นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลสำรวจของกรุงเทพโพลที่ระบุว่ารัฐบาลสอบตกจากการทำงานมา 6 เดือนว่า ต้องทำงานหนักขึ้น ส่วนจะปรับครม .หรือไม่นั้น ทุกเรื่องต้องนำมาประมวลและนำมาดูจังหวะเวลาที่เหมาะสม
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คะแนนความนิยมตกลงจาก 3 เดือนที่แล้วนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข่าวเรื่องความขัดแย้ง หรือมีการทุจริตประชาชนรับไม่ได้ เป็นสิ่งที่เตือนใจทุกคนในรัฐบาลต้องอย่าให้มีสิ่งเหล่านี้ พอมีข่าวแบบนี้ขึ้นมา ไม่มีที่ไหนที่จะให้ความนิยมชมชอบ ส่วนงานด้านความมั่นคงดูจะได้คะแนนน้อยที่สุด ต้องยอมรับว่าขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ช่วงที่สำรวจเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนคงทุกข์ใจกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลทำงานล้มเหลวหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายเรื่องตนพูดชัดเจนเกี่ยวกับกรอบเวลาในการพิสูจน์การทำงาน ส่วนการปรับการทำงานนั้นก็มีการประเมินอยู่ตลอดเวลา อย่างเรื่องภาคใต้ได้ประชุมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องและปรับแผนให้รับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป บางเรื่องรัฐบาลยังไม่ได้เริ่มต้นผลักดันทิศทาง นโยบายใหม่ ต้องรอในเรื่องงบประมาณ เงินที่ใช้ในโครงการ ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย แม้ว่าประชาชนอยากให้แก้ไขปัญหาได้เร็ว อยากให้ทันใจกว่านี้ อย่างปัญหาภาคใต้เคยพูดว่า ต้องใช้เวลาและอดทน ส่วนโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตรก็พยายามปรับแนวทางให้เร็วที่สุด
ส่วนเสียงวิจารณ์ที่ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 1 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเป็นธรรมดา มีคนที่มองไม่ครบ 3 เดือน 6 เดือน ไม่ครบ 1 ปี 2 ปี 3 ปี 4 ปี ส่วนตัวสนใจเพียงว่า ตนอยู่แล้วทำงาน ทำงานไม่ได้ก็ไม่อยู่
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลยังคงอยู่ทำงาน ร่วมกัได้ไม่มีปัญหา ยังคุยกันได้ทุกเรื่อง ส่วนวุฒิสภาก็ต้องขอบคุณที่ลงมติ ให้ความเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีแกนนำ พรรคประชาธิปัตย์ว่าพอดีตน และนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปสิงคโปร์ กลับมาไม่ทัน แต่ทราบอยู่แล้วว่ามีการนัดกัน แต่มาไม่ทัน ซึ่งได้รับเชิญก่อนหน้านี้แล้ว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าผลสำรวจออกมาว่ารัฐบาลสอบตกดีแล้วรัฐบาลจะได้ทำงานแข็งแรงยิ่งขึ้น แต่ยังไม่คิดจะถือโอกาสนี้ปรับครม. เพราะคิดว่า การทำงานของ ครม.ทั้งคณะยังทำงานได้ดีอยู่ แต่ไม่ได้วิเคราะห์ว่ารัฐบาลทำงานดี แต่ทำไมผลสำรวจประชาชนออกมาไม่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีจุดไหนที่เป็นจุดเด่น จุดด้อยที่รัฐบาลต้องปรับ นายสุเทพ กล่าวว่า บางทีงานที่รัฐบาลทำผลอาจจะยังไม่ปรากฏ เช่นงานที่ตนรับผิดชอบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่ปรากฎผลซึ่งก็ต้องใช้เวลาหน่อย บางส่วนก็ต้องรอ งบประมาณที่จะลงไปด้วย อย่างน้อยก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนจะเห็นผล
ผู้สื่อข่าวถามว่าอายุรัฐบาลจะยืนยาวพอจะเห็นผลงานหรือไม่เพราะมีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องทำใจให้ว่างเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวความดันขึ้น ต่อข้อถามว่าหมายถึงขณะนี้รัฐบาลก็เตรียมใจเผื่อไว้สำหรับอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดไว้ด้วยเหมือนกันใช่หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่เผื่อ ตนทำงานวันต่อวัน ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเรื่อย ไม่คิดมาก
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า การรับประทานอาหารกันของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นการส่งสัญญานอะไร เพราะปกติหากพรรคร่วมมีการหารือกันตนก็จะไปด้วย แต่บังเอิญตนเดินทาง ไปสิงคโปร์ กับนายกฯ รวมถึงเลขาธิการนายกฯด้วย จึงไม่มีใครไปร่วมหารือกับพรรคร่วม แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะตนรู้กำหนดการนัดหมายครั้งนี้มาล่วงหน้าแล้ว ซึ่งก็มีการจัดหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าผลโพลล์ที่ออกมาตรงกับความกังวลของรัฐบาล ซึ่งก็พยายามเร่งรัดการทำงาน ให้มากขึ้นโดยเฉพาะปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจถือเป็นอันดับแรก ส่วนความกังวลด้านการทุจริตถือเป็นอันดับสอง อย่างไรก็ตามโพลที่ออกมามี 2 อย่างที่ถือเป็นสัญญาณที่ดีคือ 1.ประชาชนรับรู้ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการด้านสิทธิและสวัสดิการของประชาชน เช่นเรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพ 2.เชื่อมั่นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำที่มีความสุขุมและใช้ความรอบคอบในการแก้ปัญหา จึงถือว่ารัฐบาลเดินมา ถูกต้องแล้วในแนวทางนี้
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า โพลที่ออกมาให้คะแนนความพอใจรัฐบาลไม่ถึงครึ่งนั้น รัฐบาลต้องทำงานหนักกว่าเก่า เพราะจะไปท้อใจไม่ได้ หากโพลที่ออกมาได้คะแนนเกินครึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องพอใจ แต่ต้องทำงานต่อไป ส่วนการติดตาม การทำงานของครม.ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้ตนดูแลนั้น ร่างแรกดำเนินการเสร็จแล้ว แต่ส่งไปแก้ไขใหม่ คิดว่าวันที่ 9 ก.ค.นี้ การแก้ไขน่าจะสรุปเสร็จและนำเสนอนายกรัฐมนตตรี ในช่วงกลางเดือนก.ค.ได้
ส่วนการแถลงผลงานของรัฐบาลต่อสาธารณชนนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า จะหารือกับนายกรัฐมนตีก่อน แต่ส่วนตัวคิดว่าจำเป็น เพราะตอนนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินการอะไรไปบ้างจึงควรให้ประชาชนรับทราบ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คะแนนความนิยมตกลงจาก 3 เดือนที่แล้วนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คิดว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข่าวเรื่องความขัดแย้ง หรือมีการทุจริตประชาชนรับไม่ได้ เป็นสิ่งที่เตือนใจทุกคนในรัฐบาลต้องอย่าให้มีสิ่งเหล่านี้ พอมีข่าวแบบนี้ขึ้นมา ไม่มีที่ไหนที่จะให้ความนิยมชมชอบ ส่วนงานด้านความมั่นคงดูจะได้คะแนนน้อยที่สุด ต้องยอมรับว่าขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย ช่วงที่สำรวจเป็นช่วงที่พี่น้องประชาชนคงทุกข์ใจกับเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลทำงานล้มเหลวหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลายเรื่องตนพูดชัดเจนเกี่ยวกับกรอบเวลาในการพิสูจน์การทำงาน ส่วนการปรับการทำงานนั้นก็มีการประเมินอยู่ตลอดเวลา อย่างเรื่องภาคใต้ได้ประชุมกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องและปรับแผนให้รับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป บางเรื่องรัฐบาลยังไม่ได้เริ่มต้นผลักดันทิศทาง นโยบายใหม่ ต้องรอในเรื่องงบประมาณ เงินที่ใช้ในโครงการ ต้องเข้าใจตรงนี้ด้วย แม้ว่าประชาชนอยากให้แก้ไขปัญหาได้เร็ว อยากให้ทันใจกว่านี้ อย่างปัญหาภาคใต้เคยพูดว่า ต้องใช้เวลาและอดทน ส่วนโครงการแทรกแซงสินค้าเกษตรก็พยายามปรับแนวทางให้เร็วที่สุด
ส่วนเสียงวิจารณ์ที่ว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ครบ 1 ปี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเป็นธรรมดา มีคนที่มองไม่ครบ 3 เดือน 6 เดือน ไม่ครบ 1 ปี 2 ปี 3 ปี 4 ปี ส่วนตัวสนใจเพียงว่า ตนอยู่แล้วทำงาน ทำงานไม่ได้ก็ไม่อยู่
นายอภิสิทธิ์ ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคร่วมรัฐบาลยังคงอยู่ทำงาน ร่วมกัได้ไม่มีปัญหา ยังคุยกันได้ทุกเรื่อง ส่วนวุฒิสภาก็ต้องขอบคุณที่ลงมติ ให้ความเห็นชอบ พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีแกนนำ พรรคประชาธิปัตย์ว่าพอดีตน และนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี เดินทางไปสิงคโปร์ กลับมาไม่ทัน แต่ทราบอยู่แล้วว่ามีการนัดกัน แต่มาไม่ทัน ซึ่งได้รับเชิญก่อนหน้านี้แล้ว
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าผลสำรวจออกมาว่ารัฐบาลสอบตกดีแล้วรัฐบาลจะได้ทำงานแข็งแรงยิ่งขึ้น แต่ยังไม่คิดจะถือโอกาสนี้ปรับครม. เพราะคิดว่า การทำงานของ ครม.ทั้งคณะยังทำงานได้ดีอยู่ แต่ไม่ได้วิเคราะห์ว่ารัฐบาลทำงานดี แต่ทำไมผลสำรวจประชาชนออกมาไม่ดี
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีจุดไหนที่เป็นจุดเด่น จุดด้อยที่รัฐบาลต้องปรับ นายสุเทพ กล่าวว่า บางทีงานที่รัฐบาลทำผลอาจจะยังไม่ปรากฏ เช่นงานที่ตนรับผิดชอบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่ปรากฎผลซึ่งก็ต้องใช้เวลาหน่อย บางส่วนก็ต้องรอ งบประมาณที่จะลงไปด้วย อย่างน้อยก็คงต้องใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือนจะเห็นผล
ผู้สื่อข่าวถามว่าอายุรัฐบาลจะยืนยาวพอจะเห็นผลงานหรือไม่เพราะมีปัญหาหลายอย่างรุมเร้า นายสุเทพ กล่าวว่า ต้องทำใจให้ว่างเข้าไว้ ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวความดันขึ้น ต่อข้อถามว่าหมายถึงขณะนี้รัฐบาลก็เตรียมใจเผื่อไว้สำหรับอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดไว้ด้วยเหมือนกันใช่หรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่เผื่อ ตนทำงานวันต่อวัน ตั้งหน้าตั้งตาทำไปเรื่อย ไม่คิดมาก
นายสุเทพ กล่าวด้วยว่า การรับประทานอาหารกันของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลโดยไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เป็นการส่งสัญญานอะไร เพราะปกติหากพรรคร่วมมีการหารือกันตนก็จะไปด้วย แต่บังเอิญตนเดินทาง ไปสิงคโปร์ กับนายกฯ รวมถึงเลขาธิการนายกฯด้วย จึงไม่มีใครไปร่วมหารือกับพรรคร่วม แต่ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะตนรู้กำหนดการนัดหมายครั้งนี้มาล่วงหน้าแล้ว ซึ่งก็มีการจัดหมุนเวียนกันเป็นเจ้าภาพ
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่าผลโพลล์ที่ออกมาตรงกับความกังวลของรัฐบาล ซึ่งก็พยายามเร่งรัดการทำงาน ให้มากขึ้นโดยเฉพาะปัญหาปากท้องและเศรษฐกิจถือเป็นอันดับแรก ส่วนความกังวลด้านการทุจริตถือเป็นอันดับสอง อย่างไรก็ตามโพลที่ออกมามี 2 อย่างที่ถือเป็นสัญญาณที่ดีคือ 1.ประชาชนรับรู้ว่ารัฐบาลได้ดำเนินการด้านสิทธิและสวัสดิการของประชาชน เช่นเรียนฟรี 15 ปี เบี้ยยังชีพ 2.เชื่อมั่นว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำที่มีความสุขุมและใช้ความรอบคอบในการแก้ปัญหา จึงถือว่ารัฐบาลเดินมา ถูกต้องแล้วในแนวทางนี้
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า โพลที่ออกมาให้คะแนนความพอใจรัฐบาลไม่ถึงครึ่งนั้น รัฐบาลต้องทำงานหนักกว่าเก่า เพราะจะไปท้อใจไม่ได้ หากโพลที่ออกมาได้คะแนนเกินครึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องพอใจ แต่ต้องทำงานต่อไป ส่วนการติดตาม การทำงานของครม.ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้ตนดูแลนั้น ร่างแรกดำเนินการเสร็จแล้ว แต่ส่งไปแก้ไขใหม่ คิดว่าวันที่ 9 ก.ค.นี้ การแก้ไขน่าจะสรุปเสร็จและนำเสนอนายกรัฐมนตตรี ในช่วงกลางเดือนก.ค.ได้
ส่วนการแถลงผลงานของรัฐบาลต่อสาธารณชนนั้น นายสาทิตย์ กล่าวว่า จะหารือกับนายกรัฐมนตีก่อน แต่ส่วนตัวคิดว่าจำเป็น เพราะตอนนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า 6 เดือนที่ผ่านมารัฐบาลดำเนินการอะไรไปบ้างจึงควรให้ประชาชนรับทราบ
