“Q-CON” รับอานิสงส์งานก่อสร้างโครงการเก่า-โครงการใหม่เปิดตัวต้นปี51ชี้ไตรมาส2สัญญาตลาดเริ่มบวก หลังรัฐบาลประกาศลงทุนโครงการรถไฟฟ้า ส่งผลผู้ประกอบการด้านอสังหาฯยึดแนวรถไฟฟ้าฝั่งธนฯ ผุดโครงการใหม่ เผยแผนตลาดฝ่าภาวะตลาดก่อสร้างชะลอตัว เร่งขยายตลาดต่างจังหวัด เจาะคอนโดฯใหม่ พร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ คาดสิ้นปีส่วนแบ่งตลาด 7%ของยอดขายรวม
นายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือQ-CON กล่าวว่า ตลาดก่อสร้างและการลงทุนโดยรวมในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยังทรงตัวเท่ากับช่วงปลายปี2551 แม้ว่าปัจจัยลบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของผู้พัฒนาโครงการ รวมถึงผู้ที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยชะลอการซื้อในช่วงนี้
ทั้งนี้ สาเหตุที่ตลาดรวมยังทรงตัวเท่ากับช่วงปลายปี51 เนื่องจากยังมีการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งมีการเปิดตัวในปีที่แล้ว และการก่อสร้างอาคารสำนักงาน สถานบริการ โรงแรม และรีสอร์ท ที่มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างโครงการในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดการซื้ออิฐมวลเบาไปใช้ในการก่อสร้างยังไม่หดตัวลงทันที
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส2นี้ ตลาดเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นที่ดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากมีการลงทุนโครงการใหม่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในย่านฝั่งธนบุรี ที่รัฐบาลมีแผนจะอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และสายสีน้ำเงินตามที่มีข่าวออกมา ทำให้มีผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม3-4ราย เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า ทำให้คาดว่าจะมียอดการสั่งซื้ออิฐมวลเบาเข้ามาต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว
สำหรับแผนการตลาดในช่วงไตรมาส2 ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูการขาย เนื่องจากเป็นฤดูฝนทำให้มีการก่อสร้างน้อย ประกอบกับการชะลอการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการอสังหาฯในตลาดออกไป ทำให้อัตราการขยายตัวการก่อสร้างในตลาดทรงๆ เท่ากับปลายปีที่แล้วนั้น บริษัทได้เตรียมแผนการขยายตลาดเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าก่อสร้างในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษายอดขายไว้ในระดับดับเดียวกับไตรมาสแรก
นอกจากนี้ บริษัทมีการเปิดตัวเค้าเตอร์ห้องน้ำ และห้องครัวอิฐมวลเบา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขณะนี้เริ่มส่งเข้าทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย และมีการจับมือกันกับบริษัทอสังหาฯในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเริ่มมีการร่วมกันออกแบบติดตั้งในหลายๆ โครงการแล้ว โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะเข้ามามียอดขาย 7%จากยอดขายรวมของบริษัทในสิ้นปีนี้
“ ที่ผ่านมาบริษัทมีการจัดกิจกรรมการอบรมนักศึกษา วิศวกร สถาปนิค และช่างฝีมือตามที่บริษัทมีนโยบายให้จัดกรรมการดังกล่าวซึ่งเป้นการทำตลาดในรูปแบบการหนึ่ง เพื่อเป็นการสร้างฐานลูกค้าและขยายตลาดในอนาคต โดยในช่วงต้นปีจนถึงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจัดอบรมไปแล้ว 11 ครั้ง และจะยังดำเนินการต่อเพื่อขยายฐานตลาดในอนาคต”
ทั้งนี้ ไตรมาสแรที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 255 ล้านบาท คิดเป็น98% ของเป้าที่ยอดขายวางไว้ 260ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20ล้านบาท ส่วนในไตรมาส2นี้บริษัทจะยังรักษาระดับยอดไว้เท่าเดิมให้ได้ จากการเข้าไปตลาดในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นดังกล่าว ปัจจุบันกำลังการผลิตอิฐมวลเบาในตลาดรวมมีประมาณ 26-27ล้านตารางเมตร (ตร.ม.)โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ๆครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 6 ราย โดยคิวคอนยังคงเป็นผู้มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ1อยู่ที่ 12 ล้านตร.ม.ต่อปี
นายพยนต์ กล่าวว่า สำหรับราคาขายของอิฐมวลเบาในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการปรับราคาขายขึ้นไปแล้วประมาณ 7% ตามการปรับตัวของต้นทุนเชื้อเพลิง เนื่องจากในช่วงกลางปี2551ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นสูงมาก ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตอิฐมวลเบาปรับตัวสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี ในปี 2552 คาดว่าราคาอิฐมวลเบาจะไม่มีการปรับขึ้นอีก เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนหลัก ยังไม่มีทิศทางว่าจะปรับเพิ่ม
" แม้ว่าราคาน้ำมันจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการลงทุนเตาเผาใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงก๊าชNGV แทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ซึ่งได้เริ่มเดินเครื่องจักรใหม่แล้วตั้งแต่ไตรมาส1 สามารถช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ 4-5% สำหรับต้นทุนเชื้อเพลิงของบริษัทในปัจจุบันคิดเป็น8% ของต้นทุนการผลิตรวม "
นอกจากการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ในปีนี้บริษัทยังมีแผนจะลดหนี้สินจากเงินกู้สถาบันการเงิน ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 843 ล้านบาท โดจะพยายามใช้คืนหนี้สถาบันการเงินให้ได้100 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งจ่ายในทุกๆไตรมาส ไตรมาสละ 25ล้านบาท
นายพยนต์ ศักดิ์เดชยนต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่นโปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือQ-CON กล่าวว่า ตลาดก่อสร้างและการลงทุนโดยรวมในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ยังทรงตัวเท่ากับช่วงปลายปี2551 แม้ว่าปัจจัยลบจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในการลงทุนของผู้พัฒนาโครงการ รวมถึงผู้ที่คิดจะซื้อที่อยู่อาศัยชะลอการซื้อในช่วงนี้
ทั้งนี้ สาเหตุที่ตลาดรวมยังทรงตัวเท่ากับช่วงปลายปี51 เนื่องจากยังมีการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งมีการเปิดตัวในปีที่แล้ว และการก่อสร้างอาคารสำนักงาน สถานบริการ โรงแรม และรีสอร์ท ที่มีการเซ็นสัญญาก่อสร้างโครงการในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดการซื้ออิฐมวลเบาไปใช้ในการก่อสร้างยังไม่หดตัวลงทันที
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส2นี้ ตลาดเริ่มส่งสัญญาณการฟื้นที่ดีขึ้นกว่าช่วงไตรมาสแรก เนื่องจากมีการลงทุนโครงการใหม่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในย่านฝั่งธนบุรี ที่รัฐบาลมีแผนจะอนุมัติการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และสายสีน้ำเงินตามที่มีข่าวออกมา ทำให้มีผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม3-4ราย เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า ทำให้คาดว่าจะมียอดการสั่งซื้ออิฐมวลเบาเข้ามาต่อเนื่องจากไตรมาสที่แล้ว
สำหรับแผนการตลาดในช่วงไตรมาส2 ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูการขาย เนื่องจากเป็นฤดูฝนทำให้มีการก่อสร้างน้อย ประกอบกับการชะลอการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการอสังหาฯในตลาดออกไป ทำให้อัตราการขยายตัวการก่อสร้างในตลาดทรงๆ เท่ากับปลายปีที่แล้วนั้น บริษัทได้เตรียมแผนการขยายตลาดเข้าไปเจาะกลุ่มลูกค้าก่อสร้างในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษายอดขายไว้ในระดับดับเดียวกับไตรมาสแรก
นอกจากนี้ บริษัทมีการเปิดตัวเค้าเตอร์ห้องน้ำ และห้องครัวอิฐมวลเบา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ขณะนี้เริ่มส่งเข้าทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่าย และมีการจับมือกันกับบริษัทอสังหาฯในโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งเริ่มมีการร่วมกันออกแบบติดตั้งในหลายๆ โครงการแล้ว โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวจะเข้ามามียอดขาย 7%จากยอดขายรวมของบริษัทในสิ้นปีนี้
“ ที่ผ่านมาบริษัทมีการจัดกิจกรรมการอบรมนักศึกษา วิศวกร สถาปนิค และช่างฝีมือตามที่บริษัทมีนโยบายให้จัดกรรมการดังกล่าวซึ่งเป้นการทำตลาดในรูปแบบการหนึ่ง เพื่อเป็นการสร้างฐานลูกค้าและขยายตลาดในอนาคต โดยในช่วงต้นปีจนถึงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาบริษัทได้มีการจัดอบรมไปแล้ว 11 ครั้ง และจะยังดำเนินการต่อเพื่อขยายฐานตลาดในอนาคต”
ทั้งนี้ ไตรมาสแรที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 255 ล้านบาท คิดเป็น98% ของเป้าที่ยอดขายวางไว้ 260ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 20ล้านบาท ส่วนในไตรมาส2นี้บริษัทจะยังรักษาระดับยอดไว้เท่าเดิมให้ได้ จากการเข้าไปตลาดในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นดังกล่าว ปัจจุบันกำลังการผลิตอิฐมวลเบาในตลาดรวมมีประมาณ 26-27ล้านตารางเมตร (ตร.ม.)โดยมีผู้ประกอบการรายใหญ่ๆครองส่วนแบ่งตลาดอยู่ 6 ราย โดยคิวคอนยังคงเป็นผู้มีส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ1อยู่ที่ 12 ล้านตร.ม.ต่อปี
นายพยนต์ กล่าวว่า สำหรับราคาขายของอิฐมวลเบาในช่วงที่ผ่านมา ได้มีการปรับราคาขายขึ้นไปแล้วประมาณ 7% ตามการปรับตัวของต้นทุนเชื้อเพลิง เนื่องจากในช่วงกลางปี2551ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันมีการปรับตัวขึ้นสูงมาก ทำให้ต้นทุนเชื้อเพลิงในการผลิตอิฐมวลเบาปรับตัวสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ดี ในปี 2552 คาดว่าราคาอิฐมวลเบาจะไม่มีการปรับขึ้นอีก เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันซึ่งเป็นต้นทุนหลัก ยังไม่มีทิศทางว่าจะปรับเพิ่ม
" แม้ว่าราคาน้ำมันจะไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้มีการลงทุนเตาเผาใหม่ โดยเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงก๊าชNGV แทนการใช้น้ำมันเตาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิต ซึ่งได้เริ่มเดินเครื่องจักรใหม่แล้วตั้งแต่ไตรมาส1 สามารถช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ 4-5% สำหรับต้นทุนเชื้อเพลิงของบริษัทในปัจจุบันคิดเป็น8% ของต้นทุนการผลิตรวม "
นอกจากการลดต้นทุนการผลิตแล้ว ในปีนี้บริษัทยังมีแผนจะลดหนี้สินจากเงินกู้สถาบันการเงิน ที่มีอยู่ทั้งสิ้น 843 ล้านบาท โดจะพยายามใช้คืนหนี้สถาบันการเงินให้ได้100 ล้านบาท ซึ่งจะแบ่งจ่ายในทุกๆไตรมาส ไตรมาสละ 25ล้านบาท