00 จะเรียกเวรหรือกรรมก็ไม่รู้ สำหรับ กรณีของ วิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่ต้องจำใจลาออกพ้นจากตำแหน่ง หลังจากใช้ข้อมูล “อินไซด์” ไปซื้อหุ้น “ดักหน้า-ดักหลัง” ก่อนที่กองทุน กบข.จะซื้อจะขายฟันกำไรกันอู้ฟู้ ดังนั้นการตัดสินใจไขก๊อกเที่ยวนี้สาเหตุสำคัญน่าจะมาจาก “จำนน” ต่อหลักฐาน เดินต่อไปไม่ได้ ต่างหาก
00 ไม่น่าจะเกิดจากสปิริต หรือแสดงความรับผิดชอบ อะไรหรอก เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ขุดคุ้ยจนเจอความไม่ชอบมาพากลในการบริหารกองทุนกบข.จนขาดทุน “บักโกรก” กว่า 6 หมื่นล้านบาท ก็ยังเสียงแข็งอ้างความโปร่งใส ทุกอย่างดีเยี่ยม แต่แค่ชั่วข้ามคืนเมื่อไปไม่เป็นก็ต้องถอยฉาก ดังนั้นต่อไปนี้ก็ให้ก้มหน้ารับกรรมกันไปก็แล้วกัน เพราะยังมีรายการ “น้ำลดตอผุด” ตามมาเป็นพรวน
00 ยังไม่จบสำหรับรถเมล์เน่า 4 พันคัน นาทีนี้จะไม่พูดถึงความ “ห่วยแตก” ที่ล่าสุดรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลือกใช้วิธีแบบเดิมคือ ตั้งกรรมการศึกษาซื้อเวลาออกไปอีก 1 เดือนก็ตาม แต่คราวนี้จะว่ากันเฉพาะการบริหารจัดการสำหรับใช้รองรับรถเมล์ 4 พันคัน เพราะจำนวนถึง 4 พันคันมันไม่ใช่น้อยๆ เพราะจะต้องแบ่งโซนจอดเป็นจุดๆ เพื่อกระจายวิ่งรับผู้โดยสารในแต่ละวัน จะเอาพื้นที่ไหนมาใช้
00 ที่สำคัญกิจการสำหรับบริการสาธารณะถ้าคิดแบบ “เหลือบการเมือง” มุ่งแต่กำไรเข้ากระเป๋า คิดได้แค่นี้มันก็ผิดแล้ว แทนที่จะมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรทั้งระบบเพื่อประสิทธิภาพระยะยาว แต่นี่ดันคิดง่ายๆแค่หารถมาวิ่งเพิ่มแล้วจะมีกำไร ทุด !!
00 ยังเกี่ยวเนื่องกันแบบงูกินหาง เพราะพันมาถึงนโยบายข้าว ที่เป็นโครงการหา “รับประทาน” ของพรรคเดียวกัน(แต่คนละกลุ่ม) นั่นคือโครงการระบายข้าว 2.6 ล้านตัน กับขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.4 แสนตัน ที่ถูกเบรกจากนายกฯให้กลับไปทบทวนใหม่แล้วส่ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ไปเกี้ยเซียะกันใหม่ แต่ปัญหาก็คืองานนี้แทนที่จะได้ “กินรวบ” คนเดียวดันต้อง “กินแบ่ง” มันก็ย่อมมีน้ำโหเป็นธรรมดา
00 แถมยังสั่งรื้อระบบกันใหม่ให้เลิกรับจำนำมาเป็นประกันราคาสินค้าเกษตรแทนมันจึง “ปรี๊ดแตก” และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตอนนี้มีม็อบชาวนาแถวภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางบางส่วนกระจายกันออกมาปิดถนนกันวุ่นวาย และเมื่อเพ่งมองดูให้ถนัดก็พบว่ามีแกนนำหลายคนหน้าตาคุ้นๆเพราะเดินเข้าออกพรรคภูมิใจไทยเป็นว่าเล่น แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเวลานี้มีคนเห็นคนหน้าคล้ายๆ “เสี่ยสมศักดิ์ เทพสุทิน” ลงทุนบินไปสมทบ "เจ๊พรทิวา" ดักเคลียร์นายกฯอภิสิทธิ์ถึงแดนไกล หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่เกาหลีเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ต้องห่วงคับเพ่ !!
