ASTVผู้จัดการรายวัