xs
xsm
sm
md
lg

ภูมิปัญญาพันธมิตรฯ

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

พัฒนาการทางการเมืองประเทศไทยวันนี้ มีสิ่งที่สามารถ “จุดประกาย” ปัญญา ควรแก่การนำมา “ปุจฉา-วิสัชนา”กันในหมู่พวกเราชาวพันธมิตรฯ กันอยู่หลายเรื่องทีเดียว

เรื่องที่คิดว่ามีความสำคัญระดับต้นๆ ก็คือเรื่องของ “ภูมิปัญญา” พันธมิตรฯ

ทั้งนี้ หากเราบอกว่า “ต้นไม้พันธมิตรฯ” เป็นไม้พันธุ์ที่โตเร็วมาก ก็คงไม่มีใครปฏิเสธ เพราะเป็นต้นไม้ที่เราปลูกขึ้นมากับมือของเราเอง ด้วยปัญญาตื่นรู้ของเราเอง ในสภาพดินฟ้าอากาศที่เป็นใจ โดยเฉพาะเมื่อระบอบทักษิณกลายเป็นปุ๋ยบำรุงเนื้อดินให้ต้นไม้พันธมิตรฯ เจริญเติบโต แตกกิ่งก้านสาขาครอบคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดิน

แต่ที่มีความหมายมากกว่านั้น ก็คือ ไม่เพียงแต่ต้นไม้นี้จะโตเร็วเท่านั้น แต่ยังได้ผลิดอกออกผลเป็น “ภูมิปัญญา” พวงใหญ่อันประกอบด้วย

1. อุดมการณ์ “การเมืองใหม่” ที่จะเข้าแทนที่การเมืองเก่าอย่างแน่นอน

2. “อำนาจปัญญา” ของชาวพันธมิตรฯ อันเริ่มต้นจากการ “จุดเทียนปัญญา” ปัจจุบันกำลังพัฒนาเป็น “อำนาจกำหนดใหม่” ที่จะเอาชนะอำนาจกำหนดเก่าของการเมืองเก่า

3. “ประชาธิปไตยมวลมหาชน” เป็นระบบ กลไก ทำหน้าที่ขับเคลื่อนกระบวนการใช้อำนาจของ “อำนาจปัญญา” ที่เป็นอำนาจกำหนด/กำกับจากเบื้องล่าง ดังที่ได้ปรากฏออกมาแล้วในรูปของการลงมติในที่ประชุมสภาพันธมิตรฯ และการแสดงฉันทามติในที่ชุมนุมใหญ่พันธมิตรฯ ในเรื่องการตั้งพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 24-25 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ในการตีความ “การเมืองใหม่” ก็คืออุดมการณ์ หรือ “ธง” สำหรับให้ชาวพันธมิตรฯ ยึดมั่น ไม่ย่อท้อ วอกแวก ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาอุปสรรคแสนยากลำบากเพียงใด เพราะมันคือทางออกของประเทศชาติและของคนไทยทุกคน

“อำนาจปัญญา” คือเนื้อหาสาระที่เราจะสร้างให้ใหญ่โตและเข้มแข็ง เพราะมันคือตัวหลักของอำนาจการเมืองใหม่ ต้องทำให้ทรงพลังยิ่งใหญ่สุดที่ใครจะเทียบได้

“ประชาธิปไตยมวลมหาชน” คือระบบ กลไก ที่เราจะพัฒนาให้สมบูรณ์รอบด้าน ในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อเป็นหลักประกันให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน ยังประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน

ทั้งสามสิ่งนี้ คือ “ขุมพลัง”การขับเคลื่อนของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย

ภูมิปัญญาพันธมิตรฯ จึงเป็นภูมิปัญญาที่ทรงพลัง ที่นับวันจะสร้างความเข้มแข็งเกรียงไกรให้แก่พันธมิตรฯ

กระนั้น การเข้าถึงความจริงของภูมิปัญญาพันธมิตรฯ จำเป็นจะต้องใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์เข้าช่วย นั่นคือต้องมองเห็นที่มา ว่ามาจากการเคลื่อนไหวต่อสู้ของพวกเราชาวพันธมิตรฯ นั่นเอง

อีกนัยหนึ่ง มาจากการเคลื่อนไหวต่อสู้อย่างยืดเยื้อยาวนานของชาวพันธมิตรฯ

ทั้งนี้ จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คือการ “จุดเทียนปัญญา”ของแกนนำ ตั้งแต่ต้นปี 2549 (หากนับย้อนจริงๆ ก็ต้องเริ่มจากปลายปี 2548)

แรกเริ่มที่เราเคลื่อนไหว แกนนำพันธมิตรฯ ก็ได้ยึดหลัก “จุดเทียนปัญญา” “เอาธรรมนำหน้า” เป็นตัวตั้ง เดินหน้าวิ่งสู้ฟัดกับระบอบทักษิณแบบ “เจ๊งเป็นเจ๊ง ตายเป็นตาย”

การเริ่มต้นที่ถูกต้อง สามารถสร้างความเข้มแข็งทางปัญญาให้แก่ประชาชน กลายเป็น “มวลชนที่มีปัญญา” มีศักยภาพยิ่งใหญ่ กลายเป็นพลังอำนาจใหม่ ภายใต้การนำของพันธมิตรฯ

นอกจากนี้ ด้วยยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องคือ “สันติอหิงสา” เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างพลิกแพลงยืดหยุ่น มีความถูกต้อง ชอบธรรม สมเหตุสมผลตั้งแต่ต้นจนปลาย

ผลคือ ทำให้สามารถแยกมิตรแยกศัตรูได้ถูกต้อง การยึดเอา “ธรรม” กับ “อธรรม” เป็นเส้นแบ่ง ทำให้พันธมิตรฯ ยืนอยู่ในฝ่ายธรรมอย่างชัดเจน ผู้เข้าร่วมและสนับสนุนจึงประกอบไปด้วยบุคคลและกลุ่มบุคคลจากทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพ ทุกเพศวัย ทุกสถานะสังคม ทุกลัทธิความเชื่อ และทุกนิกายศาสนา ที่รักความเป็นธรรม ยึดมั่นในธรรม ทำให้พันธมิตรฯ กลายเป็นแหล่งรวมของคนดี มีศีลธรรม มีคุณภาพ และศักยภาพที่ “ตื่นรู้” ในเรื่องเดียวกัน ว่าการเมืองเก่าคือต้นตอของหายนะทั้งหลายทั้งปวง จักต้องสร้างการเมืองใหม่ขึ้นมาให้ได้

ทุกคนพากันมารวมกันอยู่ใต้ร่มธงเดียวกันคือ การสร้างการเมืองใหม่ ขึ้นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีนัยของความเป็น “อุดมการณ์” สูงสุด

โดยเนื้อหาก็คือ การสร้างระบบอำนาจกำหนดใหม่ ต่อสู้เอาชนะระบบอำนาจกำหนดเก่า พัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เข้มแข็งและยั่งยืน ยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน เชิดชูไว้ซึ่งชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ ให้มั่นคงสถาพร สอดคล้องกับขั้นตอนพัฒนาการของสังคมไทย คือไม่ล้ำเกินขั้นตอนการพัฒนาของสังคมไทย

ทุกอย่างดำเนินไปอย่างมี “สติ”

โดยเฉพาะการมีหลักนำที่ถูกต้อง คือ ให้ “ประชาชนเป็นเจ้าภาพ” ในการสร้างการเมืองใหม่ ตามคำขวัญที่ว่า “การเมืองใหม่ไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง” อันเป็นจุดเริ่มต้นของระบบประชาธิปไตยมวลมหาชนของพันธมิตรฯ

ทั้งนี้ ระบบประชาธิปไตยมวลมหาชน สาระสำคัญก็คือ มวลมหาชนผู้ตื่นรู้ มีปัญญาเป็นเจ้าของอำนาจกำหนด ใช้อำนาจกำหนดนี้ไปกำกับการใช้อำนาจของแกนนำ เป็นกระบวนการใช้อำนาจ “เบื้องล่าง” กำหนดการใช้อำนาจ “เบื้องบน” โดยผ่านกระบวนการลงมติในที่ประชุมที่แน่นอน เช่น สภาพันธมิตรฯ และการขอฉันทามติในที่ชุมนุมมวลชน เป็นต้น

อันเป็นระบบประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าและใหม่มาก เป็นที่สนใจของวงการเมืองของต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนอย่างมาก

และที่น่าสังเกตคือ แม้แต่นักการเมืองน้ำเน่าในพรรคการเมืองแบบเก่า ยังพยายามเลียนแบบเลย ไม่เชื่อลองไปถาม “คุณเน”ดู
กำลังโหลดความคิดเห็น