ข้อวัตรปฏิบัติที่บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งในระดับผู้นำควรงดเว้น หรือหลีกเลี่ยง เรียกว่า อคติ มีอยู่ 4 ประการ คือ
1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
โดยนัยแห่งคำ อคติ หมายถึง ฐานะอันไม่พึงถึงแนวทางความประพฤติที่ผิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอียง และตามนัยแห่งความหมายที่ว่ามานี้เห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าบุคคลที่เป็นผู้นำตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งธรรม 4 ประการนี้ แม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งก็จะทำให้ภาวะแห่งผู้นำถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่ควรจะเป็น
เมื่อใดก็ตามเมื่อภาวะผู้นำถูกบิดเบือน บทบาทของผู้นำก็จะด้อยลงไปในสายตาของผู้อยู่ภายใต้การนำของบุคคลนั้น เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นแก่พวกเขา
วันนี้และเวลานี้ ผู้คนในสังคมไทยกำลังจับตามองนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารประเทศไทย และกำลังนำประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาสังคม และปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำอยู่ในขั้นวิกฤต ด้วยความหวังที่ลดลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุปัจจัยในทางตรรกะดังต่อไปนี้
1. ในระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา ผู้คนในสังคมไทยได้พบเห็นความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ อันเกิดจากภาวะผู้นำที่ล้มเหลว สืบเนื่องมาจากผู้นำประเทศถูกครอบงำด้วยอคติ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันทาคติ และโมหาคติ รวมไปถึงโทสาคติ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2548-2549 และมากที่สุดในช่วงปี 2551 หรือพูดง่ายๆ ก็ในยุคของรัฐบาลตัวแทน จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่พบกับความผิดหวัง และเกิดอาการเบื่อหน่ายทางการเมืองออกมาเรียกร้องหาผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของประเทศ และที่ต้องการเห็นมากที่สุดก็คือ ผู้นำที่มีความยุติธรรม ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งอคติ 4
2. เมื่อรัฐบาลตัวแทนสิ้นอำนาจด้วยกระบวนการทางศาลเมื่อปลายปี 2551 และมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่โดยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และมีกลุ่มเพื่อนเนวินพร้อมด้วยพรรคเล็กพรรคน้อยอีกส่วนหนึ่งเข้าร่วมกันเป็นรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในทันทีที่รัฐบาลนี้เข้าทำงาน ประชาชนส่วนใหญ่รวมไปถึงนักวิชาการต่างแสดงความนิยมชมชอบในตัวผู้นำรัฐบาล ทั้งในแง่ของความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญคือ คุณธรรม ที่เกือบทุกคนเชื่อว่ามีอยู่มากกว่าผู้นำรัฐบาลในยุคของการเป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่าที่ถูกโค่นล้มไปเมื่อ 19 กันยายน 2549 ทุกคน จึงได้ให้โอกาสในการทำงานอย่างเต็มที่
แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน เสียงติติงต่อภาวะผู้นำของรัฐบาลในทางลบก็เริ่มดังขึ้น เมื่อมีการยอมอ่อนข้อให้กับกลุ่มเพื่อนเนวินมีบทบาทที่ส่อไปในทางหาประโยชน์ด้วยแนวคิด และวิธีการมิชอบ ทั้งในแง่ของศีลธรรม และจริยธรรมที่นักการเมืองที่ต้องการเข้ามารับใช้ประชาชนจะพึงกระทำ เช่น มีการย้ายสายการบินไทยไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ และโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ที่กำลังเป็นปัญหาให้เป็นที่กังขาของปวงชนว่าตกลงจะเช่าหรือเช่าซื้อ หรือซื้อด้วยวิธีการไหนและอย่างไร เป็นต้น
นอกจากสองกิจกรรมที่ก่อให้เกิดข้อกังขาในภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังกล่าวแล้ว การจับตามองโครงการกู้เงินมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายไทยเข้มแข็ง ก็มีแนวโน้มว่าจะทำให้ทุนทางสังคมของผู้นำรัฐบาลที่เคยมีอยู่อย่างท่วมท้นลดลงได้ ถ้าปรากฏว่าเงินกู้ที่ว่านี้ถูกนำไปใช้ในโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่า แต่ราคาแพงเกินกว่ารับได้ เช่น ถนนปลอดฝุ่น เป็นต้น
จากเหตุปัจจัย 2 ข้อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมว่ามีความขัดแย้งกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แสดงออกในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในหลายๆ เรื่อง และนี่เองน่าจะเป็นเหตุปัจจัยให้ผู้คนในสังคมศรัทธาต่อผู้นำรัฐบาลน้อยลงเรื่อยๆ ขณะนี้
อะไรเป็นเหตุให้ผู้นำรัฐบาลที่เคยมีตัวตนเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชนพบกับปัญหาวิกฤตศรัทธาน้อยลงในเรื่องที่เคยได้รับความเชื่อถือมาก่อนหน้านี้?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบันตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เพียงจำเป็นต้องบิดเบือนหรือจำแลงตัวตนให้สอดคล้องหรือกลมกลืนกับภาวะแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดในทางการเมืองเท่านั้น ทั้งนี้จะเห็นได้จากเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังนี้
เมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นฝ่ายค้าน ได้อภิปรายแสดงความเห็นคัดค้านเรื่องบันทึกข้อตกลงที่นายนภดล ปัทมะ ได้กระทำกับผู้นำกัมพูชาว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และเป็นการทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน
แต่มาวันนี้ท่าทีของรัฐบาลภายใต้การนำของ ปชป.ได้เปลี่ยนไปในทำนองเห็นด้วยกับการที่เขมรจะยื่นขอเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโก จะเห็นได้จากการที่รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณไปเจรจากับเขมร และการยอมรับให้มีการพัฒนาพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นการยอมรับให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของเขมรเป็นไปด้วยความถูกต้อง แทนที่จะคัดค้านการยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของเขมรแต่ฝ่ายเดียว แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยการขอขึ้นทะเบียนร่วมกับไทยเหมือนกับที่รัฐบาลไทยในอดีตเคยยื่นมาตลอด นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่ผู้นำรัฐบาลได้แสดงท่าทีเปลี่ยนไป
ถ้าดูให้ละเอียดถึงการยอมให้พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยมีบทบาทในการเสนอโครงการ และเป็นผู้นำในการเลือกตั้งในภาคอีสาน 2 ครั้งที่ผ่านมาด้วย แล้วก็เท่ากับการยอมรับบทบาทของกลุ่มเพื่อนเนวินว่ามีส่วนสำคัญในการดำรงอยู่ของรัฐบาล ถ้าเป็นเช่นนี้จะแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคำว่า รักคนชั่ว กลัวคนเลว เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง และพรรค
1. ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก
2. โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง
3. โมหาคติ ลำเอียงเพราะเขลา
4. ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว
โดยนัยแห่งคำ อคติ หมายถึง ฐานะอันไม่พึงถึงแนวทางความประพฤติที่ผิด ความไม่เที่ยงธรรม ความลำเอียง และตามนัยแห่งความหมายที่ว่ามานี้เห็นได้ชัดเจนว่า ถ้าบุคคลที่เป็นผู้นำตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งธรรม 4 ประการนี้ แม้เพียงข้อใดข้อหนึ่งก็จะทำให้ภาวะแห่งผู้นำถูกบิดเบือนไปจากความเป็นจริงที่ควรจะเป็น
เมื่อใดก็ตามเมื่อภาวะผู้นำถูกบิดเบือน บทบาทของผู้นำก็จะด้อยลงไปในสายตาของผู้อยู่ภายใต้การนำของบุคคลนั้น เพราะมองเห็นความไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นแก่พวกเขา
วันนี้และเวลานี้ ผู้คนในสังคมไทยกำลังจับตามองนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำรัฐบาลที่ทำหน้าที่บริหารประเทศไทย และกำลังนำประเทศไทยเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาสังคม และปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังตกต่ำอยู่ในขั้นวิกฤต ด้วยความหวังที่ลดลงเรื่อยๆ ด้วยเหตุปัจจัยในทางตรรกะดังต่อไปนี้
1. ในระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา ผู้คนในสังคมไทยได้พบเห็นความเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งในด้านสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ อันเกิดจากภาวะผู้นำที่ล้มเหลว สืบเนื่องมาจากผู้นำประเทศถูกครอบงำด้วยอคติ 4 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉันทาคติ และโมหาคติ รวมไปถึงโทสาคติ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2548-2549 และมากที่สุดในช่วงปี 2551 หรือพูดง่ายๆ ก็ในยุคของรัฐบาลตัวแทน จึงทำให้ประชาชนส่วนใหญ่พบกับความผิดหวัง และเกิดอาการเบื่อหน่ายทางการเมืองออกมาเรียกร้องหาผู้นำที่มีความรู้ ความสามารถในการแก้ไขปัญหาของประเทศ และที่ต้องการเห็นมากที่สุดก็คือ ผู้นำที่มีความยุติธรรม ไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งอคติ 4
2. เมื่อรัฐบาลตัวแทนสิ้นอำนาจด้วยกระบวนการทางศาลเมื่อปลายปี 2551 และมีการจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใหม่โดยพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ และมีกลุ่มเพื่อนเนวินพร้อมด้วยพรรคเล็กพรรคน้อยอีกส่วนหนึ่งเข้าร่วมกันเป็นรัฐบาล โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
ในทันทีที่รัฐบาลนี้เข้าทำงาน ประชาชนส่วนใหญ่รวมไปถึงนักวิชาการต่างแสดงความนิยมชมชอบในตัวผู้นำรัฐบาล ทั้งในแง่ของความรู้ ความสามารถ และที่สำคัญคือ คุณธรรม ที่เกือบทุกคนเชื่อว่ามีอยู่มากกว่าผู้นำรัฐบาลในยุคของการเป็นตัวแทนกลุ่มอำนาจเก่าที่ถูกโค่นล้มไปเมื่อ 19 กันยายน 2549 ทุกคน จึงได้ให้โอกาสในการทำงานอย่างเต็มที่
แต่เวลาผ่านไปได้ไม่นาน เสียงติติงต่อภาวะผู้นำของรัฐบาลในทางลบก็เริ่มดังขึ้น เมื่อมีการยอมอ่อนข้อให้กับกลุ่มเพื่อนเนวินมีบทบาทที่ส่อไปในทางหาประโยชน์ด้วยแนวคิด และวิธีการมิชอบ ทั้งในแง่ของศีลธรรม และจริยธรรมที่นักการเมืองที่ต้องการเข้ามารับใช้ประชาชนจะพึงกระทำ เช่น มีการย้ายสายการบินไทยไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ และโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ที่กำลังเป็นปัญหาให้เป็นที่กังขาของปวงชนว่าตกลงจะเช่าหรือเช่าซื้อ หรือซื้อด้วยวิธีการไหนและอย่างไร เป็นต้น
นอกจากสองกิจกรรมที่ก่อให้เกิดข้อกังขาในภาวะผู้นำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดังกล่าวแล้ว การจับตามองโครงการกู้เงินมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายไทยเข้มแข็ง ก็มีแนวโน้มว่าจะทำให้ทุนทางสังคมของผู้นำรัฐบาลที่เคยมีอยู่อย่างท่วมท้นลดลงได้ ถ้าปรากฏว่าเงินกู้ที่ว่านี้ถูกนำไปใช้ในโครงการที่ก่อให้เกิดประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่า แต่ราคาแพงเกินกว่ารับได้ เช่น ถนนปลอดฝุ่น เป็นต้น
จากเหตุปัจจัย 2 ข้อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นรูปธรรมว่ามีความขัดแย้งกับภาพลักษณ์เดิมๆ ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่แสดงออกในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรในหลายๆ เรื่อง และนี่เองน่าจะเป็นเหตุปัจจัยให้ผู้คนในสังคมศรัทธาต่อผู้นำรัฐบาลน้อยลงเรื่อยๆ ขณะนี้
อะไรเป็นเหตุให้ผู้นำรัฐบาลที่เคยมีตัวตนเป็นที่เชื่อถือศรัทธาของประชาชนพบกับปัญหาวิกฤตศรัทธาน้อยลงในเรื่องที่เคยได้รับความเชื่อถือมาก่อนหน้านี้?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าจากอดีตจนถึงปัจจุบันตัวตนที่แท้จริงของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป เพียงจำเป็นต้องบิดเบือนหรือจำแลงตัวตนให้สอดคล้องหรือกลมกลืนกับภาวะแวดล้อมเพื่อความอยู่รอดในทางการเมืองเท่านั้น ทั้งนี้จะเห็นได้จากเหตุปัจจัยในเชิงตรรกะดังนี้
เมื่อครั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เป็นฝ่ายค้าน ได้อภิปรายแสดงความเห็นคัดค้านเรื่องบันทึกข้อตกลงที่นายนภดล ปัทมะ ได้กระทำกับผู้นำกัมพูชาว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และเป็นการทำให้ประเทศไทยเสียดินแดน
แต่มาวันนี้ท่าทีของรัฐบาลภายใต้การนำของ ปชป.ได้เปลี่ยนไปในทำนองเห็นด้วยกับการที่เขมรจะยื่นขอเป็นมรดกโลกต่อยูเนสโก จะเห็นได้จากการที่รองนายกรัฐมนตรี สุเทพ เทือกสุบรรณไปเจรจากับเขมร และการยอมรับให้มีการพัฒนาพื้นที่รอบๆ ปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นการยอมรับให้การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของเขมรเป็นไปด้วยความถูกต้อง แทนที่จะคัดค้านการยื่นขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของเขมรแต่ฝ่ายเดียว แล้วเริ่มต้นใหม่ด้วยการขอขึ้นทะเบียนร่วมกับไทยเหมือนกับที่รัฐบาลไทยในอดีตเคยยื่นมาตลอด นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวเท่านั้นที่ผู้นำรัฐบาลได้แสดงท่าทีเปลี่ยนไป
ถ้าดูให้ละเอียดถึงการยอมให้พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยมีบทบาทในการเสนอโครงการ และเป็นผู้นำในการเลือกตั้งในภาคอีสาน 2 ครั้งที่ผ่านมาด้วย แล้วก็เท่ากับการยอมรับบทบาทของกลุ่มเพื่อนเนวินว่ามีส่วนสำคัญในการดำรงอยู่ของรัฐบาล ถ้าเป็นเช่นนี้จะแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากคำว่า รักคนชั่ว กลัวคนเลว เพื่อความอยู่รอดทางการเมืองของตนเอง และพรรค