xs
xsm
sm
md
lg

ถกร่วมธปท.19มิ.ย.หวังดูแลค่าบาท เอกชนผวาทุนไหลเข้าเก็งกำไรเพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน- ส.อ.ท.เตรียมพบปะหารือร่วมธปท. 19 มิ.ย.นี้หวังฝากดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเกินไปผวาเงินทุนไหลเข้าทำให้เกิดช่องเก็งกำไร พร้อมให้แก้ปัญหาสภาพคล่องเอสเอ็มอี ด้านเอสเอ็มอีแบงก์ยันอนุมัติไม่ช้าแต่ยอมรับเปิดโอกาสให้บุคคลค้ำประกันแล้วแต่ก็ยังเจอเอ็นพพี แอล

นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า  ขณะนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ทำหนังสือเชิญมายัง ส.อ.ท.เพื่อให้โอกาสได้พบปะกับธปท.ในการหารือถึงนโยบายทางด้านการเงินและภาพรวมเศรษฐกิจในวันที่ 19 มิ.ย.นี้ ซึ่งส.อ.ท.จะเข้าร่วมพบปะและแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับแนวทางการขอความสนับสนุนให้ธปท.ช่วยดูแลค่าเงินบาทของไทยให้สอดคล้องกับภูมิภาค รวมถึงการดูแลสภาพคล่องของเอกชน

ทั้งนี้ ยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมา ค่าเงินบาทไทยมีการแข็งค่าค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับภูมิภาคปัจจุบันเริ่มดีขึ้นระดับหนึ่งและเริ่มนิ่ง ดังนั้นจึงต้องการให้ธปท.ดูแลเนื่องจากยังกังวลว่าเงินทุนจากภายนอกยังมีการไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องอาจมีปัญหากับการเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ซึ่งค่าเงินบาทที่เหมาะสมควรจะอยู่ระดับ 37-38บาทต่อเหรียญสหรัฐและที่สำคัญต้องไม่ผันผวนจนเกินไปและสอดรับกับภูมิภาค

สำหรับปัญหาสภาพคล่องทางธุรกิจโดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) ต้องการให้ธปท.ดูแลกลไกของการปล่อยกู้จากธนาคารพาณิชย์โดยเฉพาะธนาคารของรัฐที่ควรผ่อนปรนเงื่อนไขการค้ำประกันและความเข้มงวดเพื่อให้แหล่งเงินเข้าถึงเอสเอ็มอีให้มากขึ้นเนื่องจากเห็นว่าขณะนี้ปัจจัยเสี่ยงเริ่มลดลงมากหากเทียบกับช่วงที่ผ่านมาเนื่องจากเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัวทำให้คำสั่งซื้อส่วนหนึ่งเริ่มเข้ามา

นายสมมาต ขุนเศรษฐ รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า ค่าเงินบาทไทยแข็งค่ามากเทียบกับภูมิภาคเอเชียทำให้ราคาสินค้าของไทยสูงขึ้นและขีดความสามารถการแข่งขันด้านส่งออกลดต่ำลงซึ่งธปท.ควรหามาตรการดูแลค่าบาทที่ควรจะแยกระหว่างภาคการลงทุนที่แท้จริง(เรียล เซกเตอร์) กับภาคตลาดทุนที่เงินมีการไหลเข้ามาส่งผลให้เกิดการเก็งกำไร

“ เงินทุนไหลเข้าผ่านตลาดหุ้นเราห้ามไม่ได้ทำให้ดีมานด์บาทมีเพิ่มเกิดการเก็งกำไรค่าเงินแต่เงินพวกนี้มาแล้วก็ไปง่าย แต่เรียลเซ็กเตอร์ต้องอยู่และที่สำคัญส่งออกคิดเป็น 70% ของจีดีพีธปท.ควรจะพิจารณาจุดนี้ด้วย”นายสมมาตกล่าว

นายโสฬส  สาครวิศว กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีแบงก์) กล่าวว่า  ปัจจุบันเอสเอ็มอีแบงก์ได้พยายามเร่งรัดการอนุมัติสินเชื่อให้มากขึ้นซึ่งตั้งแต่มี.ค.ถึงขณะนี้ปล่อยไปแล้ว 1 หมื่นล้านบาทและมีแผนจะปล่อยทั้งสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สินเชื่อบางโครงการได้มีการผ่อนผันการค้ำประกันค่อนข้างมากโดยสามารถใช้บุคคลมาค้ำประกันได้แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีจำนวนไม่น้อยที่บุคคลมาค้ำประกันแล้วบุคคลนั้นก็มีปัญหาเช่น มีแบล็คลิสต์เกี่ยวกับบัตราเครดิต จึงไม่สามารถจะอนุมัติได้

“เราเองก็ผ่อนผันให้โดยให้บุคคลค้ำประกันได้แต่ก็มีไม่น้อยเลยที่บุคคลนั้นๆ ก็ติดปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้หรือ เอ็นพีแอลเช่นกัน เช่น มีหนี้บัตรเครดิตไม่ยอมชำระ เป็นหนี้แบงก์ชำระไม่ตามกำหนดประเภทนี้ก็เลยยังเป็นปัญหาเหมือนกัน”นายโสฬสกล่าว

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า เร็วๆนี้จะมีการลงนามร่วมกับบรรษัทค้ำประกันสินเชื่อขนาดย่อม(บสย.) เพื่อร่วมเข้าค้ำประกันสินเชื่อให้กับเอสเอ็มอีส่งออกโดยหลักเกณฑ์ค้ำประกันผ่านการกู้เงินของเอสเอ็มอีแบงก์รายละไม่เกิน 20 ล้านบาท
กำลังโหลดความคิดเห็น