ASTVผู้จัดการรายวัน- สมรภูมิธุรกิจรับสร้างบ้านระอุ พีดีเฮ้าส์ชี้ผู้ประกอบการรายใหญ่เล่นสงครามราคาลด 10-20% หวังเขี่ยรายกลาง-เล็กออกสู่ตลาด กินส่วนแบ่งตลาดเพิ่ม บีบผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างลดราคาสินค้า เตือนรับมือยักษ์อสังหาฯ-ธุรกิจวัสดุฯกระโจนเข้าสู่ตลาด
นายสิทธิพร สุววรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ พีดี เฮ้าส์ บริษัทรับสร้างบ้านระดับคุณภาพกล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านว่า ตลอดช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา บรรดาผู้ประกอบการต่างใช้กลยุทธ์เรื่องสมครามราคาเข้าใส่กัน เพื่อหวังแย่งชิงส่วนแบ่งลูกค้าหรือส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่ปริมาณลูกค้าหรือความต้องการสร้างบ้านหดตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กตกอยู่ในสถานการณ์แข่งขันลำบาก เพราะเสียเปรียบรายใหญ่ทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือและการบริหารต้นทุน
โดยเฉพาะเมื่อบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ในกลุ่ม Top 3 เปิดศึกสงครามราคาเข้าใส่กันอย่างดุเดือด เห็นได้จากแคมเปญลดกระหน่ำราคา 15-20% ที่แต่ละค่ายงัดออกมาหวังกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรก
ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากการเน้นสงครามราคาของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ได้ส่งผลไปถึงภาคผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เพราะต้องหันมาลดต้นทุนการผลิตตามแรงกดดันของตลาดรับสร้างบ้าน จากก่อนหน้าที่ผู้ผลิตจะเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆออกมารับกับตลาดรับสร้างบ้าน
“ ผู้ประกอบการรายใหญ่อาศัยความได้เปรียบ ในฐานะที่มีครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่ารายเล็ก เปิดฉากเจรจาต่อรองราคา โดยบีบให้ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างลดราคา เพื่อให้ต้นทุนต่ำสุดและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กับรายกลางและรายเล็ก” นายสิทธิพรกล่าวและว่า เมื่อสภาพตลาดในช่วง 6เดือนแรกเป็นเช่นนี้ ทำให้ทิศทางการแข่งขันจากนี้ไปจะชัดเจนมากขึ้น
โดยอาจได้เห็นผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กทนแรงเสียดทานไม่ไหว จำเป็นต้องถอนตัวเองออกไปจากตลาดรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายที่ปรับตัวเองไม่ได้ หรือขาดการพัฒนาสินค้าและบริการ อีกประการที่สำคัญคือผู้ประกอบการส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทผู้ประกอบการ SME ที่ไม่มีเงินทุนมากนัก ดังนั้นเมื่อยอดขายหรือรายได้ลดลง ย่อมส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนมีปัญหา และอาจนำไปสู่การผิดสัญญากับลูกค้าหรือผู้บริโภค
เตรียมรับมือคู่แข่งรายใหญ่แชร์ตลาด
ขณะที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดรับสร้างบ้านที่หดตัวในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถและความอ่อนแอของผู้ประกอบการ ที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน แม้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความได้เปรียบรายเล็กรายกลางอยู่มาก หากแต่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เพียง 15-20% เท่านั้น
ที่สำคัญต้องประเมินคู่แข่งรายใหญ่ที่เตรียมเข้ามาสู่ตลาดรับสร้างบ้าน โดยหากถ้ามีผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มอสังหาฯ(เดิมบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯสนใจเข้ามาทำตลาดรับสร้างบ้าน) หรือกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง กระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบันอาจไม่ใช่รายเดิมอีกต่อไปก็เป็นได้
“ นอกจากบริษัทอสังหาฯรายใหญ่แล้ว อีกรายหนึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับบริษัทรับสร้างบ้านระบบพรีแฟบเบอร์ 1 จากญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าคงสนใจตลาดรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน และอีกรายสังเกตว่ากำลังพัฒนาต่อยอดช่องทางการขยายตลาด จากผู้ผลิตวัสดุไปสู่ผู้ให้บริการสร้างบ้านอีกด้วย และในอนาคตเมื่อธุรกิจรับสร้างบ้านถูกยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสร้างบ้าน ด้วยศักยภาพของผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ที่จะเข้ามาปลุกตลาดให้เติบโต ซึ่งคงไม่ใช่แค่เพียงตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่หมายถึงตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ เมื่อนั้นผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน อาจต้องเผชิญกับสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนไปแบบที่เรียกว่า 180 องศา และหากไม่สามารถปรับตัวเองได้ก็อาจหายไปจากตลาดนี้เช่นกัน ”
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์ กล่าวว่า การนำระบบ แฟรนไชส์มาต่อยอดและใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด จะช่วยขยายการเติบโตของธุรกิจ ภายใต้คอนเซปต์ ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮาส์ โดยตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี ขยาย 50 สาขาทั่วไทย .
นายสิทธิพร สุววรณสุต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือ พีดี เฮ้าส์ บริษัทรับสร้างบ้านระดับคุณภาพกล่าวถึงสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านว่า ตลอดช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา บรรดาผู้ประกอบการต่างใช้กลยุทธ์เรื่องสมครามราคาเข้าใส่กัน เพื่อหวังแย่งชิงส่วนแบ่งลูกค้าหรือส่วนแบ่งตลาด ในขณะที่ปริมาณลูกค้าหรือความต้องการสร้างบ้านหดตัว ส่งผลให้ผู้ประกอบการรายเล็กตกอยู่ในสถานการณ์แข่งขันลำบาก เพราะเสียเปรียบรายใหญ่ทั้งในแง่ความน่าเชื่อถือและการบริหารต้นทุน
โดยเฉพาะเมื่อบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่ในกลุ่ม Top 3 เปิดศึกสงครามราคาเข้าใส่กันอย่างดุเดือด เห็นได้จากแคมเปญลดกระหน่ำราคา 15-20% ที่แต่ละค่ายงัดออกมาหวังกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรก
ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากการเน้นสงครามราคาของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ได้ส่งผลไปถึงภาคผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เพราะต้องหันมาลดต้นทุนการผลิตตามแรงกดดันของตลาดรับสร้างบ้าน จากก่อนหน้าที่ผู้ผลิตจะเน้นพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆออกมารับกับตลาดรับสร้างบ้าน
“ ผู้ประกอบการรายใหญ่อาศัยความได้เปรียบ ในฐานะที่มีครองส่วนแบ่งตลาดมากกว่ารายเล็ก เปิดฉากเจรจาต่อรองราคา โดยบีบให้ผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุก่อสร้างลดราคา เพื่อให้ต้นทุนต่ำสุดและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน กับรายกลางและรายเล็ก” นายสิทธิพรกล่าวและว่า เมื่อสภาพตลาดในช่วง 6เดือนแรกเป็นเช่นนี้ ทำให้ทิศทางการแข่งขันจากนี้ไปจะชัดเจนมากขึ้น
โดยอาจได้เห็นผู้ประกอบการรายกลางรายเล็กทนแรงเสียดทานไม่ไหว จำเป็นต้องถอนตัวเองออกไปจากตลาดรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายที่ปรับตัวเองไม่ได้ หรือขาดการพัฒนาสินค้าและบริการ อีกประการที่สำคัญคือผู้ประกอบการส่วนใหญ่จัดอยู่ในประเภทผู้ประกอบการ SME ที่ไม่มีเงินทุนมากนัก ดังนั้นเมื่อยอดขายหรือรายได้ลดลง ย่อมส่งผลให้เงินทุนหมุนเวียนมีปัญหา และอาจนำไปสู่การผิดสัญญากับลูกค้าหรือผู้บริโภค
เตรียมรับมือคู่แข่งรายใหญ่แชร์ตลาด
ขณะที่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาธุรกิจ พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น ประเมินว่า ภาวะเศรษฐกิจและตลาดรับสร้างบ้านที่หดตัวในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถและความอ่อนแอของผู้ประกอบการ ที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน แม้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่จะมีความได้เปรียบรายเล็กรายกลางอยู่มาก หากแต่สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เพียง 15-20% เท่านั้น
ที่สำคัญต้องประเมินคู่แข่งรายใหญ่ที่เตรียมเข้ามาสู่ตลาดรับสร้างบ้าน โดยหากถ้ามีผู้ประกอบการรายใหญ่ในกลุ่มอสังหาฯ(เดิมบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตทฯสนใจเข้ามาทำตลาดรับสร้างบ้าน) หรือกลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้าง กระโดดเข้ามาแข่งขันในตลาดรับสร้างบ้านเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบันอาจไม่ใช่รายเดิมอีกต่อไปก็เป็นได้
“ นอกจากบริษัทอสังหาฯรายใหญ่แล้ว อีกรายหนึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับบริษัทรับสร้างบ้านระบบพรีแฟบเบอร์ 1 จากญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อว่าคงสนใจตลาดรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน และอีกรายสังเกตว่ากำลังพัฒนาต่อยอดช่องทางการขยายตลาด จากผู้ผลิตวัสดุไปสู่ผู้ให้บริการสร้างบ้านอีกด้วย และในอนาคตเมื่อธุรกิจรับสร้างบ้านถูกยกระดับไปสู่อุตสาหกรรมสร้างบ้าน ด้วยศักยภาพของผู้ประกอบการยักษ์ใหญ่ที่จะเข้ามาปลุกตลาดให้เติบโต ซึ่งคงไม่ใช่แค่เพียงตลาดในกรุงเทพฯและปริมณฑล แต่หมายถึงตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ เมื่อนั้นผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในตลาดรับสร้างบ้านในปัจจุบัน อาจต้องเผชิญกับสภาพการแข่งขันที่เปลี่ยนไปแบบที่เรียกว่า 180 องศา และหากไม่สามารถปรับตัวเองได้ก็อาจหายไปจากตลาดนี้เช่นกัน ”
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮ้าส์ กล่าวว่า การนำระบบ แฟรนไชส์มาต่อยอดและใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด จะช่วยขยายการเติบโตของธุรกิจ ภายใต้คอนเซปต์ ศูนย์รับสร้างบ้าน พีดี เฮาส์ โดยตั้งเป้าไว้ภายใน 5 ปี ขยาย 50 สาขาทั่วไทย .