00 ตบท้ายด้วยเสียงร้องเรียนมาจากคนไข้จำนวนมากที่ไปรับบริการรักษาจากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) หาดใหญ่ ว่าไม่ได้รับความสะดวก เกิดความไม่เป็นธรรมและที่สำคัญได้รับความเดือดร้อนจากการให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทาง ส่วนหนึ่งมีเสียงวิจารณ์กันมากก็คือการเรียกรับเงิน (รับซอง) จากคนไข้ เช่น หากต้องการลัดคิว หรือเข้ารับการผ่าตัดตามกำหนดนัดของแพทย์ก็ต้อง “ใส่ซอง” ให้แพทย์คนนั้นซึ่งตามธรรมเนียมก็คือซองละ 3 พันบาท หากคนไข้รายไหนไม่มีเงิน หรือไม่รู้ธรรมเนียม (บ้าบอ) ดังกล่าวก็จะถูกเลื่อนการรักษาหรือการผ่าตัดออกไป ซึ่งบางรายถูกเลื่อนถึง 7-8 ครั้ง ก็มีทำให้เสียทั้งเงินและเวลา บางคนต้องเดินทางมาจากที่ไกลๆ ข้ามจังหวัด ต้องเสียค่ารถ ค่าที่พัก สร้างความเดือดร้อนกันไปทั่ว
00 เสียงร้องเรียนที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์นับวันจะดังขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ ผู้บริหารของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมทั้ง จุรินทร์ ลัษณวิศิษฏ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่คุมด้านนโยบายเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง
00 เพราะนอกจากจะสร้างความเสียหายแก่นโยบายของรัฐบาลในเรื่องการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพของประชาชนแล้วยังทำลายวัตถุประสงค์ 4 ประการของการก่อตั้งโรงพยาบาล โดยเฉพาะเรื่องการรักษาพยาบาล บำบัดโรค ป้องกันโรค ให้กับประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ที่สำคัญยังทำลายจรรยาบรรณของแพทย์อีกด้วย !!
00 ไม่น่าจะเกิดจากสปิริต หรือแสดงความรับผิดชอบ อะไรหรอก เพราะก่อนหน้านี้ในช่วงที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ (ป.ป.ท.) ขุดคุ้ยจนเจอความไม่ชอบมาพากลในการบริหารกองทุนกบข.จนขาดทุน “บักโกรก” กว่า 6 หมื่นล้านบาท ก็ยังเสียงแข็งอ้างความโปร่งใส ทุกอย่างดีเยี่ยม แต่แค่ชั่วข้ามคืนเมื่อไปไม่เป็นก็ต้องถอยฉาก ดังนั้นต่อไปนี้ก็ให้ก้มหน้ารับกรรมกันไปก็แล้วกัน เพราะยังมีรายการ “น้ำลดตอผุด” ตามมาเป็นพรวน
00 ยังไม่จบสำหรับรถเมล์เน่า 4 พันคัน นาทีนี้จะไม่พูดถึงความ “ห่วยแตก” ที่ล่าสุดรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เลือกใช้วิธีแบบเดิมคือ ตั้งกรรมการศึกษาซื้อเวลาออกไปอีก 1 เดือนก็ตาม แต่คราวนี้จะว่ากันเฉพาะการบริหารจัดการสำหรับใช้รองรับรถเมล์ 4 พันคัน เพราะจำนวนถึง 4 พันคันมันไม่ใช่น้อยๆ เพราะจะต้องแบ่งโซนจอดเป็นจุดๆ เพื่อกระจายวิ่งรับผู้โดยสารในแต่ละวัน จะเอาพื้นที่ไหนมาใช้
00 ที่สำคัญกิจการสำหรับบริการสาธารณะถ้าคิดแบบ “เหลือบการเมือง” มุ่งแต่กำไรเข้ากระเป๋า คิดได้แค่นี้มันก็ผิดแล้ว แทนที่จะมุ่งปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรทั้งระบบเพื่อประสิทธิภาพระยะยาว แต่นี่ดันคิดง่ายๆแค่หารถมาวิ่งเพิ่มแล้วจะมีกำไร ทุด !!
