เพื่อเป็นการต้อนรับ Single Stock Futures ตัวใหม่ที่กำลังจะเข้ามาซื้อขายใน TFEX ช่วงปลายเดือนนี้ ดังนั้น ดิฉันจึงขอหยิบยกกลยุทธ์การลงทุนใน Single Stock Futures (SSF) ที่น่าสนใจวิธีหนึ่งมานำเสนอทุกท่านในสัปดาห์นี้ค่ะ
กลยุทธ์นี้ก็คือ Pairs Trading หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Trading Relative Value" กลยุทธ์นี้เป็นรูปแบบการซื้อขายบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า "ราคาหุ้น 2 ตัวที่สนใจมีการเคลื่อนไหวของราคาที่น่าจะไม่เท่ากัน โดยคาดการณ์ว่า ราคาหุ้นตัวหนึ่ง น่าจะขึ้นมากกว่าอีกตัวหนึ่ง หรือ ถ้าราคาจะลดลง ก็มีตัวหนึ่งที่ลงมากกว่าอีกตัวหนึ่ง เป็นต้น"
ยกตัวอย่างเช่น Mr. Smith ไม่แน่ใจสภาพตลาดในเดือนสิงหาคม 2552 แต่คาดการณ์ว่า KBANK น่าจะมีผลประกอบการดีกว่า จึงปรับตัวขึ้นมากกว่า SCB มาก หรือถ้าราคาจะลดลง KBANK ก็น่าจะลงน้อยกว่า SCB ด้วย โดยหากต้องการลงทุน ด้วยมูลค่าหุ้นแต่ละตัวประมาณ 500,000 บาท ดังนั้น จึงใช้ Single Stock Futures มาช่วยให้การลงทุนเป็นไปโดยง่ายขึ้นเพราะสามารถซื้อหรือขายตัวใดก่อนก็ได้ ในที่นี้คือ ดังภาพ
ใช้วิธีเปิดสถานะซื้อ (Long) ใน SSF ที่คาดว่าจะขึ้นได้มากกว่า และเปิดสถานะขาย (Short) อีกตัวหนึ่ง ในที่นี้คือ Long KBANKU09 (เปิดสถานะซื้อสัญญาล่วงหน้าที่มี KBANK เป็นสินค้าอ้างอิง หมดอายุสัญญาในเดือน กันยายน 2552) จำนวน 8 สัญญา คิดตามสัดส่วน Contract’s Value ในที่นี้คือ 500,000 / contract’s value ของ KBANK (500,000 / 59,000 = 8) ขณะเดียวกัน ก็ Short SCBU09 (เปิดสถานะขายสัญญาล่วงหน้าที่มี SCB เป็นสินค้าอ้างอิง หมดอายุสัญญาในเดือน กันยายน 2552) จำนวน 7 สัญญา คิดตามสัดส่วน Contract’s Value ในที่นี้คือ 500,000 / contract’s value ของ SCB (500,000 /70,000 = 7) เช่นกัน
จากภาพกรณีที่ตลาดเป็นขาขึ้นจริงตามคาด ราคา KBANK สูงขึ้น (9%) มากกว่า SCB (5 %) เมื่อปิดสถานะก็ยังคงได้กำไร จากตัวอย่าง Mr. Smith จะยังคงได้กำไร อยู่ที่ 17,900 บาท จากการลงทุนโดยการวางหลักประกัน (Margin) โดยประมาณ ที่ 50,920 บาท (รวม Inter – Commodity Spread Credit แล้ว)
หรือถ้าตลาดเป็นขาลงจากภาพ ราคา KBANK ลดลง (- 2 %) น้อยกว่า SCB (- 6 %) เมื่อปิดสถานะก็ยังคงได้กำไรที่ 19,800 บาท จากการลงทุนโดยการวางหลักประกัน (Margin) โดยประมาณ ที่ 50,920 บาท (รวม Inter – Commodity Spread Credit แล้ว)
ดังนั้น หลักการลงทุนด้วยกลยุทธ์ Pair Tradingสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องทิศทางของตลาดว่าจะเป็นเช่นไร แต่อยู่ที่ การมองความสัมพันธ์ของหุ้นสองตัวที่เราจะจับมาลงทุนพร้อมกันเป็นคู่นั้น ควรมีค่า Correlation ที่สูงด้วย นอกจากนี้ยังควรมีส่วนต่างของอัตราการปรับตัวขึ้น / ลงไม่น้อยกว่าในอดีต แต่ก็ยังคงไปในทิศทางเดียวกันไม่ว่าจะขึ้นหรือลง เพื่อให้เราสามารถเข้าไปใช้จังหวะราคาของส่วนต่างนี้ทำกำไรให้พอร์ตการลงทุนของเรานะคะ
ถ้าท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการเสริมความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น ท่านสามารถลงทะเบียนอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอนุพันธ์ของบมจ. หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้ที่ www.poems.in.th หรือสอบถามโดยตรงกับดิฉัน (ณภัทร์ ภัทรานิตฐ์ ผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์) โดยส่งคำถามของท่าน มาที่ Futures@phillip.co.th ค่ะ
