ASTVผู้จัดการรายวัน – คลังเตรียมปรับจีดีพีสัปดาห์หน้า คาดติดลบน้อยกว่า 3.5% หลังประเมินพบปัจจัยบวกจากโครงการไทยเข้มแข็ง และเศรษฐกิจในภูมิภาคมีสัญญาณที่ดีขึ้น ระบุงบกระตุ้นในSP1 เบิกจ่ายแล้วกว่า 50% ส่วนเบิกจ่ายงบลงทุน "ถนนปลอดฝุ่น" เห็นผลเร็วดันเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่ม ส่วนปัจจัยภายนอกยังเป็นบวกภาพรวมของเอเชียมีทิศทางที่ดีแม้ยุโรปและสหรัฐจะยังตกต่ำก็ตาม ขณะที่ต้องเฝ้าระวังน้ำมันที่ยังพุ่งขึ้นต่อเนื่องและไข้หวัดใหญ่ที่รัฐบาลต้องจำกัดการระบาดให้แคบลงโดยเร็ว
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษก สศค. เปิดเผยว่า สศค.เตรียมทบทวบประมาณการทางเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งหลังมีสัญญาณบวกจากการที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 ซึ่งหากโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 สามารถดำเนินการได้ตามที่กำหนดจะทำให้เม็ดเงินสามารถกระจายเข้าสู่ส่วนต่างๆ ในระบบตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป
โดยเฉพาะเม็ดเงินจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาทสำหรับใช้เพิ่มทุนสถาบันการเงินของรัฐเพื่อให้สถาบันการเงินเหล่านี้ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ รวมทั้งการประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งเม็ดเงินจากโครงการต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่เม็ดเงินจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะแรก (SP1) จำนวนกว่า 1.16 แสนล้านบาทได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วมากกว่า 50% ในเดือนพฤษภาคมและจะมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ งบลงทุนรวมทั้งรายจ่ายประจำมาช่วยเสริมได้ ส่วนเงินงบประมาณที่ใช้ในงบไทยเข้มแข็งมีอยู่หลายโครงการที่สามารถเบิกจ่ายได้ง่าย เช่น โครงการถนนปลอดฝุ่น เป็นต้น
“ในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ สศค.จะประกาศตัวเลขใหม่หลังจากที่ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมแล้ว ซึ่งจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมาเริ่มส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 1 และหากเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ต่อไปสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของไทยก็น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น”
ก่อนหน้านี้ สศค.ประมาณการเศรษฐกิจติดลบเฉลี่ย 3.5%
นายเอกนิติกล่าวว่า นอกจากปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลแล้วปัจจัยในต่างประเทศก็ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของไทยโดยเฉพาะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเอเชีย ทั้งจีนและอินเดียที่มีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้และหากมาตรการ SP2 ออกมาเสริมและเบิกจ่ายได้เร็วก็จะเป็นปัจจัยหนุนที่ดีมาก
ส่วนปัจจัยลบที่ สศค.ได้ให้น้ำหนักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจคือเรื่องราคาน้ำมันโลกที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับเมื่อปีที่ผ่านมาที่สูงถึง 150 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งยังต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด ด้านไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็ยังเป็นอีก 1 ปัจจัยลบที่ต้องคอยเฝ้าระมัดระวังและติดตามสถานการการระบาดของโรคไม่ให้ลุกลามจนยากต่อการควบคุมเพราะจะกระทบต่อเรื่องท่องเที่ยวที่ทำรายได้ให้กับประเทศ
“เศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐและยุโรปยังไม่ฟื้นตัวนักอาจส่งผลกระทบต่อเราบ้างแต่ยังมีจีน อินเดียและประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่มีส่วนทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีขึ้น โดยทาง สศค.ได้มอนิเตอร์อยู่ตลอดเวลาและไม่ลืมปัจจัยลบทั้งหลายทั้งน้ำมันและไข้หวัดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้โดยตรง ซึ่งหากมีสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจจากการเฝ้าระวังออกมา สศค.ก็จะรีบหามาตรการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว” โฆษก สศค.กล่าว.
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ในฐานะโฆษก สศค. เปิดเผยว่า สศค.เตรียมทบทวบประมาณการทางเศรษฐกิจใหม่อีกครั้งหลังมีสัญญาณบวกจากการที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) และพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ.2552 ซึ่งหากโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 สามารถดำเนินการได้ตามที่กำหนดจะทำให้เม็ดเงินสามารถกระจายเข้าสู่ส่วนต่างๆ ในระบบตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไป
โดยเฉพาะเม็ดเงินจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาทสำหรับใช้เพิ่มทุนสถาบันการเงินของรัฐเพื่อให้สถาบันการเงินเหล่านี้ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบ รวมทั้งการประกันสินเชื่อของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ซึ่งเม็ดเงินจากโครงการต่างๆ เหล่านี้จะมีส่วนทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ในขณะที่เม็ดเงินจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะแรก (SP1) จำนวนกว่า 1.16 แสนล้านบาทได้มีการเบิกจ่ายไปแล้วมากกว่า 50% ในเดือนพฤษภาคมและจะมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ งบลงทุนรวมทั้งรายจ่ายประจำมาช่วยเสริมได้ ส่วนเงินงบประมาณที่ใช้ในงบไทยเข้มแข็งมีอยู่หลายโครงการที่สามารถเบิกจ่ายได้ง่าย เช่น โครงการถนนปลอดฝุ่น เป็นต้น
“ในวันที่ 25 มิถุนายนนี้ สศค.จะประกาศตัวเลขใหม่หลังจากที่ได้ประเมินภาวะเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมแล้ว ซึ่งจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจด้านต่างๆ ของรัฐบาลที่ออกมาเริ่มส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ดีขึ้นกว่าไตรมาสที่ 1 และหากเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจได้ต่อไปสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของไทยก็น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น”
ก่อนหน้านี้ สศค.ประมาณการเศรษฐกิจติดลบเฉลี่ย 3.5%
นายเอกนิติกล่าวว่า นอกจากปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านทางนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลแล้วปัจจัยในต่างประเทศก็ยังส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวมของไทยโดยเฉพาะสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเอเชีย ทั้งจีนและอินเดียที่มีการประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้และหากมาตรการ SP2 ออกมาเสริมและเบิกจ่ายได้เร็วก็จะเป็นปัจจัยหนุนที่ดีมาก
ส่วนปัจจัยลบที่ สศค.ได้ให้น้ำหนักต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจคือเรื่องราคาน้ำมันโลกที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับเมื่อปีที่ผ่านมาที่สูงถึง 150 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งยังต้องคอยจับตามองอย่างใกล้ชิด ด้านไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ก็ยังเป็นอีก 1 ปัจจัยลบที่ต้องคอยเฝ้าระมัดระวังและติดตามสถานการการระบาดของโรคไม่ให้ลุกลามจนยากต่อการควบคุมเพราะจะกระทบต่อเรื่องท่องเที่ยวที่ทำรายได้ให้กับประเทศ
“เศรษฐกิจในฝั่งสหรัฐและยุโรปยังไม่ฟื้นตัวนักอาจส่งผลกระทบต่อเราบ้างแต่ยังมีจีน อินเดียและประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่มีส่วนทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีขึ้น โดยทาง สศค.ได้มอนิเตอร์อยู่ตลอดเวลาและไม่ลืมปัจจัยลบทั้งหลายทั้งน้ำมันและไข้หวัดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้โดยตรง ซึ่งหากมีสัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจจากการเฝ้าระวังออกมา สศค.ก็จะรีบหามาตรการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์โดยเร็ว” โฆษก สศค.กล่าว.