xs
xsm
sm
md
lg

การทำงานของอัยการ นับวันยิ่งน่ากังขา!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

วันนี้ก็เป็นอันชัดเจนแล้วว่า คณะสามเกลอหัวขวดที่เป็นแกนนำสำคัญในเหตุการณ์จลาจลเลือด ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา ได้ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้ว เนื่องจากพนักงานอัยการยังไม่สั่งฟ้องคดีภายในกำหนดเวลา

ถ้าเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเดี่ยวๆ โดดๆ หรือเพียงเรื่องเดียวแล้ว ก็ไม่กระไรนัก แต่เมื่อเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนทั้งหลายที่หวังให้บ้านเมืองมีความยุติธรรมจะสบายใจได้อย่างไร

ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนเรื่องราวและกระบวนการทำงานของกระบวนการยุติธรรมชั้นกลาง ซึ่งถือได้ว่าเป็นกลางน้ำของกระบวนการยุติธรรมกันสักครั้งหนึ่ง

อย่างน้อยก็อาจทำให้พนักงานอัยการทั้งหลายที่ยึดมั่นในวิชาชีพและภาระหน้าที่ทนายความแผ่นดิน ได้ร่วมกันคิดอ่านว่าจะทำประการใด จึงจะทำให้ศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของสถาบันอัยการเป็นที่ศรัทธาเชื่อมั่นของประชาชนสืบไป

ในพลันที่ข่าวคราวพนักงานอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องคดีได้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด และต้องปล่อยคณะสามเกลอหัวขวดให้พ้นไปจากอำนาจการควบคุมตามกฎหมาย ก็เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่า “อัยการเอาอีกแล้ว” ซึ่งจะมีความหมายประการใดนั้น ขอสาธุชนทั้งหลายได้พิจารณาตีความกันเอาเองก็แล้วกัน

อันคดีอาญานั้น เมื่อพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้แล้ว ก็จะต้องนำไปฝากขังต่อศาล และมีระยะเวลาขออนุญาตฝากขังต่อศาลได้ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ จากนั้นพนักงานสอบสวนก็จะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดี

ในกรณีพนักงานสอบสวนเห็นควรสั่งฟ้องคดี ก็จะส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการเพื่อฟ้องคดีต่อศาล ซึ่งปกติพนักงานอัยการก็จะพิจารณาและสั่งฟ้องในวันนั้น หรือถ้าเป็นเรื่องยุ่งยากก็อาจจะขยายเวลาสั่งฟ้องออกไป แล้วรับผู้ต้องหาไว้ในความควบคุมของพนักงานอัยการ โดยจะต้องขออนุมัติฝากขังต่อศาลเช่นเดียวกัน

กรณีคณะสามเกลอหัวขวดก็เป็นเช่นนี้ เพราะพนักงานสอบสวนสั่งฟ้อง แล้วส่งผู้ต้องหาพร้อมสำนวนให้พนักงานอัยการ แต่ไม่สามารถสั่งฟ้องในวันนั้นได้ จึงเลื่อนเวลาสั่งฟ้องไปในวันอื่น โดยขออนุญาตศาลควบคุมตัว ซึ่งศาลอนุญาตให้ประกันตัวไป

แต่เมื่อครบระยะเวลาที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาแล้ว ปรากฏว่าพนักงานอัยการยังไม่สั่งฟ้องคดี โดยอ้างว่าผู้ต้องหาร้องขอความเป็นธรรม ขอให้สอบพยานเพิ่มเติม เมื่อเป็นดังนี้จึงไม่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาได้อีกต่อไป และต้องปล่อยตัวไปเป็นอิสระ คณะสามเกลอหัวขวดจึงเป็นอันได้รับอิสรภาพ เพราะพนักงานอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องคดีได้ตามเวลาที่กฎหมายบัญญัติ

เป็นกรณีอย่างเดียวกันกับคดีของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่มีกระบวนการและการดำเนินงานในลักษณะนี้ และถึงวันนี้นายจักรภพ เพ็ญแข ก็หลบหนีไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ กลายเป็นว่ากฎหมายไม่สามารถบังคับกับนายจักรภพ เพ็ญแข ได้

และเรื่องแบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้อีก นั่นคือในคดีก่อการจลาจลหน้าบ้านประธานองคมนตรี ซึ่งใครๆ ก็รู้ ใครๆ ก็เห็นว่าใครก่อการจลาจล ว่าใครกระทำความผิด และเป็นความผิดที่เกิดความเสียหายใหญ่หลวงแก่บ้านเมือง

ปรากฏว่าในคดีนั้นก็ไม่สามารถสั่งฟ้องคดีได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จึงต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด และในที่สุดก็มีการสั่งไม่ฟ้อง โดยอ้างว่าไม่มีพยานหลักฐานว่าผู้ต้องหากระทำความผิด

ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก เพราะการอ้างว่าไม่มีพยานหลักฐานนั้นหมายความว่าอะไร?

หมายความว่าไม่มีการกระทำความผิดใดๆ เกิดขึ้น จึงย่อมไม่มีพยานหลักฐาน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะกรณีดังกล่าวนั้นมีการจลาจลเกิดขึ้นใจกลางพระนคร หน้าบ้านบุคคลสำคัญคือประธานองคมนตรี จึงไม่ใช่กรณีที่ไม่มีความผิดเกิดขึ้น และไม่มีพยานหลักฐาน

กรณีเป็นเรื่องที่ไม่หาพยานหลักฐาน หรือหาพยานหลักฐานแบบขาดตกบกพร่องต่างหาก ซึ่งกรณีเช่นนี้ก็ต้องดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่อย่างน้อยที่สุดเมื่อรู้เห็นกันอยู่ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง หากพยานหลักฐานในสำนวนไม่เพียงพอ ก็สามารถตั้งประเด็นให้ฝ่ายตำรวจสอบสวนเพิ่มเติมได้ หรือจะเรียกพยานหลักฐานมาสอบสวนเองก็ยังได้

การที่มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นแล้วไม่สามารถหาพยานหลักฐานหรือละเลยเพิกเฉยไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ เพื่อนำพยานหลักฐานเข้าสู่สำนวนความ ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 คือ กระทำการเพื่อให้การช่วยเหลือผู้กระทำความผิดไม่ให้ต้องรับโทษในคดีอาญา ย่อมมีโทษจำคุกตลอดชีวิต

แต่สำนวนก็จบสิ้นไป หายไปกับสายลมและสายน้ำ แต่นั่นคือการทำลายความยุติธรรมในบ้านเมือง ทำลายขื่อแปบ้านเมืองและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ที่สำคัญคือทำลายความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรม ทั้งเบื้องต้น และเบื้องกลาง

หมายความว่าต้นสายธารและกลางสายธารแห่งกระบวนการยุติธรรมขุ่นมัวสกปรก ไม่สามารถประสาธน์ความยุติธรรมในบ้านเมืองได้

นี่แหละคือต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนผิดคิดชั่วทั้งหลายไม่กลัวอำนาจรัฐ ไม่กลัวความยุติธรรม ไม่กลัวกฎหมาย เพราะต่อให้ทำผิดโต้งๆ ใจกลางเมือง แต่กระบวนการยุติธรรมที่เป็นปัญหากลับสามารถปกป้องคุ้มครองคนกระทำความผิดให้พ้นผิดและลอยนวลต่อไปได้อย่างหน้าตาเฉย

เมื่อเป็นอย่างนี้กฎหมายก็ใช้บังคับไม่ได้ ในที่สุดสักวันหนึ่งเมื่อคนทั้งหลายเห็นว่าพึ่งพาอาศัยกฎหมายไม่ได้ ก็ย่อมหันไปพึ่งพากฎแห่งป่า คือใครมีกำลังก็จัดการป้องกันสิทธิของตนเอาตามอำเภอใจเอง หรือลงโทษเอากับผู้ที่ตนเห็นว่าทำให้ตนเสียหาย ด้วยกำลังอำนาจของตนเอง

เมื่อใดที่คนทั้งหลายหันไปใช้กฎแห่งป่าแทนกฎหมายแล้ว เมื่อนั้นบ้านเมืองก็ย่อมเป็นกลียุค ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐบาล ของรัฐสภา ตลอดจนองค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจทั้งหลายที่จะต้องหันมาพิจารณาเรื่องนี้กันเสียทีหนึ่ง

เพื่อป้องกันไม่ให้คนทั้งหลายหันมาใช้กฎแห่งป่าแทนกฎหมาย อันจะก่อให้เกิดกลียุคขึ้นในบ้านเมือง

การที่พนักงานอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องคดีได้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด จนต้องปล่อยผู้ต้องหา และไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาที่คดีอาจพิจารณาสั่งฟ้องแล้ว จะได้ตัวผู้ต้องหามาดำเนินคดีหรือไม่นั้น อาจเป็นได้ทั้งผิดกฎหมายและไม่ผิดกฎหมาย

จะไม่เป็นความผิดตามกฎหมายถ้าหากกรณีมีข้อเท็จจริงและเหตุผลอย่างเพียงพอว่า สำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมานั้นบกพร่องไม่สมบูรณ์ จำเป็นที่จะต้องสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม และได้ดำเนินการอย่างเต็มที่แล้ว แต่ไม่ทันเวลา

ในกรณีเช่นว่านี้ จะให้เรื่องผ่านไปเฉยๆ กระนั้นหรือ? ย่อมเป็นหน้าที่ของสถาบันอัยการอันเป็นทนายความแผ่นดินที่จะต้องรายงานรัฐบาลให้ทราบถึงความบกพร่องของพนักงานสอบสวน ที่ทำสำนวนมีช่องโหว่ขาดตกบกพร่อง ซึ่งอาจทำให้คนผิดหลุดรอดความรับผิดหรืออาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องถูกลงโทษ ซึ่งเป็นเรื่องไม่เป็นธรรมทั้งสิ้น เพื่อให้รัฐบาลได้จัดการเอาคนที่ใช้ไม่ได้แบบนี้ออกไปเสียจากอำนาจหน้าที่

ในขณะเดียวกัน ก็ยังต้องกล่าวโทษให้มีการสอบสวนว่าการทำสำนวนบกพร่องผิดพลาดเช่นนั้นเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในทางยุติธรรมโดยมิชอบหรือไม่ หรือว่าเป็นการจงใจปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหา หรือผู้กระทำความผิดไม่ให้ต้องรับโทษอาญากันแน่

ถ้ามีการทำอย่างนี้ ก็จะทำให้กระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นได้รับการตรวจสอบจากกระบวนการยุติธรรมขั้นกลาง ซึ่งจะมีผลทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ขื่อแปของบ้านเมืองมั่นคง ทำให้คนทั้งหลายหวังได้ในความยุติธรรม

แต่การไม่สั่งฟ้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดก็อาจเป็นความผิดทางอาญาได้ ถ้าหากมีพฤติกรรมหรือข้อเท็จจริงว่าเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ หรือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ถ่วงรั้งคดีโดยไม่ชอบ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาไม่ให้ต้องรับโทษหรือให้รับโทษน้อยลง ก็จะเป็นความผิดต่อกระบวนการยุติธรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 เช่นเดียวกัน นั่นคือผู้กระทำความผิดย่อมมีโทษจำคุกตลอดชีวิต

เหตุการณ์เกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า แต่ความจริงก็ไม่กระจ่าง ทั้งๆ ที่การกระทำความผิดปรากฏชัดต่อสาธารณะ เป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นใจกลางเมืองหลวง แต่ผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิดบ้างก็หลุดพ้นความผิดไปแล้ว บ้างก็พ้นไปจากการควบคุมของเจ้าหน้าที่แล้ว ท่ามกลางความกังขาและความไม่สบายใจของคนไทยจำนวนมาก

การที่คนขาดความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมเป็นอันตรายร้ายแรงต่อความมั่นคงปลอดภัยของชาติ กรณีจึงอาจจำเป็นต้องตรวจสอบการทำงานของพนักงานอัยการ และเป็นเรื่องที่รัฐบาล ตลอดจนองค์กรที่มีหน้าที่ตรวจสอบต่างๆ ต้องใส่ใจดำเนินการเรื่องนี้

เพื่อคลายข้อสงสัยของประชาชน เพื่อรักษาความศรัทธาเชื่อถือต่อสถาบันอัยการ และขณะเดียวกันก็เพื่อกำจัดคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจในบ้านเมือง.
กำลังโหลดความคิดเห็น