ผมขอทำนายว่าสุญญากาศเกิดขึ้นเต็มรูปเมื่อใด เมื่อนั้นทักษิณจะถึงฆาต
ถามว่าสุญญากาศจะเกิดขึ้นได้จริงๆตอบว่าสุญญากาศกำลังทยอยเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ และอาจจะเต็มรูปก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคม
ทำไมจึงจะเกิดสุญญากาศ สุญญากาศเกิดจากการกระทำ และการงดเว้นการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็มิได้สังกัดพรรคการเมือง แต่เป็นกลไกของอำนาจในระบบราชการและองค์กรอิสระ ติดกรอบความคิดเก่า ทั้งที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลระบอบทักษิณ กลุ่มอำนาจเก่าแปลงสภาพที่เข้าร่วมรัฐบาล จึงกระทำหรืองดเว้นกระทำจนเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย
แต่สุญญากาศในความหมายดั้งเดิมที่ผมเคยเขียน อันจะเปิดโอกาสให้พระเจ้าอยู่หัวและรัฐบุรุษการเมืองลงมา “ช่วย” ประเทศไทย เป็นคนละอย่างกับสุญญากาศที่ทักษิณและขบวนการสุนัขเสื้อแดงต้องการ นั่นก็คือ การปั่นป่วนทำลายกระบวนการการเมืองทุกอย่างทุกระดับ ให้ระบอบปัจจุบันและอำนาจปกครองรัฐบาลอภิสิทธิ์ล่มสลายลง เกิดสงครามกลางเมืองที่คนไทยจะฆ่ากันเลือดนองแผ่นดิน
จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของระบอบทักษิณ อาจจะเป็นอย่างที่หลวงตาบัว และสุเทพ เทือกสุบรรณว่า นั่นก็คือ สนองตัณหาทักษิณเปลี่ยนระบบการปกครอง ศาลเพิ่งยกฟ้องสุเทพเรื่องนี้ ว่ามิได้ใส่ร้ายเรื่องทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดี
ถ้าอย่างนั้น ก่อนจะเกิดสุญญากาศและสงครามการเมืองอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะอยู่ ใครจะไป
ผมไม่แปลกใจที่ทักษิณอาจจะถึงฆาต หนึ่งในสองกรณี คือ (1) เพราะโรคตามที่แพทย์คณะหนึ่งได้ติดตามวินิจฉัย (2) ถูกสังหารไม่ว่าในหรือนอกประเทศโดยคนไทยหรือรัฐบาลไทยหรือกองทัพไทยที่ทนไม่ได้ จ่ายค่าหัวและวางกับดักให้ทักษิณพบจุดจบ
นายกรัฐมนตรีมีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างใด ขอให้ท่านผู้อ่านวิเคราะห์คำสัมภาษณ์ของอภิสิทธิ์ให้ดีๆ
แต่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านศึกษาทัศนะของอภิสิทธิ์ พิมพ์ในวันที่ 7 มกราคม 2550 ในยุครัฐบาลลากตั้งของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
เดี๋ยวนี้ เงื่อนไขบางอย่างก็ยังคงอยู่ ซ้ำเด่นชัดขึ้น ไม่แตกต่างหรือเปลี่ยนไปตามเงื่อนเวลา
นั่นก็คือ การดำรงความมุ่งหมาย และการกระทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงขื่อแปของบ้านเมืองและจริยธรรมใดๆ ของทักษิณและบริวาร โดยอ้างว่าทักษิณจำต้องกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยของบ้านเมือง
ทักษิณอ้อนอีสานว่า สกลนครนำตนเข้าพรมแดนมาแล้ว ขอให้ศรีสะเกษอุ้มตนเข้าประเทศด้วยเถิด (อย่าปล่อยให้ตายในต่างแดนเลย)
ทัศนะของอภิสิทธิ์เรื่องการแบ่งแยกประชาชน ผมเห็นว่าเป็นทัศนคติที่ยังทันสมัยเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดี เราสามารถผูกโยงเข้ากับสุญญากาศส่วนหนึ่งที่ทักษิณพยายามสร้าง
อภิสิทธิ์เกรงว่าหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้ง แตกแยก และความรุนแรงจนถึงขั้นใช้กำลัง อาวุธ เข้าห้ำหั่นกันในบ้านเมือง เพราะการแบ่งแยกประชาชน
“สงครามกลางเมือง” จะเกิดขึ้นได้ 2 ทาง
ทางหนึ่ง เกิดการต่อต้าน คมช.และรัฐบาล ซึ่งถ้ารัฐบาลและ คมช.หลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไข เช่น สืบทอดอำนาจ ก็จะไม่เกิดขึ้น
อีกทางหนึ่ง กลุ่มอำนาจเก่าจนตรอก จำนนต่อกระบวนการเอาผิดทางกฎหมาย จำต้องลุกขึ้นสู้นอกระบบ มองเห็นว่าไม่มีทางอื่นที่จะสู้ในที่สุด ก็อาจจะใช้ความรุนแรง ก่อกวน ก่อเหตุในบ้านเมืองได้
ปรากฏว่ารัฐบาลสุรยุทธ์ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทักษิณขี้ขลาดไม่กล้าสู้กับฝ่ายทหาร
การลุกฮือพร้อมๆ กันของฝ่ายทักษิณเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลผสมที่ส่วนสำคัญมาจากสมุนทรยศของทักษิณนั่นเอง
อภิสิทธิ์ทำนายถูกครึ่ง ผิดครึ่ง นั่นก็คือ อภิสิทธิ์ ประเมินว่า “สงครามกลางเมือง หากจะเกิด มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นโดยกลุ่มอำนาจเก่ามากกว่า” ซึ่งทำท่าจะจริงในยุครัฐบาลปัจจุบัน
ที่น่าเศร้าก็คือทักษิณเอาวาทกรรมของพันธมิตรฯ ที่ขับไล่ทักษิณมาทิ่มแทงอภิสิทธิ์และรัฐบาล เพิ่มน้ำเน่าและโคลนตมสันดานต่ำของตนเข้าไป วาทกรรมนั้นได้ผลทั้งในและนอกประเทศ เพราะเงินทักษิณ ความโง่ของฝรั่ง และฝีมืออ่อนของรัฐบาล แม้กระทั่งชีวิตนายกรัฐมนตรีก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้
อภิสิทธิ์อาจมีความตั้งใจสูงกว่าสุรยุทธ์ แต่การทวงคืนของทักษิณรุนแรงและใหญ่โตขึ้นกว่ายุคสุรยุทธ์หลายเท่า
ถามว่าวันนี้อภิสิทธิ์ทำอะไร ในเรื่องที่บ่นสุรยุทธ์ไว้หรืออภิสิทธิ์อยากเห็น ผมแถมในวงเล็บให้
(ที่ร้ายที่สุด คือ) “การแบ่งแยกประชาชน”
ทุกนาทีที่ผ่านไปในขณะนี้ โดยที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชน ไม่ทำให้เหตุผลและความจำเป็นของการทำรัฐประหารประจักษ์ชัด ไม่เกิดการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ก็จะเกิดผลในทางเพิ่มอันตราย ล่อแหลม (เช่นเดียวกับที่มาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ชอบธรรมยิ่งกว่าทักษิณ+สมัคร+สมชาย เสียอีกกลับไม่สามารถอธิบายให้ตกไปได้)
ประเมินจากความกระตือรือร้นในการทำงานเพื่อสะสางความไม่ถูกต้องของระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาล คมช. คตส. ป.ป.ช. หากไม่ยกระดับการทำงานจากที่เป็นมาในช่วง 3 เดือนแรก ถ้าอยู่ระดับเดิมก็เป็นเรื่องยาก และอันตราย
ผมมองว่า ภายในต้นปี 2550 ก็จะถึงจุดที่สายเกินไป อะไรที่จะจัดการคุณทักษิณก็จะถูกกลุ่มอำนาจเก่าปลุกปั่นให้ถูกมองเป็นเรื่องการกลั่นแกล้ง
ก่อน 19 กันยายน 2549 กลุ่มคนในสังคม 2 กลุ่ม คือ กลุ่มต่อต้านกับกลุ่มสนับสนุนทักษิณ อาจจะมีขนาดใกล้เคียงกัน
เมื่อเกิด 19 กันยายน 2549 กลุ่มต้านทักษิณหลุดออกไปส่วนหนึ่งแล้ว มีขนาดเล็กลง เพราะบางส่วนเขาปฏิเสธรัฐประหาร หลังจากนั้นมา กลุ่มต้านทักษิณเดิมก็แตกออกไปเรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรไม่พอใจรัฐบาลหรือ คมช. เช่น แต่งตั้งใครบางคนลงในบางตำแหน่ง คนกลุ่มนี้ก็หลุดออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่กลุ่มสนับสนุนทักษิณยังไม่หลุดออกจากกันเลย เพราะไม่มีกระบวนการอะไรไปบอกว่าไม่ควรเอาทักษิณแล้ว
ถ้ากลัวว่า ก่อน 19 กันยายน กลุ่มสนับสนุนทักษิณจะใหญ่กว่ากลุ่มต่อต้านทักษิณ ขณะนี้ ก็ใหญ่กว่าไปแล้วจริงๆ เพราะที่ผ่านมา กลุ่มทักษิณไม่ถูกทำให้แตกแยกเลย ยิ่งกว่านั้น กระบวนการตีแผ่ความจริงของระบอบทักษิณโดยกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังต้องหยุดชะงักไปด้วย
รัฐบาล และ คมช.จะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้
ทางเดียวที่จะสลายการแบ่งแยกประชาชน คือ จะต้องเร่งสะสางปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และอธิบายให้สังคมเห็นความกระจ่างชัดว่า บ้านเมืองเสียหายอย่างไรจากระบอบทักษิณ
ทุกกระทรวง ทบวง กรม จะต้องเน้นหนักในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องนโยบายประชานิยมอื่นๆ อย่าไปคิดทำแข่งกับเขา ถ้าทำอย่างนั้นก็จะเสียประชาชนส่วนที่ปฏิเสธประชานิยมอีก มันจึงไม่มีทางเลือกอื่น
ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องการสะสางภารกิจตามข้ออ้างของการรัฐประหารตกเป็นของ คตส. และ ป.ป.ช. ฝ่ายเดียว
ขณะนี้ ที่คนหงุดหงิดกันมาก คือ ไม่เห็นกระทรวง ทบวง กรม ขับเคลื่อนเรื่องนี้เลย เห็นมีแต่คุณสัก กอแสงเรือง อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ฯลฯ บางกรณีสอบสวนอยู่ ทางการกลับแสดงท่าทีปกป้องระบอบทักษิณ ไม่ให้การส่งเสริมสนับสนุน ร่วมมือในการสอบสวนและดำเนินเอาผิดต่อไป
เชื่อแน่ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป คงจะไม่ไหว (เดี๋ยวนี้ทุกอย่างซ้ำจะหนักขึ้นเสียอีก จนเขาโทษว่ามีอำนาจไม่รู้จักใช้ ปล่อยให้อดีตบริวารทักษิณชำเราประเทศชาติต่อ)
อย่าลืมว่า ประชาชนที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มๆ จะถูกปลุกปั่นได้โดยง่าย
และด้วยสถานการณ์แบบนี้เอง ที่จะถูกนำไปอ้างและใช้เป็นเครื่องมือในสงครามกลางเมือง”
(ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองจะโทษสุรยุทธ์ไม่ได้อีกแล้ว)
ผมเห็นปัจจัยสุญญากาศอยู่สิบอย่าง ฉบับนี้ยกตัวอย่างเพียงสอง คือ การเลือกซ่อมซังกาบ๊วยกับการออกหมายจับคดีลอบสังหารสนธิ
อย่างแรกจะแสดงความชอบธรรมเทียมของทักษิณ
และอย่างหลังความชอบธรรมไม่แท้ของรัฐบาล
รัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาทั้งสอง ซึ่งแบ่งแยกประชาชนกับประชาชน ประชาชนกับรัฐบาล ถึงทักษิณจะถึงฆาตก็ไม่ต้องสนใจ
ถามว่าสุญญากาศจะเกิดขึ้นได้จริงๆตอบว่าสุญญากาศกำลังทยอยเกิดขึ้นเป็นหย่อมๆ และอาจจะเต็มรูปก่อนสิ้นเดือนกรกฎาคม
ทำไมจึงจะเกิดสุญญากาศ สุญญากาศเกิดจากการกระทำ และการงดเว้นการกระทำของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการเมืองหลายกลุ่ม บางกลุ่มก็มิได้สังกัดพรรคการเมือง แต่เป็นกลไกของอำนาจในระบบราชการและองค์กรอิสระ ติดกรอบความคิดเก่า ทั้งที่ตกอยู่ใต้อิทธิพลระบอบทักษิณ กลุ่มอำนาจเก่าแปลงสภาพที่เข้าร่วมรัฐบาล จึงกระทำหรืองดเว้นกระทำจนเป็นอันตรายต่อประชาธิปไตย
แต่สุญญากาศในความหมายดั้งเดิมที่ผมเคยเขียน อันจะเปิดโอกาสให้พระเจ้าอยู่หัวและรัฐบุรุษการเมืองลงมา “ช่วย” ประเทศไทย เป็นคนละอย่างกับสุญญากาศที่ทักษิณและขบวนการสุนัขเสื้อแดงต้องการ นั่นก็คือ การปั่นป่วนทำลายกระบวนการการเมืองทุกอย่างทุกระดับ ให้ระบอบปัจจุบันและอำนาจปกครองรัฐบาลอภิสิทธิ์ล่มสลายลง เกิดสงครามกลางเมืองที่คนไทยจะฆ่ากันเลือดนองแผ่นดิน
จุดหมายปลายทางที่แท้จริงของระบอบทักษิณ อาจจะเป็นอย่างที่หลวงตาบัว และสุเทพ เทือกสุบรรณว่า นั่นก็คือ สนองตัณหาทักษิณเปลี่ยนระบบการปกครอง ศาลเพิ่งยกฟ้องสุเทพเรื่องนี้ ว่ามิได้ใส่ร้ายเรื่องทักษิณอยากเป็นประธานาธิบดี
ถ้าอย่างนั้น ก่อนจะเกิดสุญญากาศและสงครามการเมืองอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะอยู่ ใครจะไป
ผมไม่แปลกใจที่ทักษิณอาจจะถึงฆาต หนึ่งในสองกรณี คือ (1) เพราะโรคตามที่แพทย์คณะหนึ่งได้ติดตามวินิจฉัย (2) ถูกสังหารไม่ว่าในหรือนอกประเทศโดยคนไทยหรือรัฐบาลไทยหรือกองทัพไทยที่ทนไม่ได้ จ่ายค่าหัวและวางกับดักให้ทักษิณพบจุดจบ
นายกรัฐมนตรีมีความคิดเห็นเรื่องนี้อย่างใด ขอให้ท่านผู้อ่านวิเคราะห์คำสัมภาษณ์ของอภิสิทธิ์ให้ดีๆ
แต่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านศึกษาทัศนะของอภิสิทธิ์ พิมพ์ในวันที่ 7 มกราคม 2550 ในยุครัฐบาลลากตั้งของพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
เดี๋ยวนี้ เงื่อนไขบางอย่างก็ยังคงอยู่ ซ้ำเด่นชัดขึ้น ไม่แตกต่างหรือเปลี่ยนไปตามเงื่อนเวลา
นั่นก็คือ การดำรงความมุ่งหมาย และการกระทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงขื่อแปของบ้านเมืองและจริยธรรมใดๆ ของทักษิณและบริวาร โดยอ้างว่าทักษิณจำต้องกลับมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ และประชาธิปไตยของบ้านเมือง
ทักษิณอ้อนอีสานว่า สกลนครนำตนเข้าพรมแดนมาแล้ว ขอให้ศรีสะเกษอุ้มตนเข้าประเทศด้วยเถิด (อย่าปล่อยให้ตายในต่างแดนเลย)
ทัศนะของอภิสิทธิ์เรื่องการแบ่งแยกประชาชน ผมเห็นว่าเป็นทัศนคติที่ยังทันสมัยเข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดี เราสามารถผูกโยงเข้ากับสุญญากาศส่วนหนึ่งที่ทักษิณพยายามสร้าง
อภิสิทธิ์เกรงว่าหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้ง แตกแยก และความรุนแรงจนถึงขั้นใช้กำลัง อาวุธ เข้าห้ำหั่นกันในบ้านเมือง เพราะการแบ่งแยกประชาชน
“สงครามกลางเมือง” จะเกิดขึ้นได้ 2 ทาง
ทางหนึ่ง เกิดการต่อต้าน คมช.และรัฐบาล ซึ่งถ้ารัฐบาลและ คมช.หลีกเลี่ยงการสร้างเงื่อนไข เช่น สืบทอดอำนาจ ก็จะไม่เกิดขึ้น
อีกทางหนึ่ง กลุ่มอำนาจเก่าจนตรอก จำนนต่อกระบวนการเอาผิดทางกฎหมาย จำต้องลุกขึ้นสู้นอกระบบ มองเห็นว่าไม่มีทางอื่นที่จะสู้ในที่สุด ก็อาจจะใช้ความรุนแรง ก่อกวน ก่อเหตุในบ้านเมืองได้
ปรากฏว่ารัฐบาลสุรยุทธ์ควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ ทักษิณขี้ขลาดไม่กล้าสู้กับฝ่ายทหาร
การลุกฮือพร้อมๆ กันของฝ่ายทักษิณเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลผสมที่ส่วนสำคัญมาจากสมุนทรยศของทักษิณนั่นเอง
อภิสิทธิ์ทำนายถูกครึ่ง ผิดครึ่ง นั่นก็คือ อภิสิทธิ์ ประเมินว่า “สงครามกลางเมือง หากจะเกิด มีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นโดยกลุ่มอำนาจเก่ามากกว่า” ซึ่งทำท่าจะจริงในยุครัฐบาลปัจจุบัน
ที่น่าเศร้าก็คือทักษิณเอาวาทกรรมของพันธมิตรฯ ที่ขับไล่ทักษิณมาทิ่มแทงอภิสิทธิ์และรัฐบาล เพิ่มน้ำเน่าและโคลนตมสันดานต่ำของตนเข้าไป วาทกรรมนั้นได้ผลทั้งในและนอกประเทศ เพราะเงินทักษิณ ความโง่ของฝรั่ง และฝีมืออ่อนของรัฐบาล แม้กระทั่งชีวิตนายกรัฐมนตรีก็แทบจะรักษาไว้ไม่ได้
อภิสิทธิ์อาจมีความตั้งใจสูงกว่าสุรยุทธ์ แต่การทวงคืนของทักษิณรุนแรงและใหญ่โตขึ้นกว่ายุคสุรยุทธ์หลายเท่า
ถามว่าวันนี้อภิสิทธิ์ทำอะไร ในเรื่องที่บ่นสุรยุทธ์ไว้หรืออภิสิทธิ์อยากเห็น ผมแถมในวงเล็บให้
(ที่ร้ายที่สุด คือ) “การแบ่งแยกประชาชน”
ทุกนาทีที่ผ่านไปในขณะนี้ โดยที่ยังไม่สามารถทำความเข้าใจกับประชาชน ไม่ทำให้เหตุผลและความจำเป็นของการทำรัฐประหารประจักษ์ชัด ไม่เกิดการดำเนินการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ก็จะเกิดผลในทางเพิ่มอันตราย ล่อแหลม (เช่นเดียวกับที่มาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ชอบธรรมยิ่งกว่าทักษิณ+สมัคร+สมชาย เสียอีกกลับไม่สามารถอธิบายให้ตกไปได้)
ประเมินจากความกระตือรือร้นในการทำงานเพื่อสะสางความไม่ถูกต้องของระบอบทักษิณ ไม่ว่าจะเป็นในรัฐบาล คมช. คตส. ป.ป.ช. หากไม่ยกระดับการทำงานจากที่เป็นมาในช่วง 3 เดือนแรก ถ้าอยู่ระดับเดิมก็เป็นเรื่องยาก และอันตราย
ผมมองว่า ภายในต้นปี 2550 ก็จะถึงจุดที่สายเกินไป อะไรที่จะจัดการคุณทักษิณก็จะถูกกลุ่มอำนาจเก่าปลุกปั่นให้ถูกมองเป็นเรื่องการกลั่นแกล้ง
ก่อน 19 กันยายน 2549 กลุ่มคนในสังคม 2 กลุ่ม คือ กลุ่มต่อต้านกับกลุ่มสนับสนุนทักษิณ อาจจะมีขนาดใกล้เคียงกัน
เมื่อเกิด 19 กันยายน 2549 กลุ่มต้านทักษิณหลุดออกไปส่วนหนึ่งแล้ว มีขนาดเล็กลง เพราะบางส่วนเขาปฏิเสธรัฐประหาร หลังจากนั้นมา กลุ่มต้านทักษิณเดิมก็แตกออกไปเรื่อยๆ เพราะทุกครั้งที่มีเรื่องอะไรไม่พอใจรัฐบาลหรือ คมช. เช่น แต่งตั้งใครบางคนลงในบางตำแหน่ง คนกลุ่มนี้ก็หลุดออกไปเรื่อยๆ ในขณะที่กลุ่มสนับสนุนทักษิณยังไม่หลุดออกจากกันเลย เพราะไม่มีกระบวนการอะไรไปบอกว่าไม่ควรเอาทักษิณแล้ว
ถ้ากลัวว่า ก่อน 19 กันยายน กลุ่มสนับสนุนทักษิณจะใหญ่กว่ากลุ่มต่อต้านทักษิณ ขณะนี้ ก็ใหญ่กว่าไปแล้วจริงๆ เพราะที่ผ่านมา กลุ่มทักษิณไม่ถูกทำให้แตกแยกเลย ยิ่งกว่านั้น กระบวนการตีแผ่ความจริงของระบอบทักษิณโดยกลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังต้องหยุดชะงักไปด้วย
รัฐบาล และ คมช.จะต้องตระหนักถึงเรื่องนี้
ทางเดียวที่จะสลายการแบ่งแยกประชาชน คือ จะต้องเร่งสะสางปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ และอธิบายให้สังคมเห็นความกระจ่างชัดว่า บ้านเมืองเสียหายอย่างไรจากระบอบทักษิณ
ทุกกระทรวง ทบวง กรม จะต้องเน้นหนักในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องนโยบายประชานิยมอื่นๆ อย่าไปคิดทำแข่งกับเขา ถ้าทำอย่างนั้นก็จะเสียประชาชนส่วนที่ปฏิเสธประชานิยมอีก มันจึงไม่มีทางเลือกอื่น
ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องการสะสางภารกิจตามข้ออ้างของการรัฐประหารตกเป็นของ คตส. และ ป.ป.ช. ฝ่ายเดียว
ขณะนี้ ที่คนหงุดหงิดกันมาก คือ ไม่เห็นกระทรวง ทบวง กรม ขับเคลื่อนเรื่องนี้เลย เห็นมีแต่คุณสัก กอแสงเรือง อาจารย์แก้วสรร อติโพธิ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ฯลฯ บางกรณีสอบสวนอยู่ ทางการกลับแสดงท่าทีปกป้องระบอบทักษิณ ไม่ให้การส่งเสริมสนับสนุน ร่วมมือในการสอบสวนและดำเนินเอาผิดต่อไป
เชื่อแน่ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้อยู่ต่อไป คงจะไม่ไหว (เดี๋ยวนี้ทุกอย่างซ้ำจะหนักขึ้นเสียอีก จนเขาโทษว่ามีอำนาจไม่รู้จักใช้ ปล่อยให้อดีตบริวารทักษิณชำเราประเทศชาติต่อ)
อย่าลืมว่า ประชาชนที่ถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มๆ จะถูกปลุกปั่นได้โดยง่าย
และด้วยสถานการณ์แบบนี้เอง ที่จะถูกนำไปอ้างและใช้เป็นเครื่องมือในสงครามกลางเมือง”
(ถ้าเกิดสงครามกลางเมืองจะโทษสุรยุทธ์ไม่ได้อีกแล้ว)
ผมเห็นปัจจัยสุญญากาศอยู่สิบอย่าง ฉบับนี้ยกตัวอย่างเพียงสอง คือ การเลือกซ่อมซังกาบ๊วยกับการออกหมายจับคดีลอบสังหารสนธิ
อย่างแรกจะแสดงความชอบธรรมเทียมของทักษิณ
และอย่างหลังความชอบธรรมไม่แท้ของรัฐบาล
รัฐบาลจะต้องแก้ปัญหาทั้งสอง ซึ่งแบ่งแยกประชาชนกับประชาชน ประชาชนกับรัฐบาล ถึงทักษิณจะถึงฆาตก็ไม่ต้องสนใจ