00 ยังเกี่ยวเนื่องกันแบบงูกินหาง เพราะพันมาถึงนโยบายข้าว ที่เป็นโครงการหา “รับประทาน” ของพรรคเดียวกัน(แต่คนละกลุ่ม) นั่นคือโครงการระบายข้าว 2.6 ล้านตัน กับขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 4.4 แสนตัน ที่ถูกเบรกจากนายกฯให้กลับไปทบทวนใหม่แล้วส่ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ไปเกี้ยเซียะกันใหม่ แต่ปัญหาก็คืองานนี้แทนที่จะได้ “กินรวบ” คนเดียวดันต้อง “กินแบ่ง” มันก็ย่อมมีน้ำโหเป็นธรรมดา
00 แถมยังสั่งรื้อระบบกันใหม่ให้เลิกรับจำนำมาเป็นประกันราคาสินค้าเกษตรแทนมันจึง “ปรี๊ดแตก” และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ตอนนี้มีม็อบชาวนาแถวภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางบางส่วนกระจายกันออกมาปิดถนนกันวุ่นวาย และเมื่อเพ่งมองดูให้ถนัดก็พบว่ามีแกนนำหลายคนหน้าตาคุ้นๆเพราะเดินเข้าออกพรรคภูมิใจไทยเป็นว่าเล่น แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเวลานี้มีคนเห็นคนหน้าคล้ายๆ “เสี่ยสมศักดิ์ เทพสุทิน” ลงทุนบินไปสมทบ "เจ๊พรทิวา" ดักเคลียร์นายกฯอภิสิทธิ์ถึงแดนไกล หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมที่เกาหลีเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นไม่ต้องห่วงคับเพ่ !!
00 ตบท้ายด้วยเสียงร้องเรียนมาจากคนไข้จำนวนมากที่ไปรับบริการรักษาจากโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (ม.อ.) หาดใหญ่ ว่าไม่ได้รับความสะดวก เกิดความไม่เป็นธรรมและที่สำคัญได้รับความเดือดร้อนจากการให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทาง ส่วนหนึ่งมีเสียงวิจารณ์กันมากก็คือการเรียกรับเงิน (รับซอง) จากคนไข้ เช่น หากต้องการลัดคิว หรือเข้ารับการผ่าตัดตามกำหนดนัดของแพทย์ก็ต้อง “ใส่ซอง” ให้แพทย์คนนั้นซึ่งตามธรรมเนียมก็คือซองละ 3 พันบาท หากคนไข้รายไหนไม่มีเงิน หรือไม่รู้ธรรมเนียม (บ้าบอ) ดังกล่าวก็จะถูกเลื่อนการรักษาหรือการผ่าตัดออกไป ซึ่งบางรายถูกเลื่อนถึง 7-8 ครั้ง ก็มีทำให้เสียทั้งเงินและเวลา บางคนต้องเดินทางมาจากที่ไกลๆ ข้ามจังหวัด ต้องเสียค่ารถ ค่าที่พัก สร้างความเดือดร้อนกันไปทั่ว
00 เสียงร้องเรียนที่เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์นับวันจะดังขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงอยากเรียกร้องให้ ผู้บริหารของ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ที่เกี่ยวข้องโดยตรง รวมทั้ง จุรินทร์ ลัษณวิศิษฏ์ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่คุมด้านนโยบายเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง
00 เพราะนอกจากจะสร้างความเสียหายแก่นโยบายของรัฐบาลในเรื่องการรักษาพยาบาล การดูแลสุขภาพของประชาชนแล้วยังทำลายวัตถุประสงค์ 4 ประการของการก่อตั้งโรงพยาบาล โดยเฉพาะเรื่องการรักษาพยาบาล บำบัดโรค ป้องกันโรค ให้กับประชาชนโดยไม่เลือกปฏิบัติ ที่สำคัญยังทำลายจรรยาบรรณของแพทย์อีกด้วย !!
