วานนี้ (8 มิ.ย.)นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณี นายจุมพฎ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ได้ไปร่วมกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคภูมิใจไทยในการลงพื้นที่ ที่มีการจัดสัมมนาว่า การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองหรือไม่ทำงานด้วยใจ หรือใจย้ายไปแล้วไม่เป็นไร แต่หากนายจุมพฏ ลาออกจะถือว่าพ้นสมาชิกภาพส.ส.ทันที เพราะตามกฎหมายขณะนี้ไม่สามารถย้ายพรรคได้ คงต้องรอให้มีการยุบสภาก่อน
ทั้งนี้หากที่ประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทย มีการประชุมและมีมติให้ขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคผู้ที่เป็น ส.ส. ก็ต้องยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยว่า การดำเนินการขับออกจากพรรคนั้น เป็นการดำเนินการโดยชอบหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นการดำเนินการโดยชอบ ก็จะขาดจากการเป็นสมาชิกภาพทันที แต่หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการของพรรคไม่ชอบ ก็สามารถคงสมาชิกภาพต่อ ส่วนจะไปสังกัดพรรคอื่นได้หรือไม่ กรณีนี้ยังไม่ได้มีบรรทัดฐานมาก่อน จึงอยากให้ส.ส.ในพรรคมีการดำเนินการ ซึ่งเรื่องก็จะได้ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะพิจารณากรณีนี้อย่างไร เพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นส.ส.จะย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ทำได้ไม่มีปัญหา
**หาช่องเอาผิดคนถูกตัดสิทธิ์แต่ยังจุ้น
เมื่อถามว่า กรณีที่มีกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไปมีบทบาทเปรียบเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ในเบื้องต้นต้องดูข้อบังคับพรรค และพฤติกรรมว่าเข้าข่ายลักษณะดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ ในกรณีผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มีผู้ร้องเรียนและอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุกรรมการ ดังนั้นจึงจะนำข้อมูลดังกล่าวจะมาพิจารณาด้วย พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ในเรื่องของบทบาทแอบแฝง ดังนั้นคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเมือง ควรที่จะไปดำเนินการเรื่องนี้ มากกว่าที่จะมาดำเนินการเสนอยุบ กกต.
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทย ขึ้นป้านนโยบาย และการที่นายกรัฐมนตรี ออกมาพูดในทำนองพร้อมที่จะยุบสภานั้น นางสดศรีกล่าวว่า คงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นนัยทางการเมือง ว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ จนกว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จะคาดว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้ แต่บทบาททางการเมืองขณะนี้ที่ทำกันอยู่ น่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะมีการหาเสียงเลือกตั้งกัน และการที่พรรคการเมืองจะมีการขึ้นป้ายหาเสียงขณะนี้ก็สามรถทำได้ เพราะเป็นการที่พรรคจะได้พูดเรื่องนโยบายให้กับประชาชนรับทราบ ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร กกต.ไม่มีอำนาจเข้าไปห้าม เพราะกกต.ก็เปรียบเสมือนพี่เลี้ยง หากทำอะไรเกินเลยไปก็จะมีการเตือนพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นการไปจับผิด
ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวถึงกรณีผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองว่า เรายึดกฎหมายมาตลอด กฎหมายที่จำกัดสิทธิ์ เราก็ต้องตัดสินตามนั้น ไม่ใช่ห้ามทำอะไรทั้งหมด ไม่อย่างนั้นมีภรรยาก็ต้องเลิก เราจำกัดสิทธิ์แค่ลงสมัคร แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้คบหากับใคร หากจะห้ามกันหมดทุกอย่าง ก็เหมือนจำกัดสิทธิ์ เสรีภาพเขาไปด้วย ยืนยันกกต.ไม่เคยมี 2 มาตรฐาน
