เอเอฟพี - สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) ชี้ในรายงานล่าสุดเมื่อวานนี้(11)ว่าราคาน้ำมันที่กำลังขยับสูงขึ้น น่าจะเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในบรรดาเศรษฐกิจก้าวหน้าของโลกกำลังผ่อนเพลาความรุนแรงลง นอกจากนั้น ในรายงานประจำเดือนฉบับล่าสุดนี้ ไออีเอยังได้เพิ่มประมาณการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลก อันเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในช่วงหลายๆ เดือนที่ผ่านมา
ข้อมูลของไออีเอแสดงให้เห็นว่า ประมาณการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยดังกล่าวนี้ เนื่องมาจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นของพวกประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐฯ
ไออีเอซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองด้านพลังงานของพวกประเทศอุตสาหกรรม ระบุในรายงานประจำเดือนมิถุนายนฉบับนี้ว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 20 ดอลลาร์ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ รวมทั้งการบริโภคของสหรัฐฯที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาณหลายๆ อย่างที่ชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะกำลังบรรเทาลงไปแล้ว
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในช่วงหลังๆ นี้มีบางส่วนเกิดจากแรงขับดันของพวกนักลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์ส โดยเห็นว่าแนวโน้มในตลาดฟิวเจอร์สจะเดินนำหน้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นและตลาดเงิน และไออีเอเตือนว่า การพุ่งขึ้นเช่นนี้ยากที่จะอ้างได้ว่าเนื่องมาจากปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามข้อมูลภาพรวมที่ได้มา ก็แสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้น้ำมันของภาคอุตสาหกรรมนั้นกำลังเพิ่มขึ้น ถึงแม้ความต้องการใช้น้ำมันในภาคการขนส่งและภาคบริการ ยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป
"ขณะที่ราคาซึ่งแกว่งตัวไปมาอย่างรุนแรงรวดเร็ว สามารถที่จะทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพนั้น แต่ถ้าราคาของตลาดซื้อขายใช้กันทันทีขยับสูงขึ้น โดยเป็นอาการของเศรษฐกิจโลกที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ในตัวมันเองก็น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร" รวมทั้งยังอาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
"ตรงกันข้าม ความต้องการใช้เชื้อเพลิงเพื่อการขนส่งยังคงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก บ่งชี้ให้เห็นว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการ ยังคงถูกบีบคั้นอยู่"
อย่างไรก็ดี รายงานของไออีเอยังได้อ้างอิงถึงความเห็นของนักวิเคราะห์บางรายที่บอกว่า การใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นเครื่องประกันความเสี่ยง ต่อความหวาดผวาเรื่องภาวะเงินเฟ้ออาจจะกลับมาพุ่งทะยานรุนแรง ตลอดจนต่อค่าเงินดอลลาร์ที่กำลังอ่อนตัวลงนั้น ในที่สุดแล้วก็จะกลายเป็นแรงจูงใจให้เกิดการเพิ่มน้ำมันในคลังเก็บ, บีบคั้นตลาดน้ำมันที่ซื้อขายใช้กันในปัจจุบัน, และมีความเสี่ยงที่จะเกิดวงจรอุบาทว์ที่ราคาพุ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกในเวลานี้ เมื่อดูจากน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของตลาดนิวยอร์ก ปรากฏว่าไต่ขึ้นไปแถวๆ 71.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ตอนช่วงเช้าของลอนดอนวานนี้(11) สูงขึ้น 56 เซ็นต์จากระดับปิดตลาดในวันพุธ(10) โดยที่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ราคาขยับไปถึง 72.30 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว
ในรายงานฉบับนี้ ไออีเอได้เพิ่มประมาณความต้องการใช้น้ำมันในโลกอีก 120,000 บาร์เรลต่อวันจากตัวเลขของเดือนพฤษภาคม โดยบอกว่าเพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อนของกลุ่มประเทศโออีซีดี หรือ ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 30 ชาติ
แต่ไออีเอก็กล่าวว่าการปรับประมาณการณ์ขึ้นมิได้หมายความว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวแล้ว โดยตัวเลขนี้อาจจะหมายความเพียงแค่ว่าสถานการณ์ดีขึ้นจากช่วงตกต่ำสุดขีดเท่านั้น
ทั้งนี้ไออีเอคาดในรายงานล่าสุดนี้ว่า ในปีนี้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะตกในราว 83.3 ล้านตันต่อวัน ลดลงจากปีที่แล้ว 2.5 ล้านตัน
ข้อมูลของไออีเอแสดงให้เห็นว่า ประมาณการณ์ความต้องการใช้น้ำมันของโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยดังกล่าวนี้ เนื่องมาจากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นของพวกประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐฯ
ไออีเอซึ่งเป็นองค์กรคลังสมองด้านพลังงานของพวกประเทศอุตสาหกรรม ระบุในรายงานประจำเดือนมิถุนายนฉบับนี้ว่า การที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 20 ดอลลาร์ในช่วงเวลาไม่นานมานี้ รวมทั้งการบริโภคของสหรัฐฯที่แข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้ เป็นส่วนหนึ่งของสัญญาณหลายๆ อย่างที่ชี้ว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจจะกำลังบรรเทาลงไปแล้ว
ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นในช่วงหลังๆ นี้มีบางส่วนเกิดจากแรงขับดันของพวกนักลงทุนในตลาดตราสารอนุพันธ์ฟิวเจอร์ส โดยเห็นว่าแนวโน้มในตลาดฟิวเจอร์สจะเดินนำหน้าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในตลาดหุ้นและตลาดเงิน และไออีเอเตือนว่า การพุ่งขึ้นเช่นนี้ยากที่จะอ้างได้ว่าเนื่องมาจากปัจจัยพื้นฐานเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามข้อมูลภาพรวมที่ได้มา ก็แสดงให้เห็นว่าความต้องการใช้น้ำมันของภาคอุตสาหกรรมนั้นกำลังเพิ่มขึ้น ถึงแม้ความต้องการใช้น้ำมันในภาคการขนส่งและภาคบริการ ยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป
"ขณะที่ราคาซึ่งแกว่งตัวไปมาอย่างรุนแรงรวดเร็ว สามารถที่จะทำให้เกิดความไร้เสถียรภาพนั้น แต่ถ้าราคาของตลาดซื้อขายใช้กันทันทีขยับสูงขึ้น โดยเป็นอาการของเศรษฐกิจโลกที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมาแล้ว ในตัวมันเองก็น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร" รวมทั้งยังอาจกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในการผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นด้วย
"ตรงกันข้าม ความต้องการใช้เชื้อเพลิงเพื่อการขนส่งยังคงอยู่ในสภาพที่อ่อนแอมาก บ่งชี้ให้เห็นว่าภาคเศรษฐกิจอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคบริการ ยังคงถูกบีบคั้นอยู่"
อย่างไรก็ดี รายงานของไออีเอยังได้อ้างอิงถึงความเห็นของนักวิเคราะห์บางรายที่บอกว่า การใช้สินค้าโภคภัณฑ์เป็นเครื่องประกันความเสี่ยง ต่อความหวาดผวาเรื่องภาวะเงินเฟ้ออาจจะกลับมาพุ่งทะยานรุนแรง ตลอดจนต่อค่าเงินดอลลาร์ที่กำลังอ่อนตัวลงนั้น ในที่สุดแล้วก็จะกลายเป็นแรงจูงใจให้เกิดการเพิ่มน้ำมันในคลังเก็บ, บีบคั้นตลาดน้ำมันที่ซื้อขายใช้กันในปัจจุบัน, และมีความเสี่ยงที่จะเกิดวงจรอุบาทว์ที่ราคาพุ่งขึ้นสูงไปเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันในตลาดโลกในเวลานี้ เมื่อดูจากน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของตลาดนิวยอร์ก ปรากฏว่าไต่ขึ้นไปแถวๆ 71.89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในการซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ตอนช่วงเช้าของลอนดอนวานนี้(11) สูงขึ้น 56 เซ็นต์จากระดับปิดตลาดในวันพุธ(10) โดยที่มีอยู่ช่วงหนึ่ง ราคาขยับไปถึง 72.30 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว
ในรายงานฉบับนี้ ไออีเอได้เพิ่มประมาณความต้องการใช้น้ำมันในโลกอีก 120,000 บาร์เรลต่อวันจากตัวเลขของเดือนพฤษภาคม โดยบอกว่าเพราะความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดคิดมาก่อนของกลุ่มประเทศโออีซีดี หรือ ประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 30 ชาติ
แต่ไออีเอก็กล่าวว่าการปรับประมาณการณ์ขึ้นมิได้หมายความว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัวแล้ว โดยตัวเลขนี้อาจจะหมายความเพียงแค่ว่าสถานการณ์ดีขึ้นจากช่วงตกต่ำสุดขีดเท่านั้น
ทั้งนี้ไออีเอคาดในรายงานล่าสุดนี้ว่า ในปีนี้ความต้องการใช้น้ำมันของโลกจะตกในราว 83.3 ล้านตันต่อวัน ลดลงจากปีที่แล้ว 2.5 ล้านตัน