กลยุทธ์นี้ก็คือ Pairs Trading หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "Trading Relative Value" กลยุทธ์นี้เป็นรูปแบบการซื้อขายบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า "ราคาหุ้น 2 ตัวที่สนใจมีการเคลื่อนไหวของราคาที่น่าจะไม่เท่ากัน โดยคาดการณ์ว่า ราคาหุ้นตัวหนึ่ง น่าจะขึ้นมากกว่าอีกตัวหนึ่ง หรือ ถ้าราคาจะลดลง ก็มีตัวหนึ่งที่ลงมากกว่าอีกตัวหนึ่ง เป็นต้น"
ยกตัวอย่างเช่น Mr. Smith ไม่แน่ใจสภาพตลาดในเดือนสิงหาคม 2552 แต่คาดการณ์ว่า KBANK น่าจะมีผลประกอบการดีกว่า จึงปรับตัวขึ้นมากกว่า SCB มาก หรือถ้าราคาจะลดลง KBANK ก็น่าจะลงน้อยกว่า SCB ด้วย โดยหากต้องการลงทุน ด้วยมูลค่าหุ้นแต่ละตัวประมาณ 500,000 บาท ดังนั้น จึงใช้ Single Stock Futures มาช่วยให้การลงทุนเป็นไปโดยง่ายขึ้นเพราะสามารถซื้อหรือขายตัวใดก่อนก็ได้ ในที่นี้คือ ดังภาพ
ใช้วิธีเปิดสถานะซื้อ (Long) ใน SSF ที่คาดว่าจะขึ้นได้มากกว่า และเปิดสถานะขาย (Short) อีกตัวหนึ่ง ในที่นี้คือ Long KBANKU09 (เปิดสถานะซื้อสัญญาล่วงหน้าที่มี KBANK เป็นสินค้าอ้างอิง หมดอายุสัญญาในเดือน กันยายน 2552) จำนวน 8 สัญญา คิดตามสัดส่วน Contract’s Value ในที่นี้คือ 500,000 / contract’s value ของ KBANK (500,000 / 59,000 = 8) ขณะเดียวกัน ก็ Short SCBU09 (เปิดสถานะขายสัญญาล่วงหน้าที่มี SCB เป็นสินค้าอ้างอิง หมดอายุสัญญาในเดือน กันยายน 2552) จำนวน 7 สัญญา คิดตามสัดส่วน Contract’s Value ในที่นี้คือ 500,000 / contract’s value ของ SCB (500,000 /70,000 = 7) เช่นกัน
จากภาพกรณีที่ตลาดเป็นขาขึ้นจริงตามคาด ราคา KBANK สูงขึ้น (9%) มากกว่า SCB (5 %) เมื่อปิดสถานะก็ยังคงได้กำไร จากตัวอย่าง Mr. Smith จะยังคงได้กำไร อยู่ที่ 17,900 บาท จากการลงทุนโดยการวางหลักประกัน (Margin) โดยประมาณ ที่ 50,920 บาท (รวม Inter – Commodity Spread Credit แล้ว)
หรือถ้าตลาดเป็นขาลงจากภาพ ราคา KBANK ลดลง (- 2 %) น้อยกว่า SCB (- 6 %) เมื่อปิดสถานะก็ยังคงได้กำไรที่ 19,800 บาท จากการลงทุนโดยการวางหลักประกัน (Margin) โดยประมาณ ที่ 50,920 บาท (รวม Inter – Commodity Spread Credit แล้ว)
ดังนั้น หลักการลงทุนด้วยกลยุทธ์ Pair Tradingสิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องทิศทางของตลาดว่าจะเป็นเช่นไร แต่อยู่ที่ การมองความสัมพันธ์ของหุ้นสองตัวที่เราจะจับมาลงทุนพร้อมกันเป็นคู่นั้น ควรมีค่า Correlation ที่สูงด้วย นอกจากนี้ยังควรมีส่วนต่างของอัตราการปรับตัวขึ้น / ลงไม่น้อยกว่าในอดีต แต่ก็ยังคงไปในทิศทางเดียวกันไม่ว่าจะขึ้นหรือลง เพื่อให้เราสามารถเข้าไปใช้จังหวะราคาของส่วนต่างนี้ทำกำไรให้พอร์ตการลงทุนของเรานะคะ
ถ้าท่านมีข้อสงสัย หรือต้องการเสริมความเข้าใจให้มากยิ่งขึ้น ท่านสามารถลงทะเบียนอบรมหลักสูตรต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอนุพันธ์ของบมจ. หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) ได้ที่ www.poems.in.th หรือสอบถามโดยตรงกับดิฉัน (ณภัทร์ ภัทรานิตฐ์ ผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์) โดยส่งคำถามของท่าน มาที่ Futures@phillip.co.th ค่ะ