xs
xsm
sm
md
lg

ชาติมิไร้ที่พึ่ง ถึงจะมีสุญญากาศ

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ผมขอทบทวนความหลังว่า ตั้งแต่มีนาคม 2549 เป็นต้นมา ทักษิณชักเข้าชักออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนจะมีการยุบสภา การยึดอำนาจ และการยุบพรรคไทยรักไทย ไม่มีการบิดเบือนความรู้เรื่องประชาธิปไตยอย่างแรงเป็นระลอกแรก

นายกฯ รักษาการคือทักษิณเอง ผู้นำรัฐบาล และลูกกะโล่ของพรรคไทยรักไทย นักวิชาการที่เขียนเก่งพูดเก่ง แต่ขี้เกียจค้นคว้า ต่างพากันหลงทฤษฎีและเยี่ยงปฏิบัติประชาธิปไตย ต่างพากันโจมตีว่า การนำรัฐธรรมนูญมาตรา 7 มาใช้ หรือการงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรานั้น เป็นการ ฉีก ล้มล้าง หรือ ทำลาย รัฐธรรมนูญ เป็นการนำในหลวงมาเล่นการเมือง เป็นการทำรัฐประหารรัฐธรรมนูญ

นั่นเป็น อวิชชา ความเข้าใจผิด หรือ มิจฉาทิฐิ แท้ๆ หรือไม่ ก็รู้อยู่แต่ก็แกล้งพูดผิดบิดเบือนไปเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนและพวก

ปัจจุบัน การบิดเบือนระลอกที่สอง ก็คือการทำลายสถาบันตุลาการที่ไม่เข้าข้างทักษิณ และการอ้างว่าการเคลื่อนไหวด้วยกำลังอาวุธ และการปลุกระดมประกาศมาดร้ายอย่างเปิดเผยในที่ชุมนุมมั่วสุมผ่านสถานีทีวีและวิทยุชุมชน ที่มุ่งหวังจะล้มล้างอำนาจการปกครองของอภิสิทธิ์นั้น เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

การบิดเบือนและการกระทำต่างๆ นานาในระลอกสอง โดยบรรดาบริวารใหญ่น้อยของทักษิณและตัวทักษิณ ทั้งในและนอกสภา ทั้งในรากหญ้าและในเมือง ตลอดจนต่างประเทศ และในเว็บไซต์กลางอากาศเป็นสิ่งที่ประมาทไม่ได้ เพราะอาจจะเสียหายถึงขนาดทำให้ประชาธิปไตยล่มสลาย มิใช่ล่มสลายเฉพาะรัฐบาลอภิสิทธิ์เท่านั้น

ประเทศไทยตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กำลังเกิดสุญญากาศทางการเมืองเป็นหย่อมๆ แต่ในที่สุดจะครอบคลุมทั้งประเทศ ตลอดจนสถาบันรัฐสภาและรัฐบาล

สุญญากาศจะทำให้เกิดการต่อสู้นอกกฎหมายและสงครามกลางเมืองในที่สุด

ขอให้กำลังใจก่อนว่า สังคมไทยมิใช่ไร้ที่พึ่ง แต่เราทุกคนควรพึ่งตนเองเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาด้วย

ผมขออัญเชิญพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาให้พวกเราอุ่นใจไว้ก่อน ดังนี้

“จำไว้ว่า สถาบันจะลงไปเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวได้ ก็ต่อเมื่อเกิด void หรือ สุญญากาศทางการเมืองขึ้นจริงๆ อย่างกรณี 14 ตุลาฯ แต่เมื่อได้ก้าวลงไปจัดการ จนช่องว่างดังกล่าวหมดไปแล้ว สถาบันกษัตริย์จะต้องรีบก้าวกลับขึ้นไปอยู่เหนือการเมืองอย่างเดิมโดยเร็วที่สุด จะได้พร้อมที่จะลงมาช่วยได้อีก ถ้าเกิดสุญญากาศขึ้นมาอีก”

กำลังใจที่สอง อาจจะมาจากผู้นำของประเทศที่เริ่มเข้าใจสถานการณ์ว่าถ้าหากตนไม่ใช้อำนาจตามกฎหมายให้เคร่งครัดเพื่อคุ้มครองความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนแล้ว ตนนั่นแหละจะเป็นผู้ทำลายประชาธิปไตย ไม่ยิ่งหย่อนกว่าพวกสุนัขทักษิณ และจะได้รับโทษสาปแช่งจากประชาชนและประวัติศาสตร์อย่างสาสม

นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคฝ่ายค้าน และนักการเมืองว่างงานในยุคคมช. ได้แสดงความเข้าใจถึงพระราชอำนาจในหลวงเป็นอย่างดียิ่ง ด้วยการเขียนไว้ในหนังสือเรื่อง “การเมืองไทยหลังรัฐประหาร : ทางออกจากวิกฤตก่อนจะกลับไม่ได้ ไปไม่ถึง”

ผมขอลอกข้อความทั้งหมดจาก “ข้อเสนอเพื่อปฏิเสธการนองเลือดและรัฐประหาร” ของอภิสิทธิ์หน้า 19 ถึง 21 ดังนี้

“หลักใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง คือ ทำอย่างไรให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเป็นไปโดยสันติ

มาตรา 7 เป็นกลไกสุดท้ายของรัฐธรรมนูญ เป็นจุดที่เปิดช่องไว้เพื่อให้ทุกทางตันมีทางออก เมื่อเห็นว่ามาถึงทางตันแล้ว ผมจึงเสนอว่าควรต้องใช้ช่องทางนี้

แต่ช่องทางนี้ ตามที่ผมตีความและตามที่ได้เสนอไป ณ การชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ยังยอมรับหลักการว่า คนที่จะใช้ได้จริงๆ คือ คุณทักษิณกับคณะในฐานะที่เป็นผู้นำเป็นรัฐบาลมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ด้วยการลาออกทั้งคณะ เพื่อให้บทบัญญัติในมาตราอื่นไม่สามารถบังคับใช้ได้เลย เนื่องจากขณะนั้นไม่มีสภาผู้แทนราษฎร

ถามว่า ผิดรัฐธรรมนูญไหม ไม่ผิดแน่นอน

ถามว่า เป็นประชาธิปไตยไหม ต้องเป็นประชาธิปไตยแน่นอน เพราะการกระทำอย่างนั้น เป็นจุดที่บอกว่า ทั้งผู้ที่สนับสนุนและคัดค้านคุณทักษิณเห็นพ้องต้องกันแล้ว

คนที่วิพากษ์วิจารณ์ผมเรื่องมาตรา 7 นี้ มักจะเข้าใจผิดว่า การเสนอใช้มาตรา 7 คือ อยู่ดีๆ เดินไปขอพระราชทานนายกฯ โดยที่คุณทักษิณยังเป็นนายกฯ อยู่ ซึ่งไม่ใช่

แต่ข้อเสนอของผมเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและเป็นประชาธิปไตย เพราะต้องได้ฉันทามติจากทุกฝ่ายแล้ว โดยเฉพาะได้ฉันทามติจากคุณทักษิณซึ่งจะต้องลาออกเอง

แน่นอน ถ้าคุณทักษิณลาออก ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะไม่ยอมหนทางนี้

ผมนำเสนอทางเลือกนี้ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม ก่อนวันเลือกตั้ง 2 เมษายน เพราะมันเป็นทางออกจริงๆ และเป็นทางออกที่เหลืออยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และผมถือว่าเป็นความรับผิดชอบของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งซึ่งเป็นการแสดงจุดยืน และบอกกับประชาชนก่อนวันเลือกตั้งว่า เลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่คำตอบ ประชาธิปัตย์จึงเสนอคำตอบต่อประชาชนด้วย

หากคุณทักษิณลาออก คนที่จะเป็นรัฐบาลตามมาตรา 7 จะเป็นรัฐบาลชั่วคราวที่สั้นมากๆ ทำภารกิจ 2 เรื่อง คือ ทำอย่างไรให้เกิดความมั่นใจว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไปเป็นธรรมกับไต่สวนคดีขายหุ้นชินฯ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่รุนแรงที่สุด แล้วถ้าผลการไต่สวนโดยคนที่เป็นอิสระออกมาแล้วบอกว่าไม่มีอะไรผิด คุณทักษิณก็มีความชอบธรรมทุกประการที่จะกลับเข้าสู่สนามเลือกตั้ง

ทางเลือกทางเดินนี้ เราก็จะไม่ต้องเสียรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 ทั้งฉบับ ไม่เสียแม้แต่มาตราเดียว ไม่ต้องเสี่ยงว่ารัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 จะดีกว่าหรือเลวกว่า

น่าเสียดาย .... คุณทักษิณปฏิเสธข้อเสนอนี้ภายในหนึ่งวัน

ช่วงที่ผมเสนอทางเลือกนี้ ก่อนที่คุณทักษิณปฏิเสธ ผมพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า “วันหนึ่งเมื่อคุณทักษิณถึงจุดจบ แล้วจะนึกถึงข้อเสนอผม...”

การกระทำของทักษิณเพื่อจะนำรัฐบาลอภิสิทธิ์และประชาธิปไตยไปสู่จุดจบ ด้วยการสร้างเงื่อนไขต่างๆ ให้เกิดสุญญากาศขึ้นมีหลายประการ รวมทั้งการแทรกแซงการเลือกตั้งซ่อมที่สกลนครโดยตรง และการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 27 มิถุนายน ที่จะมาถึง

ผมขอให้อภิสิทธิ์ท่องคาถาเรื่องพระราชอำนาจในระบอบประชาธิปไตย และข้อเขียนของอภิสิทธิ์เองข้างต้นนี้ให้ดี

นอกจากอภิสิทธิ์จะเอาตัวรอดได้แล้ว ก็ยังจะรักษาประชาธิปไตยไว้ได้อีกด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น