หากพิจารณาสถานการณ์ชายแดนใต้จนถึงวันนี้ ถือได้ว่ามาถึงจุด “หัวเลี้ยวหัวต่อ” สำคัญอีกรอบ นั่นคือจะก้าวข้าม “ปลัก” ความเลวร้ายในอดีตไปสู่ความรุ่งโรจน์ในยุคใหม่ ที่ชาวบ้านหันมาร่วมมือกับภาครัฐเพื่อพัฒนาไปสู่ความสงบยั่งยืนในวันหน้า
หรืออีกด้านหนึ่งจะ “ดำดิ่ง” ลงไปสู่หายนะ ที่มองไม่เห็นอนาคตเลยแม้แต่น้อย เป็นทางสองแพร่งที่กำลังเผชิญ และเลือกเดิน !!
เหตุการณ์ที่คนร้ายกราดยิงเข้าไปมัสยิดบ้านไอปาแย ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ศพ และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อสามสี่วันก่อนถูกมองว่าเป็นการ “จงใจ” เพื่อสร้างสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปอีก เข้าขั้น “มิคสัญญี”ให้ได้
จงใจให้เกิดความหวาดระแวงระหว่าง ไทยพุทธ-มุสลิม ระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่
ซึ่งหากมองในแง่ดีก็อาจเป็นเพราะกลุ่มโจร “ใกล้จนมุม” จึงต้องเลือกใช้วิธีแบบนี้ก็ได้
ที่ผ่านมาหากพิจารณากันในความเป็นจริง ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ สถิติการ “ลอบฆ่า” หรือก่อเหตุรายวันลดน้อยลง ประเภทปิดเมืองลอบวางระเบิดแทบไม่มีให้เห็น หรือการชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่ การปิดถนน ก็ไม่ปรากฏนานมาแล้ว
หลังจากที่รัฐบาลได้นำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา” มาใช้ในพื้นที่อย่างเข้มข้น และเกาะติดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ให้ช่วยเข้ามาพัฒนาระบบการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนสอนศาสนา มีการปรับระบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกัน เพื่อให้นักเรียนที่จบออกมาแล้วสามารถเรียนต่อ หรือหางานทำได้
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ก็ได้นำทูตประเทศมุสลิม ลงพื้นที่พบปะกับประชาชน สร้างสัมพันธ์ในมิติใหม่ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันมีการปรับปรุงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งการสาธารณสุข ด้านอาชีพ รายได้ พัฒนาถนนหนทาง ฯลฯ มีการทุ่มเทงบประมาณลงไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้ได้เตรียมงบประมาณเอาไว้สำหรับพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 6.8 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะรัฐมนตรีภาคใต้เป็นการเฉพาะ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปจับมือแก้ปัญหา เช่น ศึกษาธิการ สาธารณสุข เกษตรและสหกรณ์ มหาดไทย และกลาโหม มอบอำนาจให้ รองนายกฯด้านความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ไปดูแล
พร้อมทั้งยังได้แต่งตั้งให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ถาวร เสนเนียม ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานรวบรวมปัญหาในพื้นที่ไปให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา หรือรายงานให้คณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ได้รับทราบ
ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าหากให้กล่าวอย่างตรงไปตรงมารัฐมนตรีภาคใต้ก็ไม่ได้สร้างผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สร้างเงื่อนไขเพิ่ม
