หลังจากผ่านสถานการณ์ฉุกเฉิน บนความเป็นความตายในช่วงสงกรานต์เลือด ที่ฝ่าย “ทักษิณ-เสื้อแดง” จงใจก่อจลาจลเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ทำให้นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีความแข็งแกร่ง และนิ่งมากขึ้นกว่าเดิม
และที่สำคัญสามารถรับรู้ด้วยตัวเองว่าใครจริง ใครของปลอม และใครขี้โม้ “ท่าดีทีเหลว”
เมื่อผ่านมาได้ก็ย่อมทำให้มีเวลาตั้งตัว อ่านเกมเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ใหม่ที่กำลังเริ่มก่อตัวตั้งเค้าขึ้นมาอีกรอบ
คราวนี้ก็น่าเชื่อว่า “น่ากลัว” ไม่แพ้คราวก่อนแน่นอน เพราะฝ่ายตรงข้ามเคยแก้ผ้าล่อนจ้อนกลางตลาดมาแล้ว คราวนี้จึงไม่มีอะไรจะเสียหรือต้องเก็บงำประกายเอาไว้อีกต่อไป และบังเอิญว่ามีข่าวเรื่องแผน “ทักษิณ2” ที่มีความ ดิบ-ถ่อย-เถื่อน ขึ้นมาสอดรับกันพอดี แม้ว่าจะมีเสียงปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขันก็ตาม
เมื่อเห็นความยุ่งยากดักรออยู่ข้างหน้าอีกไม่นานนัก ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งยังมีอำนาจรัฐอยู่ในมืออย่างเต็มเปี่ยม คงไม่มีใครงอมืองอเท้ารอรับชะตากรรมหรอก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เริ่มเห็นปฏิบัติการเชิงรุกที่บัญชาการโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงที่เริ่มดึงกลับมามากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดที่เห็นเป็นเนื้อเป็นหนังก็คือกรณีสั่งปลด พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา พ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช.
รายการนี้ถือว่าน่าสนใจตรงที่นายกฯอภิสิทธิ์ ลงมือเอง เนื่องจากเป็นตำแหน่งด้านความมั่นคงที่สำคัญยิ่ง ส่งผลกระทบไปถึงอนาคตของตัวเอง
ที่ผ่านมาเลขาธิการสภาความมั่นคงจะต้องเป็นคนที่ “ฝ่ายอำนาจ” ไว้ใจได้ และมักแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งกรณีของ พล.ท.สุรพล ก็มี “แบ็กกราวด์” มาจากรองผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ถูกดึงข้ามห้วยมานั่งเก้าอี้สำคัญในสมัยรัฐบาลนอมินี สมัคร สุนทรเวช
แม้ว่าพยายามอยู่เงียบๆสงบเสงี่ยมในรัฐบาล อภิสิทธิ์ ได้นานถึงกว่า 6 เดือน แต่ก็ไปไม่รอด เป็นเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ประเภทสายตรงรายท้ายๆที่ยังเหลืออยู่
แต่เพื่อความเหมาะสมและเพื่อความมั่นคงก็จำเป็นต้องยอมรับความจริง เพราะที่ผ่านมาจากเหตุการณ์จลาจลของคนเสื้อแดงจนทำให้วงประชุมอาเซียนต้องล่ม และต่อเนื่องมาจนถึงวันสงกรานต์ รวมไปถึงการเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าไม่ว่ามองในมุมไหนก็ยังไม่เคยปรากฎหลักฐานชัดเจนว่า พล.ท.สุรพลมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีความผิดพลาด
แต่อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นก็คือ ในเมื่อ “ไม่ใช่คนกันเอง” ก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับประกันความชัวร์ให้มากที่สุด
ขณะเดียวกันยังได้ไฟเขียวให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างเข้มงวดในช่วงการประชุมอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้ และเริ่มทดลองใช้นำร่องไปก่อนในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในกลางเดือนนี้ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่สร้างความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่นที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นต้น
นอกจากนี้ในด้านมวลชนหากสังเกตให้ดีก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเพื่อเกม แก้ไขจุดอ่อนทีละน้อย ที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีเชิญชวน วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นพิธีกรในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต้องได้รับการปฏิเสธแน่นอน
แต่อย่างน้อยได้สร้างภาพให้สังคมได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลเปิดกว้าง ยอมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายแม้กระทั่งฝ่ายตรงข้ามที่เคยเล่นแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ยังยอมพูดคุย แต่เมื่อปฏิเสธก็ทำให้ถูกมองว่าคนเสื้อแดงดีแต่ยืนด่าอยู่ข้างถนน ไม่กล้าเผชิญหน้า ภาพย่อมเกิดเป็นลบ
ขณะเดียวกันยังมีกำหนดการจะลงพื้นที่ในต่างจังหวัดเพื่อรุกเข้ามวลชนในกลางเดือนนี้ โดยเริ่มในภาคอีสานและภาคเหนือเป็นลำดับถัดไป ซึ่งก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบางแห่งเป็นพื้นที่ “สีแดง” อยู่ในความครอบครองของพรรคเพื่อไทย
นอกเหนือจากนี้หากพิจารณาจากบรรยากาศในพรรคร่วมรัฐบาลก็เริ่มกลับเข้ามาสู่จุดสมดุลได้อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าอาจจะเป็นช่วงสั้นๆก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมทั้งที่สกลนครและศรีสะเกษ ทำให้ลดแรงกดดันลงไปได้มาก อย่างน้อยก็ทำให้พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาจำเป็นต้องสงบนิ่งได้อีกพักหนึ่ง
ล่าสุดเมื่อบ่ายวานนี้(1 ก.ค.) ก็ได้มีการหารือกันระหว่างแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย คือ เนวิน ชิดชอบ และ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยกับนายกรัฐมนตรี นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อวางยุทธศาสตร์ในภาคอีสาน ซึ่งก็สอดคล้องกับมติของวิปรัฐบาลที่คลอดแผน “รวมกันเราอยู่ กู้เศรษฐกิจฯ” ออกมาพอดี
เมื่อประมวลภาพออกมาตั้งแต่ต้นก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มกระชับอำนาจ เปิดเกมรุกเอาคืนฝ่ายเสื้อแดงบ้าง โดยร่วมมือกับ “เพื่อนเนวิน” ที่ลดพยศลงมาหลังจากพ่ายศึกเลือกตั้งซ่อม
และนี่อาจพบสัจธรรมแล้วว่า “รวมกันเราอยู่ แยกกันตายแน่” !!
และที่สำคัญสามารถรับรู้ด้วยตัวเองว่าใครจริง ใครของปลอม และใครขี้โม้ “ท่าดีทีเหลว”
เมื่อผ่านมาได้ก็ย่อมทำให้มีเวลาตั้งตัว อ่านเกมเพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ใหม่ที่กำลังเริ่มก่อตัวตั้งเค้าขึ้นมาอีกรอบ
คราวนี้ก็น่าเชื่อว่า “น่ากลัว” ไม่แพ้คราวก่อนแน่นอน เพราะฝ่ายตรงข้ามเคยแก้ผ้าล่อนจ้อนกลางตลาดมาแล้ว คราวนี้จึงไม่มีอะไรจะเสียหรือต้องเก็บงำประกายเอาไว้อีกต่อไป และบังเอิญว่ามีข่าวเรื่องแผน “ทักษิณ2” ที่มีความ ดิบ-ถ่อย-เถื่อน ขึ้นมาสอดรับกันพอดี แม้ว่าจะมีเสียงปฏิเสธออกมาอย่างแข็งขันก็ตาม
เมื่อเห็นความยุ่งยากดักรออยู่ข้างหน้าอีกไม่นานนัก ก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเตรียมการรับมือเอาไว้ให้พร้อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีกทั้งยังมีอำนาจรัฐอยู่ในมืออย่างเต็มเปี่ยม คงไม่มีใครงอมืองอเท้ารอรับชะตากรรมหรอก
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เริ่มเห็นปฏิบัติการเชิงรุกที่บัญชาการโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะในด้านความมั่นคงที่เริ่มดึงกลับมามากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุดที่เห็นเป็นเนื้อเป็นหนังก็คือกรณีสั่งปลด พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา พ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือ สมช.
รายการนี้ถือว่าน่าสนใจตรงที่นายกฯอภิสิทธิ์ ลงมือเอง เนื่องจากเป็นตำแหน่งด้านความมั่นคงที่สำคัญยิ่ง ส่งผลกระทบไปถึงอนาคตของตัวเอง
ที่ผ่านมาเลขาธิการสภาความมั่นคงจะต้องเป็นคนที่ “ฝ่ายอำนาจ” ไว้ใจได้ และมักแต่งตั้งคนของตัวเองเข้ามารับตำแหน่ง ซึ่งกรณีของ พล.ท.สุรพล ก็มี “แบ็กกราวด์” มาจากรองผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) เป็นเตรียมทหารรุ่น 10 ถูกดึงข้ามห้วยมานั่งเก้าอี้สำคัญในสมัยรัฐบาลนอมินี สมัคร สุนทรเวช
แม้ว่าพยายามอยู่เงียบๆสงบเสงี่ยมในรัฐบาล อภิสิทธิ์ ได้นานถึงกว่า 6 เดือน แต่ก็ไปไม่รอด เป็นเครือข่าย “ระบอบทักษิณ” ประเภทสายตรงรายท้ายๆที่ยังเหลืออยู่
แต่เพื่อความเหมาะสมและเพื่อความมั่นคงก็จำเป็นต้องยอมรับความจริง เพราะที่ผ่านมาจากเหตุการณ์จลาจลของคนเสื้อแดงจนทำให้วงประชุมอาเซียนต้องล่ม และต่อเนื่องมาจนถึงวันสงกรานต์ รวมไปถึงการเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้ว่าไม่ว่ามองในมุมไหนก็ยังไม่เคยปรากฎหลักฐานชัดเจนว่า พล.ท.สุรพลมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีความผิดพลาด
แต่อย่างที่บอกเอาไว้ตั้งแต่ต้นก็คือ ในเมื่อ “ไม่ใช่คนกันเอง” ก็จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง เพื่อรับประกันความชัวร์ให้มากที่สุด
ขณะเดียวกันยังได้ไฟเขียวให้ประกาศใช้กฎหมายความมั่นคงอย่างเข้มงวดในช่วงการประชุมอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้ และเริ่มทดลองใช้นำร่องไปก่อนในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนในกลางเดือนนี้ พร้อมทั้งเปิดพื้นที่สร้างความปลอดภัยในพื้นที่สำคัญ เช่นที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นต้น
นอกจากนี้ในด้านมวลชนหากสังเกตให้ดีก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงเพื่อเกม แก้ไขจุดอ่อนทีละน้อย ที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีเชิญชวน วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำคนเสื้อแดงมาเป็นพิธีกรในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ แม้ว่าจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าต้องได้รับการปฏิเสธแน่นอน
แต่อย่างน้อยได้สร้างภาพให้สังคมได้เห็นแล้วว่ารัฐบาลเปิดกว้าง ยอมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายแม้กระทั่งฝ่ายตรงข้ามที่เคยเล่นแรงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดก็ยังยอมพูดคุย แต่เมื่อปฏิเสธก็ทำให้ถูกมองว่าคนเสื้อแดงดีแต่ยืนด่าอยู่ข้างถนน ไม่กล้าเผชิญหน้า ภาพย่อมเกิดเป็นลบ
ขณะเดียวกันยังมีกำหนดการจะลงพื้นที่ในต่างจังหวัดเพื่อรุกเข้ามวลชนในกลางเดือนนี้ โดยเริ่มในภาคอีสานและภาคเหนือเป็นลำดับถัดไป ซึ่งก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าบางแห่งเป็นพื้นที่ “สีแดง” อยู่ในความครอบครองของพรรคเพื่อไทย
นอกเหนือจากนี้หากพิจารณาจากบรรยากาศในพรรคร่วมรัฐบาลก็เริ่มกลับเข้ามาสู่จุดสมดุลได้อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าอาจจะเป็นช่วงสั้นๆก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมทั้งที่สกลนครและศรีสะเกษ ทำให้ลดแรงกดดันลงไปได้มาก อย่างน้อยก็ทำให้พรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาจำเป็นต้องสงบนิ่งได้อีกพักหนึ่ง
ล่าสุดเมื่อบ่ายวานนี้(1 ก.ค.) ก็ได้มีการหารือกันระหว่างแกนนำในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย คือ เนวิน ชิดชอบ และ บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทยกับนายกรัฐมนตรี นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ และ สุเทพ เทือกสุบรรณ เพื่อวางยุทธศาสตร์ในภาคอีสาน ซึ่งก็สอดคล้องกับมติของวิปรัฐบาลที่คลอดแผน “รวมกันเราอยู่ กู้เศรษฐกิจฯ” ออกมาพอดี
เมื่อประมวลภาพออกมาตั้งแต่ต้นก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เริ่มกระชับอำนาจ เปิดเกมรุกเอาคืนฝ่ายเสื้อแดงบ้าง โดยร่วมมือกับ “เพื่อนเนวิน” ที่ลดพยศลงมาหลังจากพ่ายศึกเลือกตั้งซ่อม
และนี่อาจพบสัจธรรมแล้วว่า “รวมกันเราอยู่ แยกกันตายแน่” !!