xs
xsm
sm
md
lg

“อภิสิทธิ์”รุกอีสาน หมากบังคับต้องพึ่ง“เนวิน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ในทางการเมืองบางครั้งจะได้ทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้ มีได้ก็ย่อมมีเสีย หรือบางครั้งเพื่อเป้าหมายในภาพรวมข้างหน้าที่ใหญ่กว่าก็ต้องยอมกลืนเลือด จำเป็นต้องแสดงท่าทีบางอย่างออกมา

นี่คือการเมืองและยิ่งเป็นการเมือง “น้ำเน่า” แบบเก่ามันก็อาจต้อง “ผะอืดผะอม”แบบนี้แหละเป็นเรื่องปกติธรรมดา

นาทีนี้ถ้าจะมองเข้าไปในใจของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คงจะมีความลำบากใจไม่น้อย ไหนจะต้องรักษาอำนาจ ไหนจะต้องรักษาน้ำใจเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งจะต้องชั่งน้ำหนักพิจารณาถึงความเหมาะสมให้ดีที่สุด

อย่างไรก็ดีเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์มากขึ้นก็ต้องพิจารณาถึงปัจจัยและองค์ประกอบรอบตัวเสียก่อน

หลายคนเริ่มวิเคราะห์ตรงกันว่า แม้ว่าถ้าพิจารณาอายุอานามของ อภิสิทธิ์ จะถือว่ายังอยู่ในรุ่นหนุ่ม อายุเพียงแค่ 44 ปี แต่ในทางการเมืองถือว่าไม่น้อยเพราะหากพิจารณามาตั้งแต่เริ่มเข้า “วงการ” มาถึงวันนี้ก็เกือบ20 ปีแล้ว และเมื่อก้าวเดินมาถึงจุดสูงสุดได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา

และที่สำคัญการก้าวสู่สนามการเมืองของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นการตั้งใจลงมาและเตรียมความพร้อมอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

วกมาที่สถานการณ์ปัจจุบันที่พัดพาพลิกผันให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อได้นั่งเก้าอี้ตามที่ตัวเองใฝ่ฝันได้แล้ว ไม่ว่าใครก็ตามก็ต้องรักษาสถานภาพแบบนี้ให้นานที่สุด

หากจะว่าไปแล้วการนั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของเขามาจนถึงวันนี้ได้ก็ถือว่าผ่านสถานการณ์ฉุกเฉิน ผ่านความเป็นความตายแล้วหลายครั้ง โดยเฉพาะในเหตุการณ์สงกรานต์เลือดที่ฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร จงใจก่อขึ้นมาเพื่อโค่นล้มให้ได้

แต่เมื่อผ่านมาได้นานกว่า 6 เดือนก็ถือว่าผ่านการเคี่ยวกรำ และที่ผ่านมาก็ได้พิสูจน์แล้วว่าในบางสถานการณ์เขา “นิ่ง” ได้พอสมควร และหากพิจารณาตามความเป็นจริงก็ถือว่าเวลานี้เป็นเวลาที่ได้ตั้งสติหายใจหายคอมากขึ้น

และนี่อาจเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เริ่มกระชับอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง เริ่มเข้ามาสั่งการโดยตรงในการโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ ที่เห็นล่าสุดก็คือการเด้ง พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา ตท.10 “เพื่อนแม้ว” พ้นจากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติอย่างสายฟ้าแลบ

ซึ่งเป็นการมองว่าเตรียมการรับมือและแก้ปัญหาช่องโหว่ด้านการข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มก่อหวอดเตรียมป่วนรัฐบาลอีกรอบในเร็ววันนี้

นั่นเป็นเรื่องของการบริหารในเชิงอำนาจที่ตัวเองยังมีอำนาจสั่งการในฐานะนายกรัฐมนตรีได้อย่างเต็มเปี่ยม

แต่ขณะเดียวกันในทางการเมืองก็ต้องยอมรับว่ายังเป็นจุดอ่อน และด้วยการที่เป็นรัฐบาลผสมเสียงปริ่มน้ำทำให้การบริหารงานในรัฐบาลบางครั้งเกิดความติดขัด เต็มไปด้วยเกมต่อรองผลประโยชน์

และหลายครั้งต้องยอมตกเป็นเบี้ยล่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมองถึงอนาคตในวันข้างหน้า เพื่อรักษาอำนาจไว้ในมือให้นานที่สุดก็ต้องกล้ำกลืนฝืนทน อย่างไรก็ตามบางครั้ง “เวลา” ก็สามารถสร้างจุดสมดุลได้ด้วยตัวของมันเอง

เพื่อให้เห็นภาพชัดและเข้าใจง่ายขึ้นก็คือส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมที่จังหวัดสกลนคร และศรีสะเกษของพรรคร่วมรัฐบาล ผลดีกลับกลายเป็นว่าทำให้ลดแรงกดดันภายในรัฐบาลได้ไม่น้อย

หากพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือได้ลดความ “ฮึกเหิม” จากกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ในพรรคภูมิในไทย ที่หลังจากพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมดังกล่าวอย่างหมดรูปทำให้ต้องมาประเมินสถานการณ์ตามความเป็นจริงอย่างรอบด้านอีกครั้ง

ขณะเดียวกันในมุมของ อภิสิทธิ์ นี่ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับการโชว์ภาวะผู้นำได้เต็มรูปแบบ เพราะในทางการเมือง การช่วงชิงมวลชนในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในภาคอีสานและภาคเหนือต้องยอมรับว่ายังเป็นจุดอ่อนสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งยังไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ในการปิดช่องโหว่ตรงนี้ได้

แต่ในสถานการณ์เฉพาะหน้าทำให้ต้องพึ่งพาขอความช่วยเหลือจาก เนวิน ชิดชอบ และเครือข่ายมารองรับ อย่างไรก็ตามอย่างที่บอกในตอนต้นก็คือเวลานี้สถานการณ์ไปเปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่าภาพจะออกมาเป็นลักษณะของการถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่ถ้าสังเกตให้ดีถือว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เริ่มกลับมาถือแต้มอยู่เหนือกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ

เท่าที่ทราบ “วงใน” ระบุว่าได้มีการเบรกโครงการฉาวของเพื่อนเนวิน โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน ตามยุทธศาสตร์ "รวมกันเราอยู่ แต่กันตายแน่”

เมื่อทุกอย่างเหมาะสมก็ทำให้เดินหน้ารุกคืบแย่งชิงมวลชนจากฝ่ายทักษิณ ชินวัตร ทั้งในภาคอีสานและภาคเหนือ โดยเริ่มจากภาคอีสาน และประเดิมที่บุรีรัมย์ ถิ่นของเนวิน ชิดชอบ เป็นแห่งแรก

หลายคนอาจตั้งคำถามว่าทำไมต้องเลือกพื้นที่ดังกล่าว ทำไมไม่เลือกที่อื่น เช่น อุบลราชธานี ซึ่งมี ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในพื้นที่ และยังมี “ลูกหม้อ” ดั้งเดิมอย่าง สุทัศน์ เงินหมื่น เฝ้าประจำอยู่ และความเป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันถือว่าไม่ธรรมดา เวลานี้ก็ยังเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค เคยเป็นขุนพลอีสาน ทำเหมือน “ตบหน้า”ไม่ให้ความสำคัญ ไม่เรียกใช้บริการ

ทำไมต้องไปพึ่งบารมีเนวิน !!

เป็นคำถามที่ตอบง่าย แต่ถ้าให้ตอบแบบรักษาน้ำใจกลับตอบยาก อย่างไรก็ดีหากพิจารณาตามความเป็นจริงและตรงไปตรงมา ก็จะพบว่าที่ผ่านมานานหลายสิบปีที่ สุทัศน์ เป็นหัวหน้าขุนพลในพื้นที่อีสานใต้ที่มี วิฑูรย์ นามบุตร และอิสระ สมชัย ร่วมทีมไม่สามารถสร้างความเติบโตขยายเครือข่ายได้อย่างเป็นกอบเป็นกรรม แม้ว่าหากมองด้วยความเป็นธรรมย่อมมีปัจจัยแทรกซ้อนอื่นๆเข้ามาทำให้ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายก็ตาม

แต่ก็ปฏิเสธความจริงไม่ได้

ขณะเดียวกันในภาวะเร่งด่วน ในสถานการณ์สู้รบแบบนี้ถ้าให้เดาใจระดับนายกฯ อภิสิทธิ์ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะผู้จัดการรัฐบาลคงต้องการ “รวบรัดตัดความ” ย่นระยะเวลาให้เร็วที่สุด และเพื่อความชัวร์ก็ต้องใช้บริการพื้นที่ของเนวิน เพื่อไม่ให้เสียภาพผู้นำ ซึ่งที่บุรีรัมย์น่าจะมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ตรงกันข้ามหากเลือกเอาพื้นที่อุบลราชธานีถิ่นของ สุทัศน์ เงินหมื่น คงประเมินแล้วว่าเสี่ยงสูง เพราะยังมีความเคลื่อนไหวของพวก “สีแดง” อยู่เต็มพรึบ ได้ไม่คุ้มเสีย

แม้ว่านาทีนี้มีการประเมินกันว่าการให้ความสำคัญกับ เนวิน มากกว่าคนในพรรคประชาธิปัตย์ของตัวเองอาจจะสร้างแรงกระเพื่อมภายในขึ้นมาอีก เพราะล่าสุดมีการประกาศกร้าวจาก สุทัศน์ว่าถ้า “ไม่เห็นหัว” ก็จะลาออกและวางมือเป็นการประชดไปเลยก็ตาม แต่เชื่อว่า “อภิสิทธิ์-สุเทพ” จะต้องเดินหน้าตามแผนเดิม เพื่อสู่เป้าหมายใหญ่กว่าในอนาคต แม้ว่าจะต้องหมางใจกันภายในกันบ้างก็ต้องยอม คงหาทางเคลียร์กันได้

เพราะแม้ว่าในภาคอีสาน เนวิน ยังมีบารมีสู้ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ แต่หลายพื้นที่ก็ถือว่าอยู่ในกำมือ ดังนั้นเพื่อต้องการรักษาภาพผู้นำในระยะยาวก็ต้องพึ่งบริการของชายคนนี้เท่านั้น !!
กำลังโหลดความคิดเห็น