ASTVผู้จัดการรายวัน – แอปโซลูท ฯ จับมืออิสราเอล เปิดสื่อใหม่ Play @! หวังสร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าและโฆษณาสร้างรายได้เพิ่มในอนาคตเตรียมงบเกือบ 30 ล้านบาทรุกสื่อทีวีดาวเทียมไตรมาส 3 นี้ เผยเริ่มเจรจากับลูกค้าให้เป็นสปอนเซอร์ ฟุ้งอีก 3 ปีข้างหน้าสร้างรายได้แตะ 500 ล้านบาท หรือขยายตัวปีละ 30% เผยสรุปผลพันธมิตรร่วมทุนได้สิ้นปีนี้
นายปริน ชนันทรานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอปโซลูท อิมเพ็ค จำกัด (มหาชน) หรือ AIM เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทได้นำสื่อ In-store Media ในรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ "Play @!" จากบริษัท Eye Click ประเทศอิสราเอล เข้ามาเปิดตลาดในไทยอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นสื่อแบบอินเทอร์แอคทีฟ ด้วยจอแบบทัชสกรีนที่สามารถตอบโต้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้า และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่โฆษณาผ่านสื่อดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าสื่อดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่ารายได้จะขายตัวไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำรายได้ 220.33 ล้านบาท โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก และถึงแม้สภาพเศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัวและปัจจัยทางการเมืองยังไม่นิ่ง แต่เชื่อว่าธุรกิจของบริษัทยังคงเป็นที่ต้องการเนื่องจากเน้นจับกลุ่มลูกค้าประเภทอุปโภคบริโภค (Consumer Product) ที่ยังคงมีกำลังซื้อและจำเป็นต้องใช้สื่อประเภทดิจิตอลในการโฆษณาและเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีราคาต่ำกว่าสื่ออื่น โดยตั้งเป้าว่าอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะสามารถผลักดันรายได้ให้ขยายตัวปีละ 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนในการเปิดสื่อใหม่ดังกล่าวประมาณ 10 ล้านบาท คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทนได้ภายใน 1-2 ปี โดยจะเปิดตลาดในประเทศไทยเน้นการจัดจำหน่ายแบบแพคเกจให้กับสินค้าในกลุ่ม In-store Media ที่มีอยู่เดิมในลักษณะการขายจอเพื่อติดตั้งในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และยังจะเข้าสู่กลุ่มลูกค้าที่จัดงานอีเว้นท์ต่างๆ
นอกจากนี้ไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจสื่อทีวีดาวเทียม โดยใช้เงินลงทุนไม่เกิน 20-30 ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มเจรจากับลูกค้าบางรายให้เป็นสปอนเซอร์ ทั้งนี้มองว่าเป็นสื่อที่มีศักยภาพและในอนาคตคาดว่าจะสามารถเติบโตในทิศทางที่ดี และช่วยผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งตั้งเป้าปี 54 รายได้แตะระดับ 500 ล้านบาท
สำหรับการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจนั้นได้ดำเนินการมาตลอดเวลา ขณะนี้มีพันธมิตรที่เข้ามาเจรจาใหม่เพิ่มอีก 5 ราย ทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าจะสรุปผลได้สิ้นปีนี้
" จริงแล้วการคุยกันของพันธมิตรนั้น มันมีเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติ และธุรกิจเราก็มีความน่าสนใจอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่ามี 5 รายนั้น ก็มีทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเราต้องมองว่าจะมาช่วยต่อยอดธุรกิจเราได้หรือไม่ หนุนธุรกิจเราหรือไม่ เพื่อที่จะให้เราโตแบบก้าวกระโดด แต่ผมยืนยันว่าต้องจบสิ้นปีนี้แน่ " นายปรินกล่าว
อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( ตลท.) เห็นว่าข่าวเกี่ยวกับพันธมิตรทางธุรกิจถือเป็นสารสนเทศที่มีความสำคัญ ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ การตัดสินใจลงทุน และสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น รวมทั้งอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ของบริษัทจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง ซึ่งหากยังไม่มีข้อสรุป บริษัทควรเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวไว้เป็นความลับ โดยที่ผ่านมาปรากฏบทให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารต่อกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นว่าราคาและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของ AIMได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ตลท. จึงขอให้บริษัทควรเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวไว้จนกว่าจะมีข้อสรุปแน่นอนชัดเจน หรือจนกว่าคณะกรรมการบริษัทจะมีมติเห็นชอบในเรื่องดังกล่าว และควรเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางการเปิดเผยสารสนเทศอย่างเป็นทางการของตลท. ก่อนเปิดเผยผ่านช่องทางอื่น ตามที่ตลท.ได้กำหนดแนวทางดังกล่าวไว้ในข้อกำหนดของตลท. เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของการรับข้อมูล โดยนักลงทุนควรติดตามข่าวสารของ AIM อย่างเป็นทางการผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน
นายปริน ชนันทรานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอปโซลูท อิมเพ็ค จำกัด (มหาชน) หรือ AIM เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทได้นำสื่อ In-store Media ในรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ "Play @!" จากบริษัท Eye Click ประเทศอิสราเอล เข้ามาเปิดตลาดในไทยอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเป็นสื่อแบบอินเทอร์แอคทีฟ ด้วยจอแบบทัชสกรีนที่สามารถตอบโต้กับผู้บริโภคได้ ซึ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากลูกค้า และเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่โฆษณาผ่านสื่อดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัด คาดว่าสื่อดังกล่าวจะสร้างรายได้ให้กับบริษัทเพิ่มขึ้นในอนาคต
สำหรับปีนี้บริษัทคาดว่ารายได้จะขายตัวไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ทำรายได้ 220.33 ล้านบาท โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังจะเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ และมีงานเข้ามาอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรก และถึงแม้สภาพเศรษฐกิจจะยังคงชะลอตัวและปัจจัยทางการเมืองยังไม่นิ่ง แต่เชื่อว่าธุรกิจของบริษัทยังคงเป็นที่ต้องการเนื่องจากเน้นจับกลุ่มลูกค้าประเภทอุปโภคบริโภค (Consumer Product) ที่ยังคงมีกำลังซื้อและจำเป็นต้องใช้สื่อประเภทดิจิตอลในการโฆษณาและเข้าถึงลูกค้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีราคาต่ำกว่าสื่ออื่น โดยตั้งเป้าว่าอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะสามารถผลักดันรายได้ให้ขยายตัวปีละ 30% ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้เงินลงทุนในการเปิดสื่อใหม่ดังกล่าวประมาณ 10 ล้านบาท คาดว่าจะถึงจุดคุ้มทนได้ภายใน 1-2 ปี โดยจะเปิดตลาดในประเทศไทยเน้นการจัดจำหน่ายแบบแพคเกจให้กับสินค้าในกลุ่ม In-store Media ที่มีอยู่เดิมในลักษณะการขายจอเพื่อติดตั้งในศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย และยังจะเข้าสู่กลุ่มลูกค้าที่จัดงานอีเว้นท์ต่างๆ
นอกจากนี้ไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปลงทุนในธุรกิจสื่อทีวีดาวเทียม โดยใช้เงินลงทุนไม่เกิน 20-30 ล้านบาท ขณะนี้ได้เริ่มเจรจากับลูกค้าบางรายให้เป็นสปอนเซอร์ ทั้งนี้มองว่าเป็นสื่อที่มีศักยภาพและในอนาคตคาดว่าจะสามารถเติบโตในทิศทางที่ดี และช่วยผลักดันให้ผลประกอบการเติบโตได้ตามเป้าที่ตั้งไว้ ซึ่งตั้งเป้าปี 54 รายได้แตะระดับ 500 ล้านบาท
สำหรับการเจรจากับพันธมิตรทางธุรกิจนั้นได้ดำเนินการมาตลอดเวลา ขณะนี้มีพันธมิตรที่เข้ามาเจรจาใหม่เพิ่มอีก 5 ราย ทั้งในและต่างประเทศ คาดว่าจะสรุปผลได้สิ้นปีนี้
" จริงแล้วการคุยกันของพันธมิตรนั้น มันมีเข้ามาอยู่เรื่อย ๆ อยู่แล้ว ถือว่ามันเป็นเรื่องปกติ และธุรกิจเราก็มีความน่าสนใจอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่ามี 5 รายนั้น ก็มีทั้งในและนอกประเทศ ซึ่งเราต้องมองว่าจะมาช่วยต่อยอดธุรกิจเราได้หรือไม่ หนุนธุรกิจเราหรือไม่ เพื่อที่จะให้เราโตแบบก้าวกระโดด แต่ผมยืนยันว่าต้องจบสิ้นปีนี้แน่ " นายปรินกล่าว
อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ( ตลท.) เห็นว่าข่าวเกี่ยวกับพันธมิตรทางธุรกิจถือเป็นสารสนเทศที่มีความสำคัญ ซึ่งมีผลกระทบต่อราคาหลักทรัพย์ การตัดสินใจลงทุน และสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น รวมทั้งอาจทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าหลักทรัพย์ของบริษัทจะมีราคาสูงขึ้นหรือลดลง ซึ่งหากยังไม่มีข้อสรุป บริษัทควรเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวไว้เป็นความลับ โดยที่ผ่านมาปรากฏบทให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารต่อกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นว่าราคาและปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ของ AIMได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ตลท. จึงขอให้บริษัทควรเก็บรักษาข้อมูลดังกล่าวไว้จนกว่าจะมีข้อสรุปแน่นอนชัดเจน หรือจนกว่าคณะกรรมการบริษัทจะมีมติเห็นชอบในเรื่องดังกล่าว และควรเผยแพร่ข้อมูลผ่านช่องทางการเปิดเผยสารสนเทศอย่างเป็นทางการของตลท. ก่อนเปิดเผยผ่านช่องทางอื่น ตามที่ตลท.ได้กำหนดแนวทางดังกล่าวไว้ในข้อกำหนดของตลท. เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกันของการรับข้อมูล โดยนักลงทุนควรติดตามข่าวสารของ AIM อย่างเป็นทางการผ่านระบบของตลาดหลักทรัพย์ เพื่อประกอบการพิจารณาตัดสินใจลงทุน