แต่จู่ๆในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุร้ายอย่างรุนแรงขึ้นอย่าง “ผิดสังเกต” และคราวนี้หันมามุ่งเน้นชีวิตครู หันกลับมาลอบวางระเบิดในเมือง เน้นเป้าหมายเฉพาะจุดสำคัญทางเศรษฐกิจ
ล่าสุดก็กราดยิงเข้าใส่มัสยิด ซึ่งเป็นศาสนสถาน เป็นศูนย์รวมจิตใจจงใจโหมกระพือให้เกิดความรุนแรงต่อเนื่องตามมา
อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่ง ในมุมที่เกิดความระแวงก็ย่อมเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่า มีเจ้าหน้าที่บางกลุ่มที่จะได้รับผลประทบจากการปรับเปลี่ยนนโยบาย หรือไฟใต้สงบ เพราะจะหันทุ่มเทงบประมาณไปทางด้านการ “พัฒนา” เป็นหลัก
เพราะจากท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีก็เริ่มปรากฏชัดแล้วว่า เตรียมปรับเปลี่ยนนโยบายทางด้านความมั่นคงเสียใหม่ แล้วหันมาทุ่มเททางด้าน “การเมืองนำการทหาร” ที่สำคัญยังได้แสดงออกอย่างชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้ว่าจะทบทวนการต่ออายุประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนใต้ในทุก 3 เดือน
หมายความว่าจะไม่ต่ออายุให้อีกแล้ว โดยอาจใช้กฎหมายอื่นที่เหมาะสมต่อไป
หากพิจารณาในมุมนี้ก็ย่อมมีผลกระทบกับเจ้าหน้าที่ระดับ “บิ๊ก” “บางกลุ่ม” ที่ได้ประโยชน์จากงบประมาณ ประเภทที่เคยได้รับการอุดหนุนก็จะเบาบางลงไป
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นาทีนี้นายกรัฐมนตรีต้องลงมาบูรณาการแก้ปัญหาโดยตรง เพราะที่ผ่านมาถือว่า “ยุทธศาสตร์” เดินมาถูกต้องแล้ว ที่เหลือเพียงแค่ปลีกย่อยที่ต้องเน้นย้ำให้เดินตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
ที่สำคัญอย่ามือให้ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จับมือกันลุยถั่วแก้ปัญหามากนัก เพราะหากสังเกตให้ดีแทบทุกปัญหาหากให้สองคนนี้ดูแลเป็นได้เรื่องทุกที !!
หรืออีกด้านหนึ่งจะ “ดำดิ่ง” ลงไปสู่หายนะ ที่มองไม่เห็นอนาคตเลยแม้แต่น้อย เป็นทางสองแพร่งที่กำลังเผชิญ และเลือกเดิน !!
เหตุการณ์ที่คนร้ายกราดยิงเข้าไปมัสยิดบ้านไอปาแย ตำบลจวบ อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิต 11 ศพ และได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก เมื่อสามสี่วันก่อนถูกมองว่าเป็นการ “จงใจ” เพื่อสร้างสถานการณ์ยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นไปอีก เข้าขั้น “มิคสัญญี”ให้ได้
จงใจให้เกิดความหวาดระแวงระหว่าง ไทยพุทธ-มุสลิม ระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่
ซึ่งหากมองในแง่ดีก็อาจเป็นเพราะกลุ่มโจร “ใกล้จนมุม” จึงต้องเลือกใช้วิธีแบบนี้ก็ได้
ที่ผ่านมาหากพิจารณากันในความเป็นจริง ก็ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ดีขึ้นเป็นลำดับ สถิติการ “ลอบฆ่า” หรือก่อเหตุรายวันลดน้อยลง ประเภทปิดเมืองลอบวางระเบิดแทบไม่มีให้เห็น หรือการชุมนุมประท้วงเจ้าหน้าที่ การปิดถนน ก็ไม่ปรากฏนานมาแล้ว
หลังจากที่รัฐบาลได้นำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา” มาใช้ในพื้นที่อย่างเข้มข้น และเกาะติดอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย ให้ช่วยเข้ามาพัฒนาระบบการศึกษา โดยเฉพาะในโรงเรียนสอนศาสนา มีการปรับระบบการเรียนการสอนให้สอดคล้องกัน เพื่อให้นักเรียนที่จบออกมาแล้วสามารถเรียนต่อ หรือหางานทำได้
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ ก็ได้นำทูตประเทศมุสลิม ลงพื้นที่พบปะกับประชาชน สร้างสัมพันธ์ในมิติใหม่ อย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันมีการปรับปรุงด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งการสาธารณสุข ด้านอาชีพ รายได้ พัฒนาถนนหนทาง ฯลฯ มีการทุ่มเทงบประมาณลงไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะรัฐบาลชุดนี้ได้เตรียมงบประมาณเอาไว้สำหรับพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 6.8 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะรัฐมนตรีภาคใต้เป็นการเฉพาะ มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปจับมือแก้ปัญหา เช่น ศึกษาธิการ สาธารณสุข เกษตรและสหกรณ์ มหาดไทย และกลาโหม มอบอำนาจให้ รองนายกฯด้านความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ไปดูแล
พร้อมทั้งยังได้แต่งตั้งให้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ถาวร เสนเนียม ทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานรวบรวมปัญหาในพื้นที่ไปให้แต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา หรือรายงานให้คณะรัฐมนตรีชุดใหญ่ได้รับทราบ
ทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอย มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าหากให้กล่าวอย่างตรงไปตรงมารัฐมนตรีภาคใต้ก็ไม่ได้สร้างผลงานเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สร้างเงื่อนไขเพิ่ม
แต่จู่ๆในช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุร้ายอย่างรุนแรงขึ้นอย่าง “ผิดสังเกต” และคราวนี้หันมามุ่งเน้นชีวิตครู หันกลับมาลอบวางระเบิดในเมือง เน้นเป้าหมายเฉพาะจุดสำคัญทางเศรษฐกิจ
ล่าสุดก็กราดยิงเข้าใส่มัสยิด ซึ่งเป็นศาสนสถาน เป็นศูนย์รวมจิตใจจงใจโหมกระพือให้เกิดความรุนแรงต่อเนื่องตามมา
อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่ง ในมุมที่เกิดความระแวงก็ย่อมเป็นไปได้เช่นเดียวกันว่า มีเจ้าหน้าที่บางกลุ่มที่จะได้รับผลประทบจากการปรับเปลี่ยนนโยบาย หรือไฟใต้สงบ เพราะจะหันทุ่มเทงบประมาณไปทางด้านการ “พัฒนา” เป็นหลัก
เพราะจากท่าทีล่าสุดของนายกรัฐมนตรีก็เริ่มปรากฏชัดแล้วว่า เตรียมปรับเปลี่ยนนโยบายทางด้านความมั่นคงเสียใหม่ แล้วหันมาทุ่มเททางด้าน “การเมืองนำการทหาร” ที่สำคัญยังได้แสดงออกอย่างชัดเจนมาก่อนหน้านี้แล้ว่าจะทบทวนการต่ออายุประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดนใต้ในทุก 3 เดือน
หมายความว่าจะไม่ต่ออายุให้อีกแล้ว โดยอาจใช้กฎหมายอื่นที่เหมาะสมต่อไป
หากพิจารณาในมุมนี้ก็ย่อมมีผลกระทบกับเจ้าหน้าที่ระดับ “บิ๊ก” “บางกลุ่ม” ที่ได้ประโยชน์จากงบประมาณ ประเภทที่เคยได้รับการอุดหนุนก็จะเบาบางลงไป
ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นาทีนี้นายกรัฐมนตรีต้องลงมาบูรณาการแก้ปัญหาโดยตรง เพราะที่ผ่านมาถือว่า “ยุทธศาสตร์” เดินมาถูกต้องแล้ว ที่เหลือเพียงแค่ปลีกย่อยที่ต้องเน้นย้ำให้เดินตามอย่างเคร่งครัดเท่านั้น
ที่สำคัญอย่ามือให้ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ กับ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก จับมือกันลุยถั่วแก้ปัญหามากนัก เพราะหากสังเกตให้ดีแทบทุกปัญหาหากให้สองคนนี้ดูแลเป็นได้เรื่องทุกที !!