77 ปี แห่งความล้มเหลวของลัทธิรัฐธรรมนูญ อันเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งทางการเมืองในชาติ, 77 ปีแห่งความล่มสลายของชาติ จมปรักอยู่ในความเห็นผิดของผู้ปกครองไทยไม่เคยเปลี่ยน, 77 ปี แห่งความหายนะของชาติและประชาชน, 77 ปี แห่งความสูญเสียเกียรติภูมิของชาติอย่างน่าสลดหดหู่ที่สุด, 77 ปี ของการเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ย่ำอยู่กับที่ซ้ำรอยเดิม, 77 ปี ของเผด็จการสองรูปแบบ (รัฐประหารขึ้นสู่อำนาจกับเลือกตั้งซื้อเสียงขึ้นสู่อำนาจ), 77 ปี บนหนทางของการเสี่ยงภัยและเสียเวลา, 77 ปี ที่ผู้ปกครองไทยยังไม่รู้จักวิธีการสร้างระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้อง, 77 ปี ผู้ปกครองไทย รู้จักแต่การสร้างรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับ มากที่สุดในโลก, 77 ปี แห่งการยึดมั่นถือมั่น เห็นผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย, 77 ปี ของการหลองลวง บิดเบือน ทำร้ายประชาชนและประเทศชาติของตนเองให้ย่อยยับ ฯลฯ
ผู้ปกครองไทยนับแต่คณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร ได้ทำรัฐประหาร (Coup d’état) ยึดอำนาจจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน พ. ศ. 2575 ตามหลักฐานที่ปรากฏ โดยคณะราษฎรมีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... พวกเขาไม่ได้โกหก และบิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดอำนาจเพื่อสร้างธรรมนูญการปกครอง แต่มาบิดเบือนว่าเป็นประชาธิปไตยกันในภายหลัง
แท้จริงประเทศไทยมีสภาพการณ์ทางการเมืองเป็นแบบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา จึงทำให้เกิดสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ประเทศไทยและประชาชนเจ็บช้ำมานับไม่ถ้วน ดังความตอนหนึ่งอันเป็นพระราชบันทึกในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ความตอนหนึ่งว่า ...“ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและได้โต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก “Democracy” อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ “Democracy” อันแท้ มิฉะนั้นก็จะเป็น การเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่...อัญเชิญมาโดยย่อ
ความเสี่ยงภัย และเสียเวลา...คือ เกิดกบฏ รัฐประหารหลายครั้ง, เกิดสงครามก่อการร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ ปี 2508 -2521, เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ปี 2512 - 2525, เกิดการจลาจลทางการเมืองได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516, เกิดจลาจล 6 ตุลาคม ปี 2519, เกิดจลาจล 19 - 20 พฤษภาคม ปี 2535, รัฐประหารปี 2549, ความขัดแย้งทางการเมืองเพราะความเห็นผิด, รวมทั้งปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ล้วนแล้วเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ (โดยเนื้อหา) หรือเผด็จการระบบรัฐสภา (เพราะใช้รูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบบรัฐสภา จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา” โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย
น่าเสียดายไหมพี่น้อง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปแล้วที่ ประเทศไทยเราต้องกลายมาเป็นประเทศล้าหลังตามก้นเหล่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี เป็นต้น ต่อไปก็จะล้าหลังกว่าเวียดนาม ลาว ทั้งนี้เพราะเรามีแต่คณะผู้ปกครองสุดแสนจะโง่เขลาเบาปัญญารุ่นแล้วรุ่นเล่า เรามีแต่คณะพรรคการเมือง ที่คิดแต่จะตักตวงเอาประโยชน์ของชาติ ไปเป็นของตนและพวกพ้อง
77 ปี แห่งความล้มเหลว มันเลวร้ายมากมายเหลือเกิน สาธยายกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เหตุแห่งความเห็นผิดมีเพียงประการเดียวคือ เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือ ระบอบประชาธิปไตย
คำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญในฉบับที่ 3 พ. ศ. 2489 ...นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้นได้ปรารภกับ นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ 14 ถึงแม้ว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตย” อันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้....
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ โมเมสุดๆ ร้ายกาจที่สุด เห็นผิดที่สุด เป็นเล่ห์กลเผด็จการเพื่อสร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติ คำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา 2 ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี
แล้วก็มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 พ. ศ. 2511 ใน มาตรา 2 ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรม ฉบับ พ.ศ. 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลา เป็นทายาทอสูร โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
แนวทางการสร้าง หรือการสถาปนาระบอบฯ ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ของโลก คือ
1) พระเจ้าแผ่นดิน ทรงมีพระราชกรณีย์อันยิ่งใหญ่ ทรงสถาปนาระบอบโดยธรรม หรือหลักการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) อันเป็นรากฐานของชาติ สร้างความเป็นธรรมแก่ปวงชนในชาติทุกหมู่เหล่า และประชาชนเข้าใจดีแล้ว จึงดำเนินการขั้นตอนที่สอง
2) ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญ (Method of Government) ให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง หากมีรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ก็ปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เสนอเป็นตัวอย่างเบื้องต้น โดยมีธรรม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นรากฐานของชาติ ดังนี้
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ (เขียนให้ทราบว่ารูปลักษณ์ของประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร อย่าเอาแนวคิด การเมืองในประเทศสาธารณรัฐมาใช้ ต้องแยกแยะให้ถูก ทุกวันนี้ผู้ปกครอง นักการเมืองไทย มั่ว สับสนไปหมด)
มาตรา 2 ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และศาสนาที่รัฐรับรองคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาสิกข์ ได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
มาตรา 3 ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (เขียนเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขระบอบฯ ซึ่งเป็นการลดพระบรมเดชานุภาพให้ต่ำลง)
มาตรา 4 ประเทศไทยมีระบอบการปกครองประชาธิปไตยโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ เป็น ธรรมาธิปไตย อันเป็นแก่นแท้ รากฐานของชาติ โดยมีหลักการปกครอง ดังต่อไปนี้
1) หลักธรรมาธิปไตย
2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ
3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์
5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส
6) หลักภราดรภาพ
7) หลักดุลยภาพ
8) หลักเอกภาพ
9) หลักนิติธรรม
(ทั้งนี้ยืนยันการจัดความสัมพันธ์อย่างถูกต้องระหว่างหลักการปกครองกับวิธีการปกครอง จำไว้ว่า หลักการปกครองหรือระบอบ ต้องเกิดก่อนรัฐธรรมนูญ และจะเป็นเหตุให้นักปราชญ์ไทยเพิ่มขึ้นในการศึกษา คิดค้นขยายความว่าหลักการปกครองทั้ง 9 นั้นเป็นอย่างไร และจะทำให้ประชาชนมีปัญญา รู้แจ้งชัด เข้าใจอย่างง่ายดาย ไม่สับสน ในความสัมพันธ์ทางการเมืองของชนในชาติ ไม่ทำให้ประชาชนโง่เขลา ทั้งจะเป็นการขจัดเงื่อนไขความไม่เป็นธรรมทั้งปวง และความขัดแย้งภายในชาติ เช่น ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นต้น)
มาตรา 5 ประเทศไทยใช้รูปการปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) (เขียนยืนยันให้ประชาชนทราบว่ารูปการปกครองคือระบบรัฐสภา กล่าวโดยย่อ เป็นระบบรวมอำนาจ แยกกันทำหน้าที่ คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่แยกกันไปทำหน้าที่เพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน (เขียนเพื่อป้องกันการบิดเบือน มั่ว ไปใช้รูปการปกครองอื่น เช่น ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) หรือระบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันพวกที่คิดจ้องจะทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในทุกรูปแบบ มันมากขึ้นทุกที) กรุณานำไปตรองดูสู่การสร้างสรรค์ชาติอย่างถูกต้อง หากรัฐบาลถ้ามีดวงตาเห็นธรรม ก็เริ่มต้นได้ทันที ไม่ใช่หลงทางไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ผู้ปกครองไทยนับแต่คณะรัฐประหารคณะแรกที่เรียกตัวเองว่า คณะราษฎร ได้ทำรัฐประหาร (Coup d’état) ยึดอำนาจจาก พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เมื่อ 24 มิถุนายน พ. ศ. 2575 ตามหลักฐานที่ปรากฏ โดยคณะราษฎรมีหนังสือถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ความตอนหนึ่งว่า ...คณะราษฎรไม่ประสงค์ที่จะแย่งชิงราชสมบัติแต่อย่างใด ความประสงค์อันใหญ่ยิ่งก็เพื่อที่จะให้มีธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน... พวกเขาไม่ได้โกหก และบิดเบือนว่ายึดอำนาจเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย แต่ยึดอำนาจเพื่อสร้างธรรมนูญการปกครอง แต่มาบิดเบือนว่าเป็นประชาธิปไตยกันในภายหลัง
แท้จริงประเทศไทยมีสภาพการณ์ทางการเมืองเป็นแบบเผด็จการโดยรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา จึงทำให้เกิดสถานการณ์ต่างๆ ที่ทำให้ประเทศไทยและประชาชนเจ็บช้ำมานับไม่ถ้วน ดังความตอนหนึ่งอันเป็นพระราชบันทึกในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ความตอนหนึ่งว่า ...“ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและได้โต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลา ว่าควรถือหลัก “Democracy” อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ “Democracy” อันแท้ มิฉะนั้นก็จะเป็น การเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่...อัญเชิญมาโดยย่อ
ความเสี่ยงภัย และเสียเวลา...คือ เกิดกบฏ รัฐประหารหลายครั้ง, เกิดสงครามก่อการร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ ปี 2508 -2521, เกิดสงครามกลางเมืองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ ปี 2512 - 2525, เกิดการจลาจลทางการเมืองได้แก่ เหตุการณ์ 14 ตุลาคม ปี 2516, เกิดจลาจล 6 ตุลาคม ปี 2519, เกิดจลาจล 19 - 20 พฤษภาคม ปี 2535, รัฐประหารปี 2549, ความขัดแย้งทางการเมืองเพราะความเห็นผิด, รวมทั้งปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ล้วนแล้วเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ (โดยเนื้อหา) หรือเผด็จการระบบรัฐสภา (เพราะใช้รูปการปกครอง (Form of Government) เป็นระบบรัฐสภา จึงเรียกว่า “ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา” โปรดเข้าใจตามนี้ด้วย
น่าเสียดายไหมพี่น้อง ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันเป็นไปแล้วที่ ประเทศไทยเราต้องกลายมาเป็นประเทศล้าหลังตามก้นเหล่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี เป็นต้น ต่อไปก็จะล้าหลังกว่าเวียดนาม ลาว ทั้งนี้เพราะเรามีแต่คณะผู้ปกครองสุดแสนจะโง่เขลาเบาปัญญารุ่นแล้วรุ่นเล่า เรามีแต่คณะพรรคการเมือง ที่คิดแต่จะตักตวงเอาประโยชน์ของชาติ ไปเป็นของตนและพวกพ้อง
77 ปี แห่งความล้มเหลว มันเลวร้ายมากมายเหลือเกิน สาธยายกันไม่หวาดไม่ไหว แต่เหตุแห่งความเห็นผิดมีเพียงประการเดียวคือ เข้าใจว่ารัฐธรรมนูญ คือ ระบอบประชาธิปไตย
คำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ในคำปรารภของรัฐธรรมนูญในฉบับที่ 3 พ. ศ. 2489 ...นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในขณะนั้นได้ปรารภกับ นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยนี้พระมหากษัตริย์ได้พระราชทานแก่ชนชาวไทยมาแล้วเป็นปีที่ 14 ถึงแม้ว่า “การปกครองระบอบประชาธิปไตย” อันมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักนี้....
จุดเริ่มต้นของการบิดเบือนสุดๆ โมเมสุดๆ ร้ายกาจที่สุด เห็นผิดที่สุด เป็นเล่ห์กลเผด็จการเพื่อสร้างความชอบธรรมของคณะเผด็จการ อยู่ๆ ก็บัญญัติ คำว่า “ระบอบประชาธิปไตย” ไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ ที่ 5 พ.ศ. 2492 ในหมวด 1 บททั่วไป
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียว จะแบ่งแยกมิได้
มาตรา 2 ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายรัฐมนตรี
แล้วก็มีบัญญัติในรัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 8 พ. ศ. 2511 ใน มาตรา 2 ประเทศไทยมี การปกครองระบอบประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ในยุคจอมเผด็จการ จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี
ผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรม ฉบับ พ.ศ. 2517, 2519, 2521, 2534, 2540, 2550 โดยทำตามๆ สืบเนื่องกันมาอย่างโง่เขลา เป็นทายาทอสูร โดยมิได้ฉุกคิดกันเลยแม้แต่นิดเดียว สร้างความหายนะให้กับชาติอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
แนวทางการสร้าง หรือการสถาปนาระบอบฯ ที่ถูกต้องยิ่งใหญ่ของโลก คือ
1) พระเจ้าแผ่นดิน ทรงมีพระราชกรณีย์อันยิ่งใหญ่ ทรงสถาปนาระบอบโดยธรรม หรือหลักการปกครองโดยธรรม (Principle of Government) อันเป็นรากฐานของชาติ สร้างความเป็นธรรมแก่ปวงชนในชาติทุกหมู่เหล่า และประชาชนเข้าใจดีแล้ว จึงดำเนินการขั้นตอนที่สอง
2) ดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญ (Method of Government) ให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง หากมีรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ก็ปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครอง เสนอเป็นตัวอย่างเบื้องต้น โดยมีธรรม ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นรากฐานของชาติ ดังนี้
มาตรา 1 ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้ (เขียนให้ทราบว่ารูปลักษณ์ของประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร อย่าเอาแนวคิด การเมืองในประเทศสาธารณรัฐมาใช้ ต้องแยกแยะให้ถูก ทุกวันนี้ผู้ปกครอง นักการเมืองไทย มั่ว สับสนไปหมด)
มาตรา 2 ประเทศไทยมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ และศาสนาที่รัฐรับรองคือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาสิกข์ ได้รับการคุ้มครองจากรัฐ
มาตรา 3 ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (เขียนเพื่อป้องกันไม่ให้เข้าใจผิดว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขระบอบฯ ซึ่งเป็นการลดพระบรมเดชานุภาพให้ต่ำลง)
มาตรา 4 ประเทศไทยมีระบอบการปกครองประชาธิปไตยโดยธรรม ถือธรรมเป็นใหญ่ เป็น ธรรมาธิปไตย อันเป็นแก่นแท้ รากฐานของชาติ โดยมีหลักการปกครอง ดังต่อไปนี้
1) หลักธรรมาธิปไตย
2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ
3) หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน
4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์
5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส
6) หลักภราดรภาพ
7) หลักดุลยภาพ
8) หลักเอกภาพ
9) หลักนิติธรรม
(ทั้งนี้ยืนยันการจัดความสัมพันธ์อย่างถูกต้องระหว่างหลักการปกครองกับวิธีการปกครอง จำไว้ว่า หลักการปกครองหรือระบอบ ต้องเกิดก่อนรัฐธรรมนูญ และจะเป็นเหตุให้นักปราชญ์ไทยเพิ่มขึ้นในการศึกษา คิดค้นขยายความว่าหลักการปกครองทั้ง 9 นั้นเป็นอย่างไร และจะทำให้ประชาชนมีปัญญา รู้แจ้งชัด เข้าใจอย่างง่ายดาย ไม่สับสน ในความสัมพันธ์ทางการเมืองของชนในชาติ ไม่ทำให้ประชาชนโง่เขลา ทั้งจะเป็นการขจัดเงื่อนไขความไม่เป็นธรรมทั้งปวง และความขัดแย้งภายในชาติ เช่น ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้ เป็นต้น)
มาตรา 5 ประเทศไทยใช้รูปการปกครองระบบรัฐสภา (Parliamentary System) (เขียนยืนยันให้ประชาชนทราบว่ารูปการปกครองคือระบบรัฐสภา กล่าวโดยย่อ เป็นระบบรวมอำนาจ แยกกันทำหน้าที่ คือฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ ต้องเป็นสมาชิกรัฐสภา แต่แยกกันไปทำหน้าที่เพื่อถ่วงดุลซึ่งกันและกัน (เขียนเพื่อป้องกันการบิดเบือน มั่ว ไปใช้รูปการปกครองอื่น เช่น ระบบประธานาธิบดี (Presidential System) หรือระบบกึ่งประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันพวกที่คิดจ้องจะทำลายสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในทุกรูปแบบ มันมากขึ้นทุกที) กรุณานำไปตรองดูสู่การสร้างสรรค์ชาติอย่างถูกต้อง หากรัฐบาลถ้ามีดวงตาเห็นธรรม ก็เริ่มต้นได้ทันที ไม่ใช่หลงทางไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