xs
xsm
sm
md
lg

โหมไฟใต้ยกระดับปัญหาสู่สากล

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (www.deepsouthwatch.org) ออกบทวิเคราะห์สถานการณ์ชายแดนภาคใต้ภายหลังเกิดเหตุการณ์รุนแรงระดับช็อกคนทั้งประเทศ โดยชี้ให้เห็นสถิติตลอด 5 ปีที่ผ่านมาว่าในเดือนมิ.ย.ของทุกปีแนวโน้มการก่อเหตุรุนแรงจะพุ่งสูงขึ้น เชื่อมโยงสร้างสถานการณ์ต่อรองทางการเมืองระหว่างประเทศรับการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศมุสลิม (OIC) หวังยกระดับปัญหาสู่สากลและบีบให้ดึงมาเลเซียเป็นตัวกลางเปิดช่องเจรจาระหว่างทางการไทยกับขบวนการติดอาวุธ ขณะที่ปัจจัยภายในยังเป็นเชื้อไฟชั้นดี

เหตุการณ์การกราดยิงในมัสยิดที่ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อดึกวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ช็อกความรู้สึกคนทั้งประเทศ ต่อเนื่องจากการวางระเบิดคาร์บอมบ์กลางอ.ยี่งอ จ.นราธิวาส และการสังหารครูหลายครั้งหลายหน หรือล่าสุดการก่อเหตุหลายจุดกลางเมืองยะลา เมื่อวานนี้ (9 มิ.ย.) แม้จะต่างพื้นที่และรูปแบบ แต่การเกิดเหตุรุนแรงต่อเนื่องล้วนเป็นแนวโน้มสถานการณ์ที่ต้องการคำอธิบายโดยภาพรวม

ความเห็นจากฝ่ายกองทัพ มองว่า ปรากฏการณ์ทำนองนี้เป็นฝีมือของ “ฝ่ายตรงกันข้าม” เพื่อยกระดับความขัดแย้งในพื้นที่ที่คลี่คลายลงไป แต่คำอธิบายนี้ไม่เป็นการยืนยันด้วยตัวของมันเองเพราะทั้งที่มีกำลังทหารเต็มพื้นที่แต่เหตุการณ์รุนแรงก็ยังเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน

ส่วน นัจมุดดีน อูมา ส.ส.พรรคเพื่อไทย อธิบายว่า เหตุความรุนแรงหลายครั้งในระยะนี้ชัดเจนว่าเกิดจากฝีมือของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ทั้งชุดเหตุการณ์ที่ยะลา หรือแม้แต่การวางระเบิดรถยนต์ที่ยี่งอ แต่กรณีสังหารในมัสยิด มีการตั้งคำถามจากผู้คนในชุมชนว่าเป็นฝีมือของใคร ?

“ทางการต้องให้คำตอบกับพวกเขา” นัจมุดดีน กล่าว

สิ่งที่เขากังวลคือแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะเข้าร่องรอยเดิมที่เคยเกิดขึ้นที่ยะลาเมื่อสองสามปีก่อน นั่นคือ การใช้ความรุนแรงตอบโต้กัน โดยทางการไม่สามารถให้ความกระจ่างแจ้งได้ สิ่งที่ นัจมุดดีน เรียกร้องต่อรัฐบาลหาได้มีเพียงการเปิดเผยความจริงและจัดการกับผู้กระทำความผิดอย่างไม่เลือกหน้าเท่านั้น หากแต่มุ่งไปสู่การใช้แนวทางการเมืองที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม โดยมีรูปธรรมคือการผลักดันกฎหมายจัดตั้งสำนักบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรัฐบาลควรนำเสนอต่อรัฐสภาในช่วงการเปิดประชุมสมัยวิสามัญกลางเดือน มิ.ย. นี้หรือเร็วที่สุด

แม้ว่าในพื้นที่ความขัดแย้งไม่อาจละเลยการประเมินความรู้สึกของผู้ที่จมอยู่กับความรุนแรงได้ ทว่าในการวิเคราะห์สถานการณ์บนฐานของข้อมูลก็เป็นสิ่งบ่งชี้แนวโน้มของสถานการณ์และโจทย์หลักที่รัฐบาลต้องมุ่งคลี่คลายด้วยเช่นกัน

ศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCC) วิเคราะห์ว่า จากความถี่และความเข้มข้นของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้บ่งชี้ว่าแนวโน้มของการก่อเหตุความรุนแรงจะยังยกระดับขึ้นสูงอีก แม้ว่าจะมีจำนวนของเหตุการณ์ไม่สูงเท่ากับช่วงก่อนปี 2551 แต่ทิศทางยังคงเป็นไปในทำนองนี้

ศรีสมภพ แจกแจงว่า จากสถิติของเหตุการณ์มีข้อสังเกตว่าก่อนหน้าเดือนมี.ค. จำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงลดต่ำลงกว่า 100 เหตุการณ์ต่อเดือน ทว่านับตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นมา เหตุการณ์ได้พุ่งสูงขึ้นเกิน 100 เหตุการณ์ต่อเดือน

ขณะที่ความถี่ของเหตุการณ์ ก็มีสถิติรองรับว่าในรอบ 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2547 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคลื่นความรุนแรงรอบนี้ พบว่าเดือนมิ.ย. ของทุกปีมีสถิติของเหตุการณ์ความรุนแรงมากที่สุดในรอบปี จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นวงรอบของเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา

เขายังอธิบายต่อว่า ผลกระทบของเหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้อาจพบว่าส่งผลต่อหลายปัจจัยด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือการส่งผลต่อความรู้สึกของประชาชนจำนวนไม่น้อย ซึ่งสะท้อนผ่านการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนโดย CSCC

จากผลสำรวจล่าสุด พบว่า ความรู้สึกของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ความมั่นคงยังไม่ค่อยดีมากนัก ซึ่งเป็นไปได้ว่าเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายและการใช้อำนาจหน้าที่ไปกระทบกับประชาชนในบางกรณี ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากเพราะเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง จะเข้าถึงชุมชนมากที่สุด ส่วนฝ่ายพลเรือนจะมีบทบาทลดลง

“แม้ว่าทหารจะเข้าถึงและพยายามที่จะให้บริการของรัฐต่อประชาชน แต่หากมองในทางกลับกันก็พบว่าได้รับความไม่ไว้วางใจในบางพื้นที่ไม่มากนัก การทำงานของหน่วยงานเหล่านี้จึงต้องปรับปรุงตัวเองอีกมากด้วย”

สำหรับการพิจารณาในมิติของการต่อสู้ระหว่างคู่ขัดแย้ง ก็เป็นประเด็นที่เขาให้ความสำคัญ

ศรีสมภพ ระบุว่า สถานการณ์ที่หนักหน่วงในขณะนี้อาจเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่ศาลมีคำสั่งในคดีชันสูตรไต่สวนกรณีตากใบ เมื่อเร็วๆ นี้ที่อาจเรียกได้ว่า “ผิดความคาดหมาย” ไปจากความรู้สึกของคนในพื้นที่ส่วนใหญ่ จุดนี้อาจเป็นเงื่อนไขในการตอบโต้ด้วยความรุนแรง

เขายังเชื่อมโยงต่อเหตุการณ์ภายนอกสำคัญ อย่างความเคลื่อนไหวในการประชุมระดับรัฐมนตรีของกลุ่มประเทศมุสลิม (ที่ประชุม OIC) ที่ประเทศซีเรียเมื่อปลายเดือนก่อน ซึ่งพบว่ารัฐบาลไทยประสบผลความสำเร็จในการเลื่อนวาระการพิจารณาของ OIC ต่อกรณีปัญหาที่ชายแดนภาคใต้ของไทยออกไป เป็นเหตุให้กลุ่มติดอาวุธภายในประเทศจำเป็นต้องเร่งเร้าสถานการณ์ภายในประเทศเพื่อยกระดับของสถานการณ์ให้เป็นที่สนใจเพื่อต่อรองทางการเมืองในระดับการเมืองระหว่างประเทศ

ในขณะเดียวกัน ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่านมา ความสนใจขององค์กรระหว่างประเทศต่อกรณีความขัดแย้งที่ใช้ความรุนแรงในภาคใต้ตอนล่างของไทยมีเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะผลกระทบจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมในพื้นที่

“ผมคิดว่าพวกเขาคงยังไม่หยุด เพราะการผลักดันเรื่องเหล่านี้ในเวทีสากลยังคงต้องดำเนินการต่อไป จำเป็นต้องเรียกร้องความสนใจและสร้างพื้นที่ในสื่อเพื่อนำไปต่อรองในเวทีเหล่านี้”

ศรีสมภพ ตั้งข้อสังเกตด้วยว่าเมื่อพิจารณาแนวโน้มและปัจจัยเกื้อหนุนของเหตุการณ์ ผนวกกับฐานข้อมูลของสถานการณ์อาจเข้าใจได้ว่า ในช่วงกลางปีที่เกิดวงรอบของความรุนแรงหนาแน่นเหล่านี้อาจสัมพันธ์กับการประชุมของ OIC ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจัดขึ้นในช่วงเวลากลางปีเช่นเดียวกัน เหตุการณ์ความรุนแรงเป็นสารในการตอกย้ำถึงสถานภาพของกระบวนการต่อสู้ของชาวมลายูมุสลิมของพื้นที่นี้ก็เป็นได้

เขายังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า สารแห่งความรุนแรงเหล่านี้อาจต้องการส่งสัญญาณไปยังทางการมาเลเซีย เพื่อบีบให้ยกระดับบทบาทของประเทศเพื่อนบ้านแห่งนี้ให้เป็นตัวกลางในการเปิดช่องพูดคุยและเจรจาระหว่างทางการไทยและขบวนการติดอาวุธ

ศรีสมภพ จึงประเมินว่าการเร่งกระแสด้วยการรุกทางด้านการทหารเพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองเป็นสิ่งจำเป็นของขบวนการติดอาวุธที่ชายแดนภาคใต้ เพราะที่ผ่านมาอาจเรียกได้ว่าแนวทางการเมืองที่จะต่อรองกับรัฐไทยนั้นเริ่มตีบตัน เนื่องจากรัฐบาลเองก็ไม่ยอมรับการเจรจา ซ้ำยังสามารถหว่านล้อมที่ประชุม OIC ให้รับฟังข้อเรียกร้องของทางการไทยได้

ข้อสังเกตถึงแนวโน้มของสถานการณ์เหล่านี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของการย้ำเตือนให้สังคมไทยและผู้กำหนดนโยบายของรัฐไทยตระหนักรู้ถึงปัญหาที่กำลังเผชิญ พร้อมกับต้องตั้งคำถามเดิมๆ ด้วยว่า วิธีการเดิมๆ ที่ยึดมั่นปฏิบัติการอยู่ในขณะนี้สามารถตอบคำถามต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายหรือไม่ ?
กำลังโหลดความคิดเห็น