00 เห็นภาพการอภิปราย ร่างพระราชกำหนด และร่างพระราชบัญญัติ ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจรวมทั้งหมด 8 แสนล้านบาท ผ่านมาสองสามวัน และกำลังจะเข้าสู่การพิจารณาในส่วนของ ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณปี 2553 จำนวน 1.7 ล้านล้านบาท ซึ่งเริ่มโหมโรงกันไปแล้ว โดยจะว่ากันเป็น“แพ็กเกจ” ชุดใหญ่ต่อเนื่อง หากมองในแง่ของเม็ดเงินก็จำนวนมหาศาล แต่เมื่อหันมาดูคนที่ใช้เงิน และคนที่ควบคุมดูแลแล้วบอกตรงๆว่า “น่าผิดหวัง” และเป็นการผิดหวังซ้ำซากมาตลอด และยังมองไม่เห็นการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นเลย
00 การอภิปรายส่วนใหญ่ยังหาสาระไม่ได้ นอกจากจ้องแต่เล่นเกม “กระจอกๆ” ประเภทขอให้ได้พูดผ่านจอทีวี เพราะคิดว่านี่คือการทำหน้าที่ผู้แทนที่ชาวบ้านเลือกมาแล้วไม่ได้หายเงียบไปไหน กลายเป็นว่าพอถ่ายทอดสดทีไรมีแต่เรื่องวุ่นวายน่ารำคาญทุกที แต่หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่า คนในพื้นที่เป็นแบบไหนก็เลือก ส.ส.ประเภทนั้นเข้ามา
00 บางคนแทนที่จะเน้นให้เห็นถึงเนื้อหาสาระ หรือตั้งข้อสังเกตให้เห็นว่ารัฐบาลจะกู้เงินมาจำนวนมหาศาลเพื่อมา “แบ่งเค้ก” ให้นักการเมืองในพรรคร่วมฯ ชี้ให้เห็นว่า “ไทยมันจะเข้มแข็ง” ด้วยการกู้เงินมาลงทุนอย่างไร แต่นี่กลับฉวยโอกาสใช้ค่าน้ำค่าไฟชาวบ้านไปชื่นชม “พ่อแม้ว” หรือหาเสียงในพื้นที่ของพวกมันหน้าตาเฉย
00 แถมเมื่อวันโหวตร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 4 แสนล้าน ฝ่ายค้านก็วอล์กเอาต์ อ้างว่าไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย แต่กลายเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลใช้เสียงข้างมาก ผ่านสามวาระรวด โดยไม่ต้องมีการแปรญัตติตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการเสียอีก ทุด !!
00 รับรู้เรื่องที่ ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ดอดไปต่อรองกับนายกฯเรื่องงบประมาณหลังจากที่ก่อนหน้านี้ ครม.ไฟเขียวแบ่งเค้กให้กับกระทรวงท่องเที่ยวของชาติไทยพัฒนา กับมหาดไทยของภูมิใจไทย รวมกันกว่า 4 พันล้าน แต่เมื่อตัวเองไม่ได้ ก็ต้องโวยบ้าง แม้จะเข้าใจได้ถึงสภาพการเมืองเก่าๆ แต่สำหรับนายกฯอภิสิทธิ์ ต้องระวัง เพราะสังคมเริ่มเขม้นมองตาไม่กระพริบแล้ว
00 ดังนั้นหนทางที่เหลืออยู่ ยังพอจะหวังได้บ้างก็เห็นทีมีแต่วุฒิสภาเท่านั้น ซึ่งจะต้องพิจารณากลั่นกรองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หวังว่าจะทำหน้าที่ให้เข้มข้นกว่าส.ส. “น้ำเน่า” อย่างน้อยต้องชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่า มี “หมกเม็ด” อย่างไร และเจตนาจะให้“ใครเข้มแข็ง” กันแน่
00 อย่างไรก็ดี คงจะได้เห็นบทบาทของสมาชิกสภาสูง โดยเฉพาะ 40 ส.ว. ที่หลายคนตั้งท่าชำแหละแบบละเอียดยิบ ไล่เรียงกันไปก็ล้วนคนกันเอง อย่าง คำนูณ สิทธิสมาน รสนา โตสิตระกูล หรือ สมชาย แสวงการ เป็นต้น และน่าจับตาเหมือนกันว่า กฎหมายทั้งสองฉบับ จะผ่านไปด้วยคะแนนเสียงจำนวนเท่าไหร่
00 วกมาที่ “ไฟใต้” อีกรอบ แม้ว่าข้อเรียกร้องของพรรคเพื่อไทย เสนอให้เปลี่ยนแปลงคนที่รับผิดชอบดูแลบางส่วน โดยพุ่งไปที่ “ถาวร เสนเนียม” มองตื้นๆ ก็ดูออกว่าเป็นความประสงค์ร้าย ตอกลิ่มให้แตกแยกภายใน แต่ถ้าจะให้ตรงใจแล้วละก็ คนที่สมควรไปที่สุดในเวลานี้ก็คือ รองนายกฯ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และผู้บัญชาการทหารบก “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
00 โดยเฉพาะรายหลังเข้าข่าย “หมดน้ำยา” เข้าไปทุกทีแล้ว เพราะอยู่ในตำแหน่งมาตั้งนานต่อเนื่อง แถมยังมีอำนาจเต็มในฐานะรองผอ.กอ.รมน.ในยุคใหม่ถือว่า “คับฟ้า” แต่ผลงาน “เหลว” หรือประเภท “ท่าดีทีเหลว” หากย้อนดูในอดีตนักรบบางคนเมื่อผิดพลาดกลับมาถึงกับละอายใจจนต้อง “ฮาราคีรี” ตัวเองก็มี แต่ยุคใหม่ เอาแค่แสดงความกล้าหาญรับผิดชอบก็พอแล้ว !!
00 การอภิปรายส่วนใหญ่ยังหาสาระไม่ได้ นอกจากจ้องแต่เล่นเกม “กระจอกๆ” ประเภทขอให้ได้พูดผ่านจอทีวี เพราะคิดว่านี่คือการทำหน้าที่ผู้แทนที่ชาวบ้านเลือกมาแล้วไม่ได้หายเงียบไปไหน กลายเป็นว่าพอถ่ายทอดสดทีไรมีแต่เรื่องวุ่นวายน่ารำคาญทุกที แต่หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็สะท้อนให้เห็นความเป็นจริงว่า คนในพื้นที่เป็นแบบไหนก็เลือก ส.ส.ประเภทนั้นเข้ามา
00 บางคนแทนที่จะเน้นให้เห็นถึงเนื้อหาสาระ หรือตั้งข้อสังเกตให้เห็นว่ารัฐบาลจะกู้เงินมาจำนวนมหาศาลเพื่อมา “แบ่งเค้ก” ให้นักการเมืองในพรรคร่วมฯ ชี้ให้เห็นว่า “ไทยมันจะเข้มแข็ง” ด้วยการกู้เงินมาลงทุนอย่างไร แต่นี่กลับฉวยโอกาสใช้ค่าน้ำค่าไฟชาวบ้านไปชื่นชม “พ่อแม้ว” หรือหาเสียงในพื้นที่ของพวกมันหน้าตาเฉย
00 แถมเมื่อวันโหวตร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 4 แสนล้าน ฝ่ายค้านก็วอล์กเอาต์ อ้างว่าไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย แต่กลายเป็นการเปิดช่องให้รัฐบาลใช้เสียงข้างมาก ผ่านสามวาระรวด โดยไม่ต้องมีการแปรญัตติตรวจสอบในชั้นกรรมาธิการเสียอีก ทุด !!
00 รับรู้เรื่องที่ ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง รมว.อุตสาหกรรม หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ดอดไปต่อรองกับนายกฯเรื่องงบประมาณหลังจากที่ก่อนหน้านี้ ครม.ไฟเขียวแบ่งเค้กให้กับกระทรวงท่องเที่ยวของชาติไทยพัฒนา กับมหาดไทยของภูมิใจไทย รวมกันกว่า 4 พันล้าน แต่เมื่อตัวเองไม่ได้ ก็ต้องโวยบ้าง แม้จะเข้าใจได้ถึงสภาพการเมืองเก่าๆ แต่สำหรับนายกฯอภิสิทธิ์ ต้องระวัง เพราะสังคมเริ่มเขม้นมองตาไม่กระพริบแล้ว
00 ดังนั้นหนทางที่เหลืออยู่ ยังพอจะหวังได้บ้างก็เห็นทีมีแต่วุฒิสภาเท่านั้น ซึ่งจะต้องพิจารณากลั่นกรองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า หวังว่าจะทำหน้าที่ให้เข้มข้นกว่าส.ส. “น้ำเน่า” อย่างน้อยต้องชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่า มี “หมกเม็ด” อย่างไร และเจตนาจะให้“ใครเข้มแข็ง” กันแน่
00 อย่างไรก็ดี คงจะได้เห็นบทบาทของสมาชิกสภาสูง โดยเฉพาะ 40 ส.ว. ที่หลายคนตั้งท่าชำแหละแบบละเอียดยิบ ไล่เรียงกันไปก็ล้วนคนกันเอง อย่าง คำนูณ สิทธิสมาน รสนา โตสิตระกูล หรือ สมชาย แสวงการ เป็นต้น และน่าจับตาเหมือนกันว่า กฎหมายทั้งสองฉบับ จะผ่านไปด้วยคะแนนเสียงจำนวนเท่าไหร่
00 วกมาที่ “ไฟใต้” อีกรอบ แม้ว่าข้อเรียกร้องของพรรคเพื่อไทย เสนอให้เปลี่ยนแปลงคนที่รับผิดชอบดูแลบางส่วน โดยพุ่งไปที่ “ถาวร เสนเนียม” มองตื้นๆ ก็ดูออกว่าเป็นความประสงค์ร้าย ตอกลิ่มให้แตกแยกภายใน แต่ถ้าจะให้ตรงใจแล้วละก็ คนที่สมควรไปที่สุดในเวลานี้ก็คือ รองนายกฯ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” และผู้บัญชาการทหารบก “พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา”
00 โดยเฉพาะรายหลังเข้าข่าย “หมดน้ำยา” เข้าไปทุกทีแล้ว เพราะอยู่ในตำแหน่งมาตั้งนานต่อเนื่อง แถมยังมีอำนาจเต็มในฐานะรองผอ.กอ.รมน.ในยุคใหม่ถือว่า “คับฟ้า” แต่ผลงาน “เหลว” หรือประเภท “ท่าดีทีเหลว” หากย้อนดูในอดีตนักรบบางคนเมื่อผิดพลาดกลับมาถึงกับละอายใจจนต้อง “ฮาราคีรี” ตัวเองก็มี แต่ยุคใหม่ เอาแค่แสดงความกล้าหาญรับผิดชอบก็พอแล้ว !!