ASTVผู้จัดการายวัน – บอร์ด อสมท คาด อย่างช้าสัปดาห์หน้ารู้รายชื่อ คณะกรรมการฯตามพ.ร.บ.ร่วมทุน แย้มตีกรอบ 3 เดือนต้องพิจารณาเงื่อนไขและสัญญาให้เสร็จ “สาทิตย์” ยอมรับสัญญาที่บีอีซีเวิลด์จ่ายสัมปทานช่อง 3 ต่ำผิดปรกติ โยนฝ่ายบริหาร-บอร์ด อสมท ฐานะคู่สัญญา หาแนวทางแก้ไขด่วน ลั่นต้องรักษาผลประโยชน์ชาติ พร้อมยอมรับเจ้าเดิมส่งหนังสือขอต่อสัญญา 10 ปีจริง
แหล่งข่าวจาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการ บมจ.อสมท ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 13 ไปแล้วนั้น
โดยให้คณะกรรมการฯดังกล่าวมีจำนวน 12 คน ประกอบไปด้วย ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเช่น ตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวแทนจากกระทรวงวัฒนธรรม ตัวแทนจากสำนักงานกฤษฎีกา ตัวแทนจากสำนักงบประมาณ ตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 3 คน และตัวแทนจาก อสมท อีก 2 คน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ตัวบุคคลที่ชัดเจนที่จะมาเป็นคณะกรรมการฯ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าสัปดาห์หน้า แต่ละหน่วยงานที่บอร์ดอสมท ได้ทำหนังสือเชิญไป จะส่งตัวแทนที่เป็นรายชื่อบุคคลที่แน่นอนเข้ามาได้
ทั้งนี้เมื่อได้รายชื่อผู้ที่จะมาเป็นคณะกรรมการดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 13 ที่แน่นอนแล้ว ทางบอร์ด อสมท ก็จะทำการเรียกคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวมาประชุมเพื่อวางกรอบและมอบนโยบายการพิจารณา การทำงานให้ชัดเจนว่า ควรดำเนินการอะไร อย่างไรบ้าง โดยที่ต้องยึดถือประโยชน์ของ อสมท เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม โดยแนวทางหลักแล้ว ทางบอร์ด อสมท ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการพิจารณาทั้งหมด ของการดำเนินการต่อสัญญาให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 เดือนเป็นอย่างช้า เพื่อต้องการให้ทุกอย่างสามารถดำเนินการไปได้ เพราะถ้าหากว่าการพิจารณาเสร็จเร็วสามารถที่จะต่อรองหรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขข้อเสนอต่างๆเพื่อให้เกิดประโยชน์กับอสมท มากที่สุด ก็จะเป็นการดี
แต่ถ้าหากว่า บริษัทบีอีซีเวิลด์ฯไม่ยอมทำตามข้อเสนอหรือปรับเงื่อ่นไขสัญญาค่าตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าที่เสนอมาที่หลักพันล้านบาท ก็จะได้พิจารณาหาแนวทางดำเนินการต่อไปว่าจะทำอย่างไร เนื่องจากว่าสัญญาสัมปทานเดิมใกล้ครบกำหนดแล้ว ส่วนการจะเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานรายใหม่นั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้หากสามารถดำเนินการได้โดยไม่ผิดสัญญา
** “สาทิตย์”ย้ำต้องเป็นธรรม
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือถึงบอร์ด อสมท ขอต่อสัญญาการบริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ต่ออีก 10 ปี ว่า เรื่องนี้ตนได้ตามมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ต้องดูข้อเท็จจริงจากที่ทางน.ส.พ.เอเอสทีวีผู้จัดการรายงานไป ขอเรียนว่าสัญญานี้จะหมดในปี 2553 และตอนนี้เขาทำหนังสือมาแล้วที่จะขอต่อสัญญาไปอีก 10 ปี ทั้งนี้ได้สอบถามทางบอร์ด อสมท แล้วทราบว่า ขณะนี้เขาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาจากหนังสือฉบับดังกล่าวเพราะถือว่าเข้าพระราชบัญญัติร่วมทุน ฉะนั้นข้าใจว่าสัปดาห์หน้าจะมีการประชุม
“โดยส่วนตัวผมเองเรียนไปว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนจะเป็นเรื่องที่มีผลสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมาผมก็เห็นว่าผลตอบแทนที่บีอีซีฯให้กับ อสมท นั้นอยู่ในสัดส่วนที่น่าจะจ่ายได้มากกว่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับทางบริษัททรูแล้วถือว่า บีอีซีเวิดล์ ยังจ่ายน้อยกว่า แต่นั่นเป็นการต่อสัญญาในสมัยรัฐบาลอื่น เข้าใจว่าเป็นยุคร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีฯที่รับผิดชอบในสมัยนั้น” นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญเนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวกฎหมายพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งจะมีวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่และการให้สัมปทานของรัฐ ฉะนั้นการพิจารณาของตัวคณะกรรมการจะเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนประเด็นที่มีการนำเสนอว่าที่ผ่านมามีการทำผิดสัญญาหรือไม่อย่างไร คงเป็นเรื่องที่ทางบอร์ด อสมท กับฝ่ายบริหารในฐานะผู้บริหารสัญญาและเป็นคู่สัญญาต้องไปติดตามและตนจะติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่กระทบถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มันผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็ไม่ทราบว่าท่านไปตกลงอะไรกันหรือไม่ เราก็ได้แต่ติดตามเรื่องนี้
เมื่อถามว่า คิดว่าควรจะมีการเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนรายอื่นเข้ามาเสนอรูปแบบเข้าไปบริหารด้วยหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า คิดว่าต้องดูสัญญาก่อนกับหนังสือที่ขอมาและการปฏิบัติของ อสมท ให้คณะกรรมการเขาประชุมกันสักครั้งหนึ่งว่ามีแนวทางอย่างไร เนื่องจาก อสมท เป็นบริษัทมหาชน ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับอย่างที่เป็นมาในอดีต ในยุคที่ผ่านมาที่เขาต่อสัญญาได้เพราะตอนนั้นไม่ได้เป็นบริษัทมหาชนจำกัด แต่ตอนนี้เป็นบริษัทมหาชน เขาก็มีบอร์ดของเขาที่มาจากการเลือกของผู้ถือหุ้นเข้าไปดูแล ซึ่งต้องรับผิดชอบทั้งต่อผู้ถือหุ้นและต่อรัฐด้วย
เมื่อถามว่า จากข้อมูลข่าวที่นำเสนอคิดว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ในเรื่องการจ่ายค่าสัมปทานต่างๆของบีอีซี เวิลด์ ที่ทำให้ อสมท เสียหายเกือบนหมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา นายสาทิตย์ กล่าวว่า เห็นอยู่บางเรื่องมีความผิดปกติ ฉะนั้นเป็นเรื่องที่ตนต้องประสานกับทางฝ่ายบริหารและฝ่ายบอร์ดว่าเขาจะดำเนินการต่อไปอย่างไรด้วย เพราะรัฐบาลไม่ได้อยู่ในฐานะที่ไปสั่งการอะไรได้ เนื่องจากเป็นบริษัทมหาชน แต่ความคาบเกี่ยวในฐานะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่คือกระทรวงการคลัง เป็นรัฐ และเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าที่ต้องเข้าไปดูแลว่าต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและสัญญาด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องการบริหารสัญญา
เมื่อถามว่า ความผิดปกติที่ว่านั้นหมายถึงบอร์ด อสมท และตัวรัฐมนตรีในอดีตใช่หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ไม่สามารถพูดในฐานะส่วนตัวได้ เพราะเรื่องนี้จะกระทบกับหุ้นของบริษัท อสมท ต้องว่าไปตามระเบียบขั้นตอน แต่ตนต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อถามว่า ทางบอร์ดส่วนหนึ่งออกมาแสดงความอึดอัดและหนักใจต่อการดำเนินการที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขสัญญา นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า การบริหารสัญญาบอร์ดและฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องทำให้โปร่งใสและต้องรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ต้องอึดอัดใจอะไร อยากให้ท่านทำงานเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าทางฝ่ายผู้รับสัมปทานบริหารช่อง 3 คงรับได้ ถ้ากระบวนการบริหารสัญญาโปร่งใส เพราะเราต้องรับผิดชอบต่อประชาชน
แหล่งข่าวจาก บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่คณะกรรมการ บมจ.อสมท ได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 13 ไปแล้วนั้น
โดยให้คณะกรรมการฯดังกล่าวมีจำนวน 12 คน ประกอบไปด้วย ตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเช่น ตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี ตัวแทนจากกระทรวงวัฒนธรรม ตัวแทนจากสำนักงานกฤษฎีกา ตัวแทนจากสำนักงบประมาณ ตัวแทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกไม่เกิน 3 คน และตัวแทนจาก อสมท อีก 2 คน
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ตัวบุคคลที่ชัดเจนที่จะมาเป็นคณะกรรมการฯ โดยคาดว่าภายในสัปดาห์นี้หรืออย่างช้าสัปดาห์หน้า แต่ละหน่วยงานที่บอร์ดอสมท ได้ทำหนังสือเชิญไป จะส่งตัวแทนที่เป็นรายชื่อบุคคลที่แน่นอนเข้ามาได้
ทั้งนี้เมื่อได้รายชื่อผู้ที่จะมาเป็นคณะกรรมการดำเนินโครงการตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ตามมาตรา 13 ที่แน่นอนแล้ว ทางบอร์ด อสมท ก็จะทำการเรียกคณะกรรมการฯชุดดังกล่าวมาประชุมเพื่อวางกรอบและมอบนโยบายการพิจารณา การทำงานให้ชัดเจนว่า ควรดำเนินการอะไร อย่างไรบ้าง โดยที่ต้องยึดถือประโยชน์ของ อสมท เป็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม โดยแนวทางหลักแล้ว ทางบอร์ด อสมท ได้กำหนดกรอบระยะเวลาการพิจารณาทั้งหมด ของการดำเนินการต่อสัญญาให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 3 เดือนเป็นอย่างช้า เพื่อต้องการให้ทุกอย่างสามารถดำเนินการไปได้ เพราะถ้าหากว่าการพิจารณาเสร็จเร็วสามารถที่จะต่อรองหรือปรับเปลี่ยนเงื่อนไขข้อเสนอต่างๆเพื่อให้เกิดประโยชน์กับอสมท มากที่สุด ก็จะเป็นการดี
แต่ถ้าหากว่า บริษัทบีอีซีเวิลด์ฯไม่ยอมทำตามข้อเสนอหรือปรับเงื่อ่นไขสัญญาค่าตอบแทนให้สูงขึ้นกว่าที่เสนอมาที่หลักพันล้านบาท ก็จะได้พิจารณาหาแนวทางดำเนินการต่อไปว่าจะทำอย่างไร เนื่องจากว่าสัญญาสัมปทานเดิมใกล้ครบกำหนดแล้ว ส่วนการจะเปิดประมูลหาผู้รับสัมปทานรายใหม่นั้นก็มีโอกาสเป็นไปได้หากสามารถดำเนินการได้โดยไม่ผิดสัญญา
** “สาทิตย์”ย้ำต้องเป็นธรรม
นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือถึงบอร์ด อสมท ขอต่อสัญญาการบริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ต่ออีก 10 ปี ว่า เรื่องนี้ตนได้ตามมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ต้องดูข้อเท็จจริงจากที่ทางน.ส.พ.เอเอสทีวีผู้จัดการรายงานไป ขอเรียนว่าสัญญานี้จะหมดในปี 2553 และตอนนี้เขาทำหนังสือมาแล้วที่จะขอต่อสัญญาไปอีก 10 ปี ทั้งนี้ได้สอบถามทางบอร์ด อสมท แล้วทราบว่า ขณะนี้เขาได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณาจากหนังสือฉบับดังกล่าวเพราะถือว่าเข้าพระราชบัญญัติร่วมทุน ฉะนั้นข้าใจว่าสัปดาห์หน้าจะมีการประชุม
“โดยส่วนตัวผมเองเรียนไปว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนจะเป็นเรื่องที่มีผลสำคัญ เนื่องจากที่ผ่านมาผมก็เห็นว่าผลตอบแทนที่บีอีซีฯให้กับ อสมท นั้นอยู่ในสัดส่วนที่น่าจะจ่ายได้มากกว่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับทางบริษัททรูแล้วถือว่า บีอีซีเวิดล์ ยังจ่ายน้อยกว่า แต่นั่นเป็นการต่อสัญญาในสมัยรัฐบาลอื่น เข้าใจว่าเป็นยุคร้อยตำรวจเอกเฉลิม อยู่บำรุง รัฐมนตรีฯที่รับผิดชอบในสมัยนั้น” นายสาทิตย์ กล่าว
นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า ที่สำคัญเนื่องจากจะมีการเปลี่ยนแปลงตัวกฎหมายพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ซึ่งจะมีวิธีคิดใหม่เกี่ยวกับการจัดสรรคลื่นความถี่และการให้สัมปทานของรัฐ ฉะนั้นการพิจารณาของตัวคณะกรรมการจะเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนประเด็นที่มีการนำเสนอว่าที่ผ่านมามีการทำผิดสัญญาหรือไม่อย่างไร คงเป็นเรื่องที่ทางบอร์ด อสมท กับฝ่ายบริหารในฐานะผู้บริหารสัญญาและเป็นคู่สัญญาต้องไปติดตามและตนจะติดตามเรื่องอย่างใกล้ชิดต่อไป เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่กระทบถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ แต่ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้มันผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ฝ่ายการเมืองในรัฐบาลชุดที่ผ่านมาก็ไม่ทราบว่าท่านไปตกลงอะไรกันหรือไม่ เราก็ได้แต่ติดตามเรื่องนี้
เมื่อถามว่า คิดว่าควรจะมีการเปิดโอกาสให้บริษัทเอกชนรายอื่นเข้ามาเสนอรูปแบบเข้าไปบริหารด้วยหรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า คิดว่าต้องดูสัญญาก่อนกับหนังสือที่ขอมาและการปฏิบัติของ อสมท ให้คณะกรรมการเขาประชุมกันสักครั้งหนึ่งว่ามีแนวทางอย่างไร เนื่องจาก อสมท เป็นบริษัทมหาชน ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจภายใต้กำกับอย่างที่เป็นมาในอดีต ในยุคที่ผ่านมาที่เขาต่อสัญญาได้เพราะตอนนั้นไม่ได้เป็นบริษัทมหาชนจำกัด แต่ตอนนี้เป็นบริษัทมหาชน เขาก็มีบอร์ดของเขาที่มาจากการเลือกของผู้ถือหุ้นเข้าไปดูแล ซึ่งต้องรับผิดชอบทั้งต่อผู้ถือหุ้นและต่อรัฐด้วย
เมื่อถามว่า จากข้อมูลข่าวที่นำเสนอคิดว่ามีความผิดปกติอะไรหรือไม่ในเรื่องการจ่ายค่าสัมปทานต่างๆของบีอีซี เวิลด์ ที่ทำให้ อสมท เสียหายเกือบนหมื่นล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา นายสาทิตย์ กล่าวว่า เห็นอยู่บางเรื่องมีความผิดปกติ ฉะนั้นเป็นเรื่องที่ตนต้องประสานกับทางฝ่ายบริหารและฝ่ายบอร์ดว่าเขาจะดำเนินการต่อไปอย่างไรด้วย เพราะรัฐบาลไม่ได้อยู่ในฐานะที่ไปสั่งการอะไรได้ เนื่องจากเป็นบริษัทมหาชน แต่ความคาบเกี่ยวในฐานะที่ผู้ถือหุ้นใหญ่คือกระทรวงการคลัง เป็นรัฐ และเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก็มีหน้าที่ต้องเข้าไปดูแลว่าต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและสัญญาด้วย เรื่องนี้เป็นเรื่องการบริหารสัญญา
เมื่อถามว่า ความผิดปกติที่ว่านั้นหมายถึงบอร์ด อสมท และตัวรัฐมนตรีในอดีตใช่หรือไม่ นายสาทิตย์ กล่าวว่า ไม่สามารถพูดในฐานะส่วนตัวได้ เพราะเรื่องนี้จะกระทบกับหุ้นของบริษัท อสมท ต้องว่าไปตามระเบียบขั้นตอน แต่ตนต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด เมื่อถามว่า ทางบอร์ดส่วนหนึ่งออกมาแสดงความอึดอัดและหนักใจต่อการดำเนินการที่ผ่านมา โดยเฉพาะเรื่องการแก้ไขสัญญา นายสาทิตย์ กล่าวต่อว่า การบริหารสัญญาบอร์ดและฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องทำให้โปร่งใสและต้องรับผิดชอบต่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ต้องอึดอัดใจอะไร อยากให้ท่านทำงานเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา เชื่อว่าทางฝ่ายผู้รับสัมปทานบริหารช่อง 3 คงรับได้ ถ้ากระบวนการบริหารสัญญาโปร่งใส เพราะเราต้องรับผิดชอบต่อประชาชน