เอเอฟพี – เครื่องบินของสายการบินโลว์คอสต์ในออสเตรเลีย เกิดไฟไหม้ในห้องนักบินขณะอยู่กลางอากาศ ทำให้ต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉินบนเกาะแห่งหนึ่งในมหาสมุทรแปซิฟิกเมื่อวานนี้ (12) โดยปรากฏว่าเป็นเครื่องบินแอร์บัส A330 แบบเดียวกับของแอร์ฟรานซ์ ที่เพิ่งเกิดอุบัติเหตุตกกลางมหาสมุทรแอตแลนติกโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีผู้เสียชีวิตไปถึง 228 ราย
เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบินที่ JQ20 ของสายการบินเจ๊ตสตาร์ ซึ่งอยู่ในเครือของสายการบินแควนตัสแห่งออสเตรเลีย ได้นำเครื่องออกจากสนามบินนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น มุ่งตรงไปยังเมืองโกลด์โคสต์ ประเทศออสเตรเลีย แต่หลังจากที่นำเครื่องขึ้นไปได้ราว 4 ชั่วโมง ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในห้องนักบินจนกัปตันต้องใช้เครื่องดับเพลิงระงับเหตุแล้วเปลี่ยนเส้นทางบิน นำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่เกาะกวมแทน
เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องแอร์บัส A330-200 ซึ่งเป็นรุนเดียวกับเครื่องบินของแอร์ฟรานซ์ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุตกกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้โดยสารบนเครื่องของเจ๊ตสตาร์มีทั้งหมด 203 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น และโชคดีที่ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดปลอดภัย
“กัปตันเห็นประกายไฟลุกทางหน้าต่างด้านขวา จึงใช้เครื่องดับเพลิงดับได้ทัน” บรูซ บุคานัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจ๊ตสตาร์ กล่าวชมเชยนักบิน
ทั้งนี้ ในรอบ 24 ชั่วโมงปรากฏว่ามีเครื่องบินของแอร์บัสต้องขอนำเครื่องลงฉุกเฉินทั้งหมด 3 ลำด้วยกัน โดยนอกจากเครื่องของเจ๊ตสตาร์ดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีเครื่องบิน A320 ของสายการบินแอโรฟล็อต ของรัสเซียซึ่งนำเครื่องลงฉุกเฉินในไซบีเรียเนื่องจากพบรอยร้าวบนกระจกด้านหน้า
นอกจากนั้น เครื่องบิน A320 อีกลำหนึ่งของสายการบินไอเบอร์เวิร์ลด์ของสเปน ก็ต้องนำเครื่องกลับไปลงที่สนามบินลาส ปาลมาส บนเกาะคานารี ที่เพิ่งเดินทางออกมา ในวันพุธ (11) เนื่องจากพบปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง ทั้งสองเหตุการณ์ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยทางอากาศของออสเตรเลียได้ออกเดินทางไปยังเกาะกวมเพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดไหม้บนเครื่องเจ๊ตสตาร์แล้ว ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือเดินทางกลับด้วยเครื่อง A330 อีกลำหนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินรายหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเกิดไฟลัดวงจรที่ระบบทำความร้อนที่หน้าต่างห้องนักบิน ทว่าปัญหาดังกล่าวไม่ควรจะเกิดขึ้น จึงต้องหาสาเหตุให้ชัดเจน
นอกจากนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบ 18 เดือน ที่เกิดเหตุไฟไหม้ในห้องนักบินจนเครื่องบินในเครือของแควนตัสต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉิน และนับเป็นโชคดีที่ควันและเปลวไฟอยู่ในบริเวณที่มองเห็นได้และสามารถจัดการดับได้ทัน
ทางด้านแอร์บัสนั้นได้เรียกร้องให้เข้มงวดกับเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นหลังจากที่เครื่อง A330 ของแอร์ฟรานซ์เกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ทีมงานสอบสวนหาสาเหตุกรณีแอร์ฟรานซ์ตกตลอดจนผู้สังเกตการณ์ ดูเหมือนจะสนใจประเด็นที่ว่า อุปกรณ์ตรวจวัดความเร็วเครื่องบินอาจจะถูกน้ำแข็งจับเคลือบจนอ่านค่าผิดพลาด เป็นเหตุให้นักบินใช้ความเร็วในระดับอันตราย พาเครื่องบินฝ่าพายุขนาดรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ปิแยร์ อองรี กูร์ชง ซีอีโอของแอร์ฟรานซ์ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า แอร์ฟรานซ์เองยังไม่ได้มั่นอกมั่นใจว่า อุปกรณ์ตรวจวัดความเร็วดังกล่าวคือสาเหตุของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
เครื่องบินโดยสารในเที่ยวบินที่ JQ20 ของสายการบินเจ๊ตสตาร์ ซึ่งอยู่ในเครือของสายการบินแควนตัสแห่งออสเตรเลีย ได้นำเครื่องออกจากสนามบินนครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น มุ่งตรงไปยังเมืองโกลด์โคสต์ ประเทศออสเตรเลีย แต่หลังจากที่นำเครื่องขึ้นไปได้ราว 4 ชั่วโมง ก็เกิดเพลิงไหม้ขึ้นในห้องนักบินจนกัปตันต้องใช้เครื่องดับเพลิงระงับเหตุแล้วเปลี่ยนเส้นทางบิน นำเครื่องลงจอดฉุกเฉินที่เกาะกวมแทน
เครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องแอร์บัส A330-200 ซึ่งเป็นรุนเดียวกับเครื่องบินของแอร์ฟรานซ์ที่เพิ่งประสบอุบัติเหตุตกกลางมหาสมุทรแอตแลนติกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้โดยสารบนเครื่องของเจ๊ตสตาร์มีทั้งหมด 203 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่น และโชคดีที่ผู้โดยสารและลูกเรือทั้งหมดปลอดภัย
“กัปตันเห็นประกายไฟลุกทางหน้าต่างด้านขวา จึงใช้เครื่องดับเพลิงดับได้ทัน” บรูซ บุคานัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจ๊ตสตาร์ กล่าวชมเชยนักบิน
ทั้งนี้ ในรอบ 24 ชั่วโมงปรากฏว่ามีเครื่องบินของแอร์บัสต้องขอนำเครื่องลงฉุกเฉินทั้งหมด 3 ลำด้วยกัน โดยนอกจากเครื่องของเจ๊ตสตาร์ดังกล่าวนี้แล้ว ยังมีเครื่องบิน A320 ของสายการบินแอโรฟล็อต ของรัสเซียซึ่งนำเครื่องลงฉุกเฉินในไซบีเรียเนื่องจากพบรอยร้าวบนกระจกด้านหน้า
นอกจากนั้น เครื่องบิน A320 อีกลำหนึ่งของสายการบินไอเบอร์เวิร์ลด์ของสเปน ก็ต้องนำเครื่องกลับไปลงที่สนามบินลาส ปาลมาส บนเกาะคานารี ที่เพิ่งเดินทางออกมา ในวันพุธ (11) เนื่องจากพบปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้อง ทั้งสองเหตุการณ์ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยทางอากาศของออสเตรเลียได้ออกเดินทางไปยังเกาะกวมเพื่อสอบสวนหาสาเหตุที่เกิดไหม้บนเครื่องเจ๊ตสตาร์แล้ว ส่วนผู้โดยสารและลูกเรือเดินทางกลับด้วยเครื่อง A330 อีกลำหนึ่ง
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินรายหนึ่งตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะเกิดไฟลัดวงจรที่ระบบทำความร้อนที่หน้าต่างห้องนักบิน ทว่าปัญหาดังกล่าวไม่ควรจะเกิดขึ้น จึงต้องหาสาเหตุให้ชัดเจน
นอกจากนั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบ 18 เดือน ที่เกิดเหตุไฟไหม้ในห้องนักบินจนเครื่องบินในเครือของแควนตัสต้องนำเครื่องลงจอดฉุกเฉิน และนับเป็นโชคดีที่ควันและเปลวไฟอยู่ในบริเวณที่มองเห็นได้และสามารถจัดการดับได้ทัน
ทางด้านแอร์บัสนั้นได้เรียกร้องให้เข้มงวดกับเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นหลังจากที่เครื่อง A330 ของแอร์ฟรานซ์เกิดอุบัติเหตุ ขณะที่ทีมงานสอบสวนหาสาเหตุกรณีแอร์ฟรานซ์ตกตลอดจนผู้สังเกตการณ์ ดูเหมือนจะสนใจประเด็นที่ว่า อุปกรณ์ตรวจวัดความเร็วเครื่องบินอาจจะถูกน้ำแข็งจับเคลือบจนอ่านค่าผิดพลาด เป็นเหตุให้นักบินใช้ความเร็วในระดับอันตราย พาเครื่องบินฝ่าพายุขนาดรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ปิแยร์ อองรี กูร์ชง ซีอีโอของแอร์ฟรานซ์ กล่าวเมื่อวานนี้ว่า แอร์ฟรานซ์เองยังไม่ได้มั่นอกมั่นใจว่า อุปกรณ์ตรวจวัดความเร็วดังกล่าวคือสาเหตุของโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน
