ในที่สุดโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคันเป็นเวลา10 ปี ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) ที่ผลักดันโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ ซารัมย์ จากพรรคภูมิใจไทย กลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ก็ต้องหกคะเมนหัวทิ่ม ซื้อเวลาออกไปอีก 1 เดือน
แม้ว่าวงเงินล่าสุด ลดฮวบฮาบแบบกระหน่ำช่วงหน้าฝนจาก เดิม 6.9 หมื่นล้านบาท ลดลงมาเรื่อยๆ เหลือเพียง 6.4 หมื่นล้านบาท ก็ยังเอาไม่อยู่
ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดย นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ
หมายความว่า ซื้อเวลาโครงการอัปยศเพื่อความสมานฉันท์ของพรรคร่วมรัฐบาลออกไปอีกชั่วระยะหนึ่ง หลังจากสังคมจับได้ว่าไม่ชอบมาพากล ออกมารุมด่ากันขรม
รับรู้กันไปแล้วว่ามีพวกนักการเมืองจ้อง “เขมือบ” กันอย่างไรบ้าง ไม่ต้องอธิบายกันมาก
โดยในตอนแรกที่เคยสั่งเบรกก็ให้มีการศึกษาในเรื่องของราคา และความคุ้มค่า แต่คราวนี้ก็ใช้วิธียื้อให้ศึกษาในเรื่องของการเปรียบเทียบผลดี ผลเสีย ระหว่างการซื้อ หรือการเช่ารถเมล์ ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน
สรุปก็คือไม่ว่าจะเลือกวิธีแบบไหนก็ตามพวกนักการเมืองกลุ่มนี้ก็ได้ประโยชน์ และถึงอย่างไรคนกรุงเทพฯ ก็ต้องถูกบังคับมีโครงการแบบนี้ รวมทั้งต้องเสียงบประมาณอีกหลายหมื่นล้าน แม้จะอยู่ในช่วง “ถังแตก” อย่างไรก็ตาม
พักเรื่องรถเมล์เน่าๆ เอาไว้ชั่วคราว มาว่ากันถึงโครงการประมูลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.4 แสนตัน ต่อเนื่องมาถึงโครงการระบายข้าว 2.6 ล้านตัน มาจนถึงโครงการรับจำนำข้าวนาปรังในฤดูกาลใหม่ ต่อเนื่องมาจนถึงม็อบชาวนา ที่กำลังกระจายกันปิดถนนประท้วงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือ
ทุกกระบวนการก็ล้วนต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ตัวละครก็เกี่ยวข้องกัน มาเป็น“แพ็กเกจ” จับมือผสมโรง กดดันต่อรอง เพื่อหาผลประโยชน์นั่นเอง
หากย้อนกลับไปไม่นานก็จะเห็นการผลักดันโครงการระบายข้าว 2.6 ล้านตัน และข้าวโพด 4.4 แสนตันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย จากพรรคภูมิใจไทย ในนามกลุ่มภาคเหนือ ในสายของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน”
และถ้ายังจำกันได้ ทั้งสองโครงการดังกล่าวถูกสั่งเบรกจากนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งให้ทบทวนวิธีการใหม่ โดยเปลี่ยนจากเดิมที่เคยให้อำนาจของกระทรวงพาณิชย์ มาเป็นคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธานเข้ามาดูแล และให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เข้ามารับรู้ด้วย แถมต่อมายังได้ใช้วิธีตัดวงจรด้วยการจะยกเลิกวิธีรับจำนำสินค้าเกษตร ให้หันมาใช้วิธีประกันราคาเสียอีก
ทุกอย่างก็เลยทำท่าจะไปกันใหญ่ !!
เมื่อยังไม่ลงตัว ทำนองเรื่องผลประโยชน์ เรื่องเงินเรื่องทองไม่มีทางยอมกันง่ายๆ จึงต้องแก้เกมโดยมอบหมายให้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณมาประสานงาน “เกี้ยเซียะ” อีกแรง
แต่อีกด้านหนึ่ง ถ้ามองกันแบบให้เข้าใจง่ายแบบไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนกับว่าตอนแรกจะได้ “กินรวบ” อยู่แล้วเชียว แต่พอมาถูกขัดคอจะให้ “กินแบ่ง” มันก็เลยปรี๊ดแตก หัวเสียเป็นธรรมดา
และเมื่อหัวเสียมันก็ต้องหาทางระบาย โชว์เพาเวอร์สั่งสอนเสียบ้าง และบังเอิญว่าในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ ( 3 มิถุนายน) จะเริ่มขึ้น ก็ดันมีม็อบชาวนาหลายจังหวัดทั้งในภาคเหนือและภาคกลาง ออกมาชุมนุมปิดถนนประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลขยายเวลารับจำนำข้าวออกไปอีก หลังจากมีพ่อค้าโรงสี หยุดจำนำอย่างกระทันหัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาอย่างรู้ทันหลายฝ่ายกลับมองว่านี่เป็น “เกม” ของคนกลุ่มเดียวกัน และเป็นเครือข่ายเดียวกัน นั่นคือเครือข่ายจากพรรคภูมิใจไทย ที่ “เป่านกหวีด” ส่งสัญญาณให้ออกมาเพื่อกดดันรัฐบาล ที่มาเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับสินค้าเกษตร โดยให้อำนาจกลับมาอยู่ในมือของกระทรวงพาณิชย์เช่นเดิม
เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มีรายงานว่า กลุ่มนักการเมือง นัดหารือกับพ่อค้าโรงสีในภาคเหนือ และภาคกลางจำนวนหนึ่งที่ฮ่องกง ก่อนลงมือปฏิบัติการ
นี่ยังไม่นับกรณีที่บังเอิญมีข่าวว่า สมศักดิ์ เทพสุทิน ได้ลงทุนบินสมทบกับ พรทิวา นาคาศัย ตั้งวงเคลียร์กับนายกรัฐมนตรี หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่เกาหลี
และช่างบังเอิญเหลือเกินอีกก็คือ ล่าสุดนายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งขยายเวลา และโควตารับจำนำข้าวนาปรังออกไปอีก 2 เดือน
ดังนั้นหากพิจารณามาตั้งแต่ต้นก็จะพบว่า ทุกเรื่องราวตั้งแต่รถเมล์เน่า มาจนถึงโครงการจำนำข้าว และม็อบปิดถนนกดดัน ล้วนเกี่ยวโยงเป็นเรื่องเดียวกัน การเมืองกลุ่มเดียวกันเพื่อกดดันต่อรองผลประโยชน์เฉพาะตัวเท่านั้น
และที่สำคัญนี่คือการเมืองน้ำเน่าที่มักนำมาใช้ เป็นเกมอยู่เสมอ ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยเปลี่ยน !!
แม้ว่าวงเงินล่าสุด ลดฮวบฮาบแบบกระหน่ำช่วงหน้าฝนจาก เดิม 6.9 หมื่นล้านบาท ลดลงมาเรื่อยๆ เหลือเพียง 6.4 หมื่นล้านบาท ก็ยังเอาไม่อยู่
ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดย นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สั่งให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการศึกษารายละเอียดให้รอบคอบ
หมายความว่า ซื้อเวลาโครงการอัปยศเพื่อความสมานฉันท์ของพรรคร่วมรัฐบาลออกไปอีกชั่วระยะหนึ่ง หลังจากสังคมจับได้ว่าไม่ชอบมาพากล ออกมารุมด่ากันขรม
รับรู้กันไปแล้วว่ามีพวกนักการเมืองจ้อง “เขมือบ” กันอย่างไรบ้าง ไม่ต้องอธิบายกันมาก
โดยในตอนแรกที่เคยสั่งเบรกก็ให้มีการศึกษาในเรื่องของราคา และความคุ้มค่า แต่คราวนี้ก็ใช้วิธียื้อให้ศึกษาในเรื่องของการเปรียบเทียบผลดี ผลเสีย ระหว่างการซื้อ หรือการเช่ารถเมล์ ว่าอย่างไหนจะดีกว่ากัน
สรุปก็คือไม่ว่าจะเลือกวิธีแบบไหนก็ตามพวกนักการเมืองกลุ่มนี้ก็ได้ประโยชน์ และถึงอย่างไรคนกรุงเทพฯ ก็ต้องถูกบังคับมีโครงการแบบนี้ รวมทั้งต้องเสียงบประมาณอีกหลายหมื่นล้าน แม้จะอยู่ในช่วง “ถังแตก” อย่างไรก็ตาม
พักเรื่องรถเมล์เน่าๆ เอาไว้ชั่วคราว มาว่ากันถึงโครงการประมูลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.4 แสนตัน ต่อเนื่องมาถึงโครงการระบายข้าว 2.6 ล้านตัน มาจนถึงโครงการรับจำนำข้าวนาปรังในฤดูกาลใหม่ ต่อเนื่องมาจนถึงม็อบชาวนา ที่กำลังกระจายกันปิดถนนประท้วงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคเหนือ
ทุกกระบวนการก็ล้วนต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ตัวละครก็เกี่ยวข้องกัน มาเป็น“แพ็กเกจ” จับมือผสมโรง กดดันต่อรอง เพื่อหาผลประโยชน์นั่นเอง
หากย้อนกลับไปไม่นานก็จะเห็นการผลักดันโครงการระบายข้าว 2.6 ล้านตัน และข้าวโพด 4.4 แสนตันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พรทิวา นาคาศัย จากพรรคภูมิใจไทย ในนามกลุ่มภาคเหนือ ในสายของ “สมศักดิ์ เทพสุทิน”
และถ้ายังจำกันได้ ทั้งสองโครงการดังกล่าวถูกสั่งเบรกจากนายกรัฐมนตรี พร้อมทั้งให้ทบทวนวิธีการใหม่ โดยเปลี่ยนจากเดิมที่เคยให้อำนาจของกระทรวงพาณิชย์ มาเป็นคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติที่มีรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นประธานเข้ามาดูแล และให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เข้ามารับรู้ด้วย แถมต่อมายังได้ใช้วิธีตัดวงจรด้วยการจะยกเลิกวิธีรับจำนำสินค้าเกษตร ให้หันมาใช้วิธีประกันราคาเสียอีก
ทุกอย่างก็เลยทำท่าจะไปกันใหญ่ !!
เมื่อยังไม่ลงตัว ทำนองเรื่องผลประโยชน์ เรื่องเงินเรื่องทองไม่มีทางยอมกันง่ายๆ จึงต้องแก้เกมโดยมอบหมายให้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณมาประสานงาน “เกี้ยเซียะ” อีกแรง
แต่อีกด้านหนึ่ง ถ้ามองกันแบบให้เข้าใจง่ายแบบไม่มีอะไรซับซ้อนเหมือนกับว่าตอนแรกจะได้ “กินรวบ” อยู่แล้วเชียว แต่พอมาถูกขัดคอจะให้ “กินแบ่ง” มันก็เลยปรี๊ดแตก หัวเสียเป็นธรรมดา
และเมื่อหัวเสียมันก็ต้องหาทางระบาย โชว์เพาเวอร์สั่งสอนเสียบ้าง และบังเอิญว่าในช่วงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มแบบนี้ ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรีวานนี้ ( 3 มิถุนายน) จะเริ่มขึ้น ก็ดันมีม็อบชาวนาหลายจังหวัดทั้งในภาคเหนือและภาคกลาง ออกมาชุมนุมปิดถนนประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลขยายเวลารับจำนำข้าวออกไปอีก หลังจากมีพ่อค้าโรงสี หยุดจำนำอย่างกระทันหัน
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาอย่างรู้ทันหลายฝ่ายกลับมองว่านี่เป็น “เกม” ของคนกลุ่มเดียวกัน และเป็นเครือข่ายเดียวกัน นั่นคือเครือข่ายจากพรรคภูมิใจไทย ที่ “เป่านกหวีด” ส่งสัญญาณให้ออกมาเพื่อกดดันรัฐบาล ที่มาเปลี่ยนแปลงนโยบายเกี่ยวกับสินค้าเกษตร โดยให้อำนาจกลับมาอยู่ในมือของกระทรวงพาณิชย์เช่นเดิม
เพราะก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน มีรายงานว่า กลุ่มนักการเมือง นัดหารือกับพ่อค้าโรงสีในภาคเหนือ และภาคกลางจำนวนหนึ่งที่ฮ่องกง ก่อนลงมือปฏิบัติการ
นี่ยังไม่นับกรณีที่บังเอิญมีข่าวว่า สมศักดิ์ เทพสุทิน ได้ลงทุนบินสมทบกับ พรทิวา นาคาศัย ตั้งวงเคลียร์กับนายกรัฐมนตรี หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่เกาหลี
และช่างบังเอิญเหลือเกินอีกก็คือ ล่าสุดนายกรัฐมนตรี ก็ได้สั่งขยายเวลา และโควตารับจำนำข้าวนาปรังออกไปอีก 2 เดือน
ดังนั้นหากพิจารณามาตั้งแต่ต้นก็จะพบว่า ทุกเรื่องราวตั้งแต่รถเมล์เน่า มาจนถึงโครงการจำนำข้าว และม็อบปิดถนนกดดัน ล้วนเกี่ยวโยงเป็นเรื่องเดียวกัน การเมืองกลุ่มเดียวกันเพื่อกดดันต่อรองผลประโยชน์เฉพาะตัวเท่านั้น
และที่สำคัญนี่คือการเมืองน้ำเน่าที่มักนำมาใช้ เป็นเกมอยู่เสมอ ทุกยุคทุกสมัย ไม่เคยเปลี่ยน !!