร้อยละ 40.1 จะเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 15.3 จะเลือกพรรคอื่นๆ เช่น พรรคการเมืองใหม่ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น
เมื่อจำแนกตามช่วงอายุของประชาชน พบว่าประชาชนช่วงอายุ 20-29 ปี ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 47.9 ต่อร้อยละ 38.6 เช่นเดียวกับกลุ่มคนช่วงอายุ 30-39 ปี และอายุต่ำกว่า 20 ปี ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลุ่มคนอายุ 40-49 ปี ตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทย มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เล็กน้อย คือร้อยละ 43.5 ต่อร้อยละ 41.1 ในขณะที่กลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยในสัดส่วนไม่แตกต่างกัน คือร้อยละ 43.4 ต่อร้อยละ 42.1 แต่เมื่อแยกตามระดับการศึกษาพบว่า คนที่มีการศึกษาสูงจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น
สำหรับกลุ่มเกษตรกรและรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ร้อยละ 44.9 เลือก พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 40.3 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อจำแนกตามระดับรายได้ พบว่า กลุ่มคนที่เลือกพรรคเพื่อไทย ยังคงมีมากในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย คือมีรายได้ ไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 45.1 แต่กลุ่มคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ พบมากในระดับรายได้ระหว่าง 10,001-15,000 บาท และตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป คือร้อยละ 50.8 และร้อยละ 50.6
ทั้งนี้เมื่อมองเชิงพื้นที่พบว่าพื้นที่ภาคอีสาน ยังคงเป็นของพรรคเพื่อไทย คือร ้อยละ 57.1 ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 25 โดยพรรคประชาธิปัตย์เริ่มมีฐานเสียงสูงขึ้นจากเดิมเคยพบประมาณร้อยละ 10 ขณะที่ภาคใต้ยังคงเป็นของพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ขณะที่ภาคกลางและ กทม.คนจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 49.3 และร้อยละ 48.1 ต่อร้อยละ 34.1 และร้อยละ 39.3 ตามลำดับ
ผลสำรวจพบประชาชนพึงพอใจภาพร่วมมาตรการด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลร้อยละ 54.1 โดยมาตรการที่พึ่งพอจมากที่สุดอันดับแรก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 500 บาทต่อเดือน ร้อยละ 60.2 อันดับ 2 ร้อยละ 48.6 ค่าตอบแทน อสม. 600 บาทต่อเดือน อันดับ 3 ร้อยละ 44.6 การลดค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนการเดินทางทางรถไฟ รถเมล์ ก๊าซหุงต้ม ไฟฟ้า น้ำประปา รองลงมา คือ โครงการจัดตั้งกองทุนเศรษฐกิจพอเพียง
ส่วนความพึงพอใจต่อมาตรการรัฐบาลด้านสังคม ประชาชนให้คะแนนรัฐบาล ร้อยละ 49.14 โดยมาตรการที่ประชาชนพึงพอใจมากที่สุด อันดับ 1 ร้อยละ 62.8 คือ นโยบายเรียนฟรี 15 ปี อันดับ 2 ร้อยละ 44.8 พอใจต่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคหวัด 2009
ขณะที่ความพอใจมาตรการด้านการเมืองและความมั่นคง ประชาชนให้คะแนน ร้อยละ 55.18 โดย อันดับ 1 ร้อยละ 65.4 พอใจต่อการปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่ความพอใจต่อการ แก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้น้อยที่สุด ร้อยละ 23.6
สำหรับความนิยมและตั้งใจจะเลือก ส.ส.แบบสัดส่วนของพรรคการเมือง ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ประชาชน ร้อยละ 44.6 จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ขณะที่ร้อยละ 40.1 จะเลือกพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 15.3 จะเลือกพรรคอื่นๆ เช่น พรรคการเมืองใหม่ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น
เมื่อจำแนกตามช่วงอายุของประชาชน พบว่าประชาชนช่วงอายุ 20-29 ปี ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 47.9 ต่อร้อยละ 38.6 เช่นเดียวกับกลุ่มคนช่วงอายุ 30-39 ปี และอายุต่ำกว่า 20 ปี ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ แต่กลุ่มคนอายุ 40-49 ปี ตั้งใจจะเลือกพรรคเพื่อไทย มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์อยู่เล็กน้อย คือร้อยละ 43.5 ต่อร้อยละ 41.1 ในขณะที่กลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ตั้งใจจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทยในสัดส่วนไม่แตกต่างกัน คือร้อยละ 43.4 ต่อร้อยละ 42.1 แต่เมื่อแยกตามระดับการศึกษาพบว่า คนที่มีการศึกษาสูงจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากขึ้น
สำหรับกลุ่มเกษตรกรและรับจ้างใช้แรงงานทั่วไป ร้อยละ 44.9 เลือก พรรคเพื่อไทย ร้อยละ 40.3 เลือกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อจำแนกตามระดับรายได้ พบว่า กลุ่มคนที่เลือกพรรคเพื่อไทย ยังคงมีมากในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย คือมีรายได้ ไม่เกิน 5,000 บาท ร้อยละ 45.1 แต่กลุ่มคนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ พบมากในระดับรายได้ระหว่าง 10,001-15,000 บาท และตั้งแต่ 20,000 บาทขึ้นไป คือร้อยละ 50.8 และร้อยละ 50.6
ทั้งนี้เมื่อมองเชิงพื้นที่พบว่าพื้นที่ภาคอีสาน ยังคงเป็นของพรรคเพื่อไทย คือร ้อยละ 57.1 ต่อพรรคประชาธิปัตย์ ร้อยละ 25 โดยพรรคประชาธิปัตย์เริ่มมีฐานเสียงสูงขึ้นจากเดิมเคยพบประมาณร้อยละ 10 ขณะที่ภาคใต้ยังคงเป็นของพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม ขณะที่ภาคกลางและ กทม.คนจะเลือกพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 49.3 และร้อยละ 48.1 ต่อร้อยละ 34.1 และร้อยละ 39.3 ตามลำดับ
