ขณะที่สัญญาสัมปทานบริหารช่อง 3 ต่ออีก 10 ปี (2553-2563) ของ บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการฯที่แต่งตั้งโดย บอร์ดบมจ.อสมท “ASTVผู้จัดการรายวัน” ขอนำเสนอ ผลสอบสัญญาเดิมที่ไม่เป็นธรรม ให้สาธารณชนได้รับรู้
อัตราผลตอบแทนที่ อสมท ได้รับภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาครั้งที่ 3
การแก้ไขวิธีการจ่ายค่าตอบแทนจากอัตราร้อยละ 6.5 ของรายได้ ไปเป็นจำนวนตายตัว ทำให้ค่าตอบแทนที่ อสมท ได้รับมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก เพื่อให้ทราบถึงอัตราผลตอบแทนที่ อสมท ได้รับจริง ภายหลังการแก้ไขวิธีการจ่ายค่าตอบแทน โดยการคำนวณอัตราผลตอบแทนต่อรายได้ในระหว่างปี 2533 ถึง 2548 ปรากฎว่าหลังจากการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา ครั้งที่ 3 อสมท ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2.41 จากรายได้ ( เมื่อคำนวณจากรายได้ของบีอีซีเพียงบริษัทเดียว ) และร้อยละ 1.44 จากรายได้ทั้งสิ้น ( เมื่อคำนวณจากรายได้ที่แสดงในงบการเงินของบีอีซีบวกกับ รายได้ค่าโฆษณาที่แสดงในงบการเงินของ รังสิโรตม์ และนิวเวิลด์ ) เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากรายได้ที่เคยได้รับจำนวนร้อยละ 6.5 จะเห็นว่า อสมท ได้รับอัตราผลตอบแทนลดลงเป็นจำนวนร้อยละ 4.09 เมื่อเทียบกับรายได้ของบีอีซี และร้อยละ 5.06 เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งสินของ บีอีซี รังสิโรตม์ และ นิวเวิลด์ )
การเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่คู่สัญญาได้รับ
ผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำธุรกิจสามารถวัดได้ในหลายลักษณะ เช่น ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของกำไร ( ผลตอบแทนจากการลงทุน ) ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของเงินสด ( เงินปันผลรับหรือค่าตอบแทนรับ ) ฯลฯ ในฐานะผู้ร่วมดำเนินกิจการ อสมท และบีอีซี ( โดยกลุ่มมาลีนนท์ ) ควรได้รับผลตอบแทนที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ซึ่งรายละเอียดต่อจากนี้แสดงให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนที่ อสมท และบีอีซีได้รับในหลายลักษณะเพื่อประโยชน์ของการเปรียบเทียบ โดยคำนวณจากผลตอแทนที่เกิดขึ้นภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาครั้งที่ 3 ( ปี 2533 ถึง 2548 )
ผลตอบแทน/อัตราผลตอบแทน ปี 2533 – 2548
โดยผลตอบแทนที่เป็นเงินสด ( ตอบแทน/เงินปันผล ) อสมท ได้ 609 ล้านบาท ส่วนกลุ่มมาลีนนท์คือ บีอีซีทำได้ 5,742 ล้านบาท บีอีซี รังสิโรตม์และนิวเวิลด์ ได้ 11,492 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนที่เป็นเงินสดต่อรายได้ของบีอีซี โดย อสมท เท่ากับ 2.41% บีอีซี เท่ากับ 22.69%
อัตราผลตอบแทนที่เป็นเงินสดต่อรายได้ของบีอีซี รังสิโรตม์ นิวเวิลด์
โดย อสมทได้รับ 1.44% บีอีซี รังสิโรตม์ นิวเวิลด์ ได้รับ 27.26%
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน บีอีซีได้มากถึง 46.77% ส่วนบีอีซี รังสิโรตม์ นิวเวิลด์ ได้รับ 56.46%
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนที่คู่สัญญาควรได้รับ
ข้อมูลที่มีอยู่นั้นตามผลตอบแทนที่ระบุข้างต้น ทำให้เห็นชดเจนว่า ผลตอบแทนที่ อสมท ได้รับในระหว่างปี 2533 – 2548 มีจำนวน ( อัตรา ) น้อยมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่กลุ่มมาลีนนท์ได้รับจากการทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีกับ อสมท ทั้งที่สัญญาร่วมดำเนินกิจการเป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ควรแบ่งผลประโยชน์ และร่วมรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจ หากสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง อสมท กับ บีอีซี เป็นสัญญาร่วมดำเนินกิจการอย่างแท้จริงแล้ว บีอีซีในฐานะผู้ลงทุนควรได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตราที่เหมาะสม ในขณะที่ อสมท ในฐานะผู้ให้สัมปทานควรรับค่าตอบแทนที่ผันแปรตามผลประกอบการของผู้ลงทุน
เนื่องจากการกำหนดอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมจะทำให้การแบ่งปันผลประโยชน์ของสัญญาร่วมดำเนินกิจการเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม การสอบสัญญานี้จึงได้ทำการศึกษาอัตราผลตอบแทนที่คู่สัญญาควรได้รับดังนี้
( 1 ) อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่บีอีซีควรได้รับ
( 2 ) อัตราผลตอบแทนจากรายได้ที่ อสมท ควรได้รับ
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่บีอีซีควรได้รับ
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Equity ) คือ ผลตอบแทนสุทธิจากค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ผู้ถือหุ้นควรได้รับจากการลงทุนในบริษัท ในการศึกษานี้ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนคำนวณหากำไรสุทธิสำหรับปี ( กำไรสุทธิ เป็นกำไรที่ได้หักค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นซึ่งรวมถึง ค่าสัมปทาน ดอกเบี้ยจ่าย และวิธีเงินกู้ ) ) หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในระหว่างปี ( ส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยสำหรับงวดคำนวณโดยใช้ผลรวมของส่วนของผู้ถือหุ้นต้นปีกับปลายปีหารด้วย 2 )
ตามหลักความจริง อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ที่บริษัทได้รับ หากคำนวณหาค่าเฉลี่ยในระยะยาว ควรใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทชั้นนำ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ( หรือที่เรียกว่าอัตราอ้างอิง ( Reference Rate)”) เว้นแต่บริษัทนั้นจะมีปัจจัยบวกที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราอ้างอิงอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ซึ่งผู้บริหารของบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการเที่เป็นเลิศ บริษัททำธุรกิจในตลาดผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด หรือบริษัทได้ถ่ายโอนผลประโยชน์ของผู้อื่น เช่น คู่สัญญา มาเป็นของตนเอง ฯลฯ
ตามปรกติอัตราอ้างอิงกำหนดขึ้นจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้รวมอยู่ในการคำนวณ SET 50 Index (บริษัท SET50 ที่นำมาใช้ในการศึกษาถือเป็นตัวแทนที่เที่ยงธรรม เพราะเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือน สูงสุด 50 อันดับแรก และมีมูลค่าซื้อขายสม่ำเสมอ ) (ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า “บริษัทSET50”) โดยการศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดอัตราอ้างอิงจาก บริษัท SET50 หลังจากที่ได้ตัดบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินออกจำนวน 10 บริษัท
( บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินมีลักษณะเป็นธุรกิจเฉพาะและต้องดำเนินงานภายใต้กฎหมายเฉพาะจึงไม่ถือเป็นตัวแทนที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณอัตราผลตอบแทนอ้างอิงสำหรับบริษัททั่วไป เช่น บีอีซี ) และบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ อีก 6 บริษัท ( บริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐไม่ควรนำมารวมในการคำนวณหาอัตราผลตอบแทนอ้างอิงด้วยสาเหตุที่ว่า บริษัทที่ได้รับสัมปทานมักมีการดำเนินกิจการในลักษณะผูกขาดหรือได้รับสิทธิพิเศษตามสัญญาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การแยกบริษัทที่ได้รับสัมปทานรัฐออกจากการคำนวณจะทำให้ อัตราผลตอบแทนอ้างอิงที่คำนวณได้ถือเป็นตัวแทนที่เที่ยงธรรมของบริษัทชั้นนำทั่วไปที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของบริษัทเอง )
ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า “บริษัทSET34” (อ่านต่อวันพรุ่งนี้)
อัตราผลตอบแทนที่ อสมท ได้รับภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาครั้งที่ 3
การแก้ไขวิธีการจ่ายค่าตอบแทนจากอัตราร้อยละ 6.5 ของรายได้ ไปเป็นจำนวนตายตัว ทำให้ค่าตอบแทนที่ อสมท ได้รับมีจำนวนลดลงเป็นอย่างมาก เพื่อให้ทราบถึงอัตราผลตอบแทนที่ อสมท ได้รับจริง ภายหลังการแก้ไขวิธีการจ่ายค่าตอบแทน โดยการคำนวณอัตราผลตอบแทนต่อรายได้ในระหว่างปี 2533 ถึง 2548 ปรากฎว่าหลังจากการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญา ครั้งที่ 3 อสมท ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเฉลี่ยร้อยละ 2.41 จากรายได้ ( เมื่อคำนวณจากรายได้ของบีอีซีเพียงบริษัทเดียว ) และร้อยละ 1.44 จากรายได้ทั้งสิ้น ( เมื่อคำนวณจากรายได้ที่แสดงในงบการเงินของบีอีซีบวกกับ รายได้ค่าโฆษณาที่แสดงในงบการเงินของ รังสิโรตม์ และนิวเวิลด์ ) เมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากรายได้ที่เคยได้รับจำนวนร้อยละ 6.5 จะเห็นว่า อสมท ได้รับอัตราผลตอบแทนลดลงเป็นจำนวนร้อยละ 4.09 เมื่อเทียบกับรายได้ของบีอีซี และร้อยละ 5.06 เมื่อเทียบกับรายได้ทั้งสินของ บีอีซี รังสิโรตม์ และ นิวเวิลด์ )
การเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนที่คู่สัญญาได้รับ
ผลตอบแทนที่ได้รับจากการทำธุรกิจสามารถวัดได้ในหลายลักษณะ เช่น ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของกำไร ( ผลตอบแทนจากการลงทุน ) ผลตอบแทนที่อยู่ในรูปของเงินสด ( เงินปันผลรับหรือค่าตอบแทนรับ ) ฯลฯ ในฐานะผู้ร่วมดำเนินกิจการ อสมท และบีอีซี ( โดยกลุ่มมาลีนนท์ ) ควรได้รับผลตอบแทนที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ซึ่งรายละเอียดต่อจากนี้แสดงให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนที่ อสมท และบีอีซีได้รับในหลายลักษณะเพื่อประโยชน์ของการเปรียบเทียบ โดยคำนวณจากผลตอแทนที่เกิดขึ้นภายหลังการแก้ไขเพิ่มเติมสัญญาครั้งที่ 3 ( ปี 2533 ถึง 2548 )
ผลตอบแทน/อัตราผลตอบแทน ปี 2533 – 2548
โดยผลตอบแทนที่เป็นเงินสด ( ตอบแทน/เงินปันผล ) อสมท ได้ 609 ล้านบาท ส่วนกลุ่มมาลีนนท์คือ บีอีซีทำได้ 5,742 ล้านบาท บีอีซี รังสิโรตม์และนิวเวิลด์ ได้ 11,492 ล้านบาท
อัตราผลตอบแทนที่เป็นเงินสดต่อรายได้ของบีอีซี โดย อสมท เท่ากับ 2.41% บีอีซี เท่ากับ 22.69%
อัตราผลตอบแทนที่เป็นเงินสดต่อรายได้ของบีอีซี รังสิโรตม์ นิวเวิลด์
โดย อสมทได้รับ 1.44% บีอีซี รังสิโรตม์ นิวเวิลด์ ได้รับ 27.26%
ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน บีอีซีได้มากถึง 46.77% ส่วนบีอีซี รังสิโรตม์ นิวเวิลด์ ได้รับ 56.46%
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับอัตราผลตอบแทนที่คู่สัญญาควรได้รับ
ข้อมูลที่มีอยู่นั้นตามผลตอบแทนที่ระบุข้างต้น ทำให้เห็นชดเจนว่า ผลตอบแทนที่ อสมท ได้รับในระหว่างปี 2533 – 2548 มีจำนวน ( อัตรา ) น้อยมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่กลุ่มมาลีนนท์ได้รับจากการทำสัญญาร่วมดำเนินกิจการส่งโทรทัศน์สีกับ อสมท ทั้งที่สัญญาร่วมดำเนินกิจการเป็นสัญญาที่คู่สัญญาทั้ง 2 ฝ่าย ควรแบ่งผลประโยชน์ และร่วมรับความเสี่ยงในการทำธุรกิจ หากสัญญาที่ทำขึ้นระหว่าง อสมท กับ บีอีซี เป็นสัญญาร่วมดำเนินกิจการอย่างแท้จริงแล้ว บีอีซีในฐานะผู้ลงทุนควรได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในอัตราที่เหมาะสม ในขณะที่ อสมท ในฐานะผู้ให้สัมปทานควรรับค่าตอบแทนที่ผันแปรตามผลประกอบการของผู้ลงทุน
เนื่องจากการกำหนดอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมจะทำให้การแบ่งปันผลประโยชน์ของสัญญาร่วมดำเนินกิจการเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรม การสอบสัญญานี้จึงได้ทำการศึกษาอัตราผลตอบแทนที่คู่สัญญาควรได้รับดังนี้
( 1 ) อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่บีอีซีควรได้รับ
( 2 ) อัตราผลตอบแทนจากรายได้ที่ อสมท ควรได้รับ
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่บีอีซีควรได้รับ
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Equity ) คือ ผลตอบแทนสุทธิจากค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นที่ผู้ถือหุ้นควรได้รับจากการลงทุนในบริษัท ในการศึกษานี้ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนคำนวณหากำไรสุทธิสำหรับปี ( กำไรสุทธิ เป็นกำไรที่ได้หักค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นซึ่งรวมถึง ค่าสัมปทาน ดอกเบี้ยจ่าย และวิธีเงินกู้ ) ) หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยในระหว่างปี ( ส่วนของผู้ถือหุ้นถัวเฉลี่ยสำหรับงวดคำนวณโดยใช้ผลรวมของส่วนของผู้ถือหุ้นต้นปีกับปลายปีหารด้วย 2 )
ตามหลักความจริง อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน ที่บริษัทได้รับ หากคำนวณหาค่าเฉลี่ยในระยะยาว ควรใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทชั้นนำ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ( หรือที่เรียกว่าอัตราอ้างอิง ( Reference Rate)”) เว้นแต่บริษัทนั้นจะมีปัจจัยบวกที่ทำให้บริษัทสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราอ้างอิงอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ซึ่งผู้บริหารของบริษัทมีความสามารถในการบริหารจัดการเที่เป็นเลิศ บริษัททำธุรกิจในตลาดผูกขาดหรือกึ่งผูกขาด หรือบริษัทได้ถ่ายโอนผลประโยชน์ของผู้อื่น เช่น คู่สัญญา มาเป็นของตนเอง ฯลฯ
ตามปรกติอัตราอ้างอิงกำหนดขึ้นจากอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ได้ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกให้รวมอยู่ในการคำนวณ SET 50 Index (บริษัท SET50 ที่นำมาใช้ในการศึกษาถือเป็นตัวแทนที่เที่ยงธรรม เพราะเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเฉลี่ยต่อวันย้อนหลัง 12 เดือน สูงสุด 50 อันดับแรก และมีมูลค่าซื้อขายสม่ำเสมอ ) (ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า “บริษัทSET50”) โดยการศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดอัตราอ้างอิงจาก บริษัท SET50 หลังจากที่ได้ตัดบริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินออกจำนวน 10 บริษัท
( บริษัทในกลุ่มธุรกิจการเงินมีลักษณะเป็นธุรกิจเฉพาะและต้องดำเนินงานภายใต้กฎหมายเฉพาะจึงไม่ถือเป็นตัวแทนที่เกี่ยวข้องกับการคำนวณอัตราผลตอบแทนอ้างอิงสำหรับบริษัททั่วไป เช่น บีอีซี ) และบริษัทที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ อีก 6 บริษัท ( บริษัทที่ได้รับสัมปทานจากรัฐไม่ควรนำมารวมในการคำนวณหาอัตราผลตอบแทนอ้างอิงด้วยสาเหตุที่ว่า บริษัทที่ได้รับสัมปทานมักมีการดำเนินกิจการในลักษณะผูกขาดหรือได้รับสิทธิพิเศษตามสัญญาไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง การแยกบริษัทที่ได้รับสัมปทานรัฐออกจากการคำนวณจะทำให้ อัตราผลตอบแทนอ้างอิงที่คำนวณได้ถือเป็นตัวแทนที่เที่ยงธรรมของบริษัทชั้นนำทั่วไปที่ประสบความสำเร็จด้วยความสามารถของบริษัทเอง )
ซึ่งต่อไปจะเรียกว่า “บริษัทSET34” (อ่านต่อวันพรุ่งนี้)