ASTVผู้จัดการรายวัน – วีระศักดิ์ เปิดทางททท.ทำแผนตลาดปี 53 ไม่ต้องซีเรียสเรื่องตัวเลขทั้งจำนวนและรายได้ อ้างผลกระทบจากปัจจัยลบที่มาเป็นระลอกกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังไม่สิ้นสุด ระบุแค่เงินแก้ปัญหาทุกอย่างไม่ได้ ถ้าขาดการประสานงาน
วานนี้(22 มิ.ย.52) ในการประชุมแผนการตลาดท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2553 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ในการจัดทำแผนการตลาดครั้งนี้ให้ททท. ยึดในสามประเด็นหลักคือ ต่อยอด เพิ่มค่า และหาจุดต่าง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้ง ผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ,สถานการณ์โรคระบาดที่นับจากนี้ต่อไป เชื่อว่าจะมีโรคใหม่ๆทยอยเกิดขึ้นอีกมาก
การทำงานของททท.จากนี้ต้องท้าทายมากกว่าที่ผ่านมา แต่เราต้องเชื่อมั่นในสินค้า และมีหลักการบริหารจัดการที่ดี พร้อมกับการคิดแผนแบบที่มองไปในอนาคตเผื่อมีเหตุการณ์ใดๆเข้ามาแทรกซ้อน ก็พร้อมรับมือและปรับแผนได้ทันที โดยเป้าหมายของการทำงานในปีหน้า ไม่ต้องการให้ ททท.คำนึงถึงเป้าหมายตัวเลขมากนัก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือรายได้
เพราะจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นมาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ภาคอุตสาหกรรมนี้ทรุดตัวมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งททท.มาเกือบครบ 50 ปี ดังนั้นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศปีนี้จึงเป็นไปได้สูงที่จำนวนจะลดลง 15-20% จากเป้าหมายที่ททท.ตั้งไว้ 14 ล้านคน ส่วนผลจากการสาดสงครามราคาเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ จะทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ลดลง 20-25% จากเป้าหมายที่ททท.ตั้งไว้ เกือบ 5.3 ล้านคน ดังนั้นการทำงานของ ททท.ในปี 2553 ต้องเน้น คุณภาพ คุณค่า และ มูลค่า ตามลำดับ เพื่อบูรณาการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ
“โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า การท่องเที่ยวของไทยในระยะกลางและระยะยาวยังสดใส เพราะเรามีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม มีทรัพยากรบุคคลที่มีมิตรไมตรี แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้ความดูแลและพัฒนา ให้คงอยู่แบบยั่งยืน”
นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาของภาคท่องเที่ยวไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอยู่ที่ความใส่ใจ เข้าใจ และ การประสานงานที่ดี จะเห็นได้ว่า หลายโครงการที่ ททท.ดำเนินการไปแต่ยังขาดการสานงานต่อจากหน่วยงานอื่นๆ เช่น เรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ที่รัฐบาลต่ออายุให้ถึงสิ้นปีนี้ แต่ช่วงรอยต่อของการขยายโครงการจากเฟสแรก ที่หมดอายุไปเมื่อ 4 มิ.ย.52 ยังไม่สามารถเดินหน้าส่วนที่ขยายเวลาได้ทันที ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยในวันที่ 5 -21 มิ.ย.52 ต้องเสียค่าธรรมเนียมวีซ่า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนซึ่งการเดินทางไปพบผู้นำประเทศจีนในสัปดาห์นี้ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าไทยจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
อย่างไรก็ตามต้องการให้ ททท.แบ่งตลาดนักท่องเที่ยวออกเป็น 3-4 พื้นที่ เช่น ตลาดระยะไกลแถบยุโรป อเมริกา ที่รู้จักประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทางเข้ามา ,ตลาดเศรษฐกิจดี อย่าง ตะวันออกกลาง และอินเดีย และ ตลาดอ่อนไหวง่ายแต่สามารถเดินทางมาได้บ่อยครั้งในหนึ่งปีอย่างตลาดอาเซียน และ กลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งตลาดนี้จะตอบโจทย์ได้ดีในช่วงสถานการณ์น้ำมันแพง
นอกจากนั้น ยังต้องการให้ททท. เร่งทำเครื่องมือประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ให้นักท่องเที่ยว เข้ามาเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวและสร้างเป็นเว็บลิงค์ตรงถึงผู้ประกอบการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสินค้าและบริการท่องเที่ยวตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างรวดเร็ว
วานนี้(22 มิ.ย.52) ในการประชุมแผนการตลาดท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2553 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานคณะกรรมการ(บอร์ด)การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เปิดเผยว่า ในการจัดทำแผนการตลาดครั้งนี้ให้ททท. ยึดในสามประเด็นหลักคือ ต่อยอด เพิ่มค่า และหาจุดต่าง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้ง ผลกระทบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลก ที่ไม่รู้ว่าจะสิ้นสุดเมื่อใด ,สถานการณ์โรคระบาดที่นับจากนี้ต่อไป เชื่อว่าจะมีโรคใหม่ๆทยอยเกิดขึ้นอีกมาก
การทำงานของททท.จากนี้ต้องท้าทายมากกว่าที่ผ่านมา แต่เราต้องเชื่อมั่นในสินค้า และมีหลักการบริหารจัดการที่ดี พร้อมกับการคิดแผนแบบที่มองไปในอนาคตเผื่อมีเหตุการณ์ใดๆเข้ามาแทรกซ้อน ก็พร้อมรับมือและปรับแผนได้ทันที โดยเป้าหมายของการทำงานในปีหน้า ไม่ต้องการให้ ททท.คำนึงถึงเป้าหมายตัวเลขมากนัก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือรายได้
เพราะจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นมาเป็นระลอกอย่างต่อเนื่อง ได้ทำให้ภาคอุตสาหกรรมนี้ทรุดตัวมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งททท.มาเกือบครบ 50 ปี ดังนั้นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างประเทศปีนี้จึงเป็นไปได้สูงที่จำนวนจะลดลง 15-20% จากเป้าหมายที่ททท.ตั้งไว้ 14 ล้านคน ส่วนผลจากการสาดสงครามราคาเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจ จะทำให้รายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติปีนี้ลดลง 20-25% จากเป้าหมายที่ททท.ตั้งไว้ เกือบ 5.3 ล้านคน ดังนั้นการทำงานของ ททท.ในปี 2553 ต้องเน้น คุณภาพ คุณค่า และ มูลค่า ตามลำดับ เพื่อบูรณาการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ
“โดยส่วนตัวยังเชื่อว่า การท่องเที่ยวของไทยในระยะกลางและระยะยาวยังสดใส เพราะเรามีทรัพยากรธรรมชาติที่สวยงาม มีทรัพยากรบุคคลที่มีมิตรไมตรี แต่ทั้งนี้ก็ต้องให้ความดูแลและพัฒนา ให้คงอยู่แบบยั่งยืน”
นายวีระศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาของภาคท่องเที่ยวไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เงินเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอยู่ที่ความใส่ใจ เข้าใจ และ การประสานงานที่ดี จะเห็นได้ว่า หลายโครงการที่ ททท.ดำเนินการไปแต่ยังขาดการสานงานต่อจากหน่วยงานอื่นๆ เช่น เรื่องการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทย ที่รัฐบาลต่ออายุให้ถึงสิ้นปีนี้ แต่ช่วงรอยต่อของการขยายโครงการจากเฟสแรก ที่หมดอายุไปเมื่อ 4 มิ.ย.52 ยังไม่สามารถเดินหน้าส่วนที่ขยายเวลาได้ทันที ทำให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยในวันที่ 5 -21 มิ.ย.52 ต้องเสียค่าธรรมเนียมวีซ่า โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนซึ่งการเดินทางไปพบผู้นำประเทศจีนในสัปดาห์นี้ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าไทยจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร
อย่างไรก็ตามต้องการให้ ททท.แบ่งตลาดนักท่องเที่ยวออกเป็น 3-4 พื้นที่ เช่น ตลาดระยะไกลแถบยุโรป อเมริกา ที่รู้จักประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทางเข้ามา ,ตลาดเศรษฐกิจดี อย่าง ตะวันออกกลาง และอินเดีย และ ตลาดอ่อนไหวง่ายแต่สามารถเดินทางมาได้บ่อยครั้งในหนึ่งปีอย่างตลาดอาเซียน และ กลุ่มประเทศในลุ่มแม่น้ำโขง ซึ่งตลาดนี้จะตอบโจทย์ได้ดีในช่วงสถานการณ์น้ำมันแพง
นอกจากนั้น ยังต้องการให้ททท. เร่งทำเครื่องมือประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ให้นักท่องเที่ยว เข้ามาเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวและสร้างเป็นเว็บลิงค์ตรงถึงผู้ประกอบการ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกสินค้าและบริการท่องเที่ยวตามที่ตัวเองต้องการได้อย่างรวดเร็ว