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ห้ามผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งกระทำการ 3 อย่าง คือ 1. การจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมือง 2. การร่วมก่อตั้งพรรค และ3. เป็นกรรมการบริหารพรรค เพราะกรรมการบริหารพรรค ถือเป็นผู้มีอำนาจบริหารงานในพรรค อะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องตีความ อย่างที่กกต.เคยตีความว่า ห้ามไปปราศรัยหาเสียง เพราะเมื่อตรวจสอบข้อบังคับพรรค ก็เขียนไว้ว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่รณรงค์หาเสียง เราก็ต้องตีความไปอย่างนั้น ขณะนี้ ก็มีการโยงกันว่าทำไม กกต.ไม่ห้าม ซึ่งในเรื่องนี้ก็ต้องไปดูข้อบังคับนั้นๆ เพราะช่วงการร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีการพูดกันว่า นอกจากข้อห้าม 3 อย่าง ควรจะห้ามเข้าไปดำเนินการ กิจการใดๆของพรรคการเมือง เช่น กรณีตั้งนอมินี ซึ่งในที่ประชุมขณะนั้น ก็ท้วงติงว่าจะไปจำกัดสิทธิ์เสรีภาพทางการเมือง จึงมีการตัดในส่วนนี้ออกไป เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป จะเอาตามใจไม่ได้ โดยเรื่องนี้เรายินดีจะชี้แจง
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย กล่าวว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ต้องการให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่กฎหมายเขียนไม่ชัดเจน ดังนั้น จะไปห้ามหรือบังคับผู้ที่ถูกเพิกสิทธิ์ไม่ได้ แต่ถ้าจะพิจารณาให้พรรคการเมืองไม่นำผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในลักษณะเข้ามาเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ต้องใช้มาตรการเกี่ยวกับพรรคเข้าไปจัดการ ไม่เช่นนั้น คำสั่งศาลก็ไม่เป็นผล ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูเป็นกรณีไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.ไม่ชี้ให้ชัดเจนว่า ผู้ถูกเพิกถอน จะทำอะไรได้บ้าง จะถือว่า กกต.เป็นแค่เสือกระดาษ นายสมชัย กล่าวว่า กกต.ไม่ใช่เสือกระดาษ หรือทำอะไรไม่ได้ แต่จะให้ฟังจากสื่อ และเต้นตามก็คงไม่ใช่ อย่างก็ไรตาม ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบภายในพื้นที่ เพื่อติดตามพฤติกรรม ว่าเป็นอย่างที่สื่อกล่าวหาหรือไม่ การทำให้กลัว ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะการทำให้กลัวเป็นเรื่องของเผด็จการ และกกต.ไม่เคยทำ
เมื่อถามว่า เมื่อกฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ ควรจะให้ยกเลิก หรือเขียนให้ชัดเจนมากขึ้น นายสมชัย กล่าวว่า ตนเห็นว่า ควรเขียนให้ชัดเจน กฎหมายเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ และเป็นนามธรรม อย่างนั้นควรเขียนให้ชัดเจน เมื่อถึงจุดให้แบ่งแยก ก็จะมีปัญหาซึ่งแม้กระทั่งศาลก็อาจจะมองต่างกัน
เมื่อถามว่า กกต.เหมือนเสือเชื่องช้าหรือไม่ ที่ปล่อยให้พรรคภูมิใจไทย ดำเนินการใน จ.สกลนคร เช่นนี้ นายสมชัย กล่าวว่า เรากำลังแก้ระเบียบให้เรื่องเร็วขึ้น ความจริงจะบอกว่า เชื่องช้าก็ไม่ใช่ เพราะได้ให้กกต.จังหวัดเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ ซึ่งก็ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการร้องเรียนเข้ามา อีกทั้งอำเภอที่พรรคภูมิใจไทยไปจัดสัมมนา ก็อยู่ห่างจากพื้นที่เลือกตั้งถึง 30-50 ก.ม. แต่ก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จับตาดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่
**เพื่อไทยตัดหางปล่อยวัด“จุมพฏ”
นายวิชาญ มีนชัยอนันต์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย จะย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย เพราะได้ประกาศชัดด้วยตัวเอง และได้สวมใส่เสื้อของพรรคภูมิใจไทยด้วย
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม รวมถึงกรณีของร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี ด้วย อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้หวั่นไหวที่พรรคภูมิใจไทยจะดูดส.ส. ไป เนื่องจากขณะนี้มีข้อมูลว่าส.ส.จากพรรคอื่น โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ส.ของพรรคประชาธิปปัตย์ ที่ขณะนี้ไม่พอใจการทำงานภายในพรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดต่อเข้ามาพูดคุย ว่าอาจจะมีการย้ายพรรค แต่ขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยจำนวนได้ แต่บอกได้แต่เพียงว่าเป็น ส.ส.ที่มีความคุ้นเคยกัน และอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน
ทั้งนี้หากที่ประชุมใหญ่ของพรรคเพื่อไทย มีการประชุมและมีมติให้ขับออกจากการเป็นสมาชิกพรรคผู้ที่เป็น ส.ส. ก็ต้องยื่นร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญจะเป็นผู้วินิจฉัยว่า การดำเนินการขับออกจากพรรคนั้น เป็นการดำเนินการโดยชอบหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าเป็นการดำเนินการโดยชอบ ก็จะขาดจากการเป็นสมาชิกภาพทันที แต่หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า การดำเนินการของพรรคไม่ชอบ ก็สามารถคงสมาชิกภาพต่อ ส่วนจะไปสังกัดพรรคอื่นได้หรือไม่ กรณีนี้ยังไม่ได้มีบรรทัดฐานมาก่อน จึงอยากให้ส.ส.ในพรรคมีการดำเนินการ ซึ่งเรื่องก็จะได้ไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญว่าจะพิจารณากรณีนี้อย่างไร เพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นส.ส.จะย้ายไปสังกัดพรรคอื่น ทำได้ไม่มีปัญหา
**หาช่องเอาผิดคนถูกตัดสิทธิ์แต่ยังจุ้น
เมื่อถามว่า กรณีที่มีกรรมการบริหารพรรคที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ไปมีบทบาทเปรียบเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทยนั้น นางสดศรี กล่าวว่า ในเบื้องต้นต้องดูข้อบังคับพรรค และพฤติกรรมว่าเข้าข่ายลักษณะดังกล่าวหรือไม่ ทั้งนี้ ในกรณีผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง มีผู้ร้องเรียนและอยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุกรรมการ ดังนั้นจึงจะนำข้อมูลดังกล่าวจะมาพิจารณาด้วย พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ากฎหมายไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ในเรื่องของบทบาทแอบแฝง ดังนั้นคณะอนุกรรมการปฏิรูปการเมือง ควรที่จะไปดำเนินการเรื่องนี้ มากกว่าที่จะมาดำเนินการเสนอยุบ กกต.
ส่วนกรณีที่พรรคภูมิใจไทย ขึ้นป้านนโยบาย และการที่นายกรัฐมนตรี ออกมาพูดในทำนองพร้อมที่จะยุบสภานั้น นางสดศรีกล่าวว่า คงยังบอกไม่ได้ว่าเป็นนัยทางการเมือง ว่าจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ จนกว่าจะมีพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้ง จะคาดว่านายกรัฐมนตรีจะยุบสภาไม่ได้ แต่บทบาททางการเมืองขณะนี้ที่ทำกันอยู่ น่าจะเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะมีการหาเสียงเลือกตั้งกัน และการที่พรรคการเมืองจะมีการขึ้นป้ายหาเสียงขณะนี้ก็สามรถทำได้ เพราะเป็นการที่พรรคจะได้พูดเรื่องนโยบายให้กับประชาชนรับทราบ ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร กกต.ไม่มีอำนาจเข้าไปห้าม เพราะกกต.ก็เปรียบเสมือนพี่เลี้ยง หากทำอะไรเกินเลยไปก็จะมีการเตือนพรรคการเมือง ไม่ใช่เป็นการไปจับผิด
ด้านนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. กล่าวถึงกรณีผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองว่า เรายึดกฎหมายมาตลอด กฎหมายที่จำกัดสิทธิ์ เราก็ต้องตัดสินตามนั้น ไม่ใช่ห้ามทำอะไรทั้งหมด ไม่อย่างนั้นมีภรรยาก็ต้องเลิก เราจำกัดสิทธิ์แค่ลงสมัคร แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้คบหากับใคร หากจะห้ามกันหมดทุกอย่าง ก็เหมือนจำกัดสิทธิ์ เสรีภาพเขาไปด้วย ยืนยันกกต.ไม่เคยมี 2 มาตรฐาน
นายประพันธ์ นัยโกวิท กกต. ด้านบริหารงานเลือกตั้ง กล่าวว่า ตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง ห้ามผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งกระทำการ 3 อย่าง คือ 1. การจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมือง 2. การร่วมก่อตั้งพรรค และ3. เป็นกรรมการบริหารพรรค เพราะกรรมการบริหารพรรค ถือเป็นผู้มีอำนาจบริหารงานในพรรค อะไรที่ทำไม่ได้ก็ต้องตีความ อย่างที่กกต.เคยตีความว่า ห้ามไปปราศรัยหาเสียง เพราะเมื่อตรวจสอบข้อบังคับพรรค ก็เขียนไว้ว่ากรรมการบริหารพรรคมีหน้าที่รณรงค์หาเสียง เราก็ต้องตีความไปอย่างนั้น ขณะนี้ ก็มีการโยงกันว่าทำไม กกต.ไม่ห้าม ซึ่งในเรื่องนี้ก็ต้องไปดูข้อบังคับนั้นๆ เพราะช่วงการร่างรัฐธรรมนูญ ก็มีการพูดกันว่า นอกจากข้อห้าม 3 อย่าง ควรจะห้ามเข้าไปดำเนินการ กิจการใดๆของพรรคการเมือง เช่น กรณีตั้งนอมินี ซึ่งในที่ประชุมขณะนั้น ก็ท้วงติงว่าจะไปจำกัดสิทธิ์เสรีภาพทางการเมือง จึงมีการตัดในส่วนนี้ออกไป เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ต้องดูข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆไป จะเอาตามใจไม่ได้ โดยเรื่องนี้เรายินดีจะชี้แจง
นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต. ด้านสืบสวนสอบสวน และวินิจฉัย กล่าวว่า เจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ต้องการให้ผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่กฎหมายเขียนไม่ชัดเจน ดังนั้น จะไปห้ามหรือบังคับผู้ที่ถูกเพิกสิทธิ์ไม่ได้ แต่ถ้าจะพิจารณาให้พรรคการเมืองไม่นำผู้ที่ถูกเพิกถอนสิทธิ์ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในลักษณะเข้ามาเสมือนเป็นกรรมการบริหารพรรค ก็ต้องใช้มาตรการเกี่ยวกับพรรคเข้าไปจัดการ ไม่เช่นนั้น คำสั่งศาลก็ไม่เป็นผล ซึ่งเรื่องนี้ต้องดูเป็นกรณีไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า กกต.ไม่ชี้ให้ชัดเจนว่า ผู้ถูกเพิกถอน จะทำอะไรได้บ้าง จะถือว่า กกต.เป็นแค่เสือกระดาษ นายสมชัย กล่าวว่า กกต.ไม่ใช่เสือกระดาษ หรือทำอะไรไม่ได้ แต่จะให้ฟังจากสื่อ และเต้นตามก็คงไม่ใช่ อย่างก็ไรตาม ได้ส่งเจ้าหน้าที่ลงไปตรวจสอบภายในพื้นที่ เพื่อติดตามพฤติกรรม ว่าเป็นอย่างที่สื่อกล่าวหาหรือไม่ การทำให้กลัว ไม่ใช่สิ่งที่ดี เพราะการทำให้กลัวเป็นเรื่องของเผด็จการ และกกต.ไม่เคยทำ
เมื่อถามว่า เมื่อกฎหมายไม่สามารถเอาผิดได้ ควรจะให้ยกเลิก หรือเขียนให้ชัดเจนมากขึ้น นายสมชัย กล่าวว่า ตนเห็นว่า ควรเขียนให้ชัดเจน กฎหมายเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้ และเป็นนามธรรม อย่างนั้นควรเขียนให้ชัดเจน เมื่อถึงจุดให้แบ่งแยก ก็จะมีปัญหาซึ่งแม้กระทั่งศาลก็อาจจะมองต่างกัน
เมื่อถามว่า กกต.เหมือนเสือเชื่องช้าหรือไม่ ที่ปล่อยให้พรรคภูมิใจไทย ดำเนินการใน จ.สกลนคร เช่นนี้ นายสมชัย กล่าวว่า เรากำลังแก้ระเบียบให้เรื่องเร็วขึ้น ความจริงจะบอกว่า เชื่องช้าก็ไม่ใช่ เพราะได้ให้กกต.จังหวัดเข้าไปตรวจสอบในพื้นที่ ซึ่งก็ยังไม่ได้รับรายงานว่ามีการร้องเรียนเข้ามา อีกทั้งอำเภอที่พรรคภูมิใจไทยไปจัดสัมมนา ก็อยู่ห่างจากพื้นที่เลือกตั้งถึง 30-50 ก.ม. แต่ก็ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จับตาดูว่า มีอะไรผิดปกติหรือไม่
**เพื่อไทยตัดหางปล่อยวัด“จุมพฏ”
นายวิชาญ มีนชัยอนันต์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า นายจุมพฏ บุญใหญ่ ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย จะย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย เพราะได้ประกาศชัดด้วยตัวเอง และได้สวมใส่เสื้อของพรรคภูมิใจไทยด้วย
ทั้งนี้พรรคเพื่อไทย จะนำเรื่องนี้เข้าหารือในที่ประชุม รวมถึงกรณีของร.ต.ปรพล อดิเรกสาร ส.ส.สระบุรี ด้วย อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้หวั่นไหวที่พรรคภูมิใจไทยจะดูดส.ส. ไป เนื่องจากขณะนี้มีข้อมูลว่าส.ส.จากพรรคอื่น โดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ส.ของพรรคประชาธิปปัตย์ ที่ขณะนี้ไม่พอใจการทำงานภายในพรรคประชาธิปัตย์ ได้ติดต่อเข้ามาพูดคุย ว่าอาจจะมีการย้ายพรรค แต่ขณะนี้ไม่สามารถเปิดเผยจำนวนได้ แต่บอกได้แต่เพียงว่าเป็น ส.ส.ที่มีความคุ้นเคยกัน และอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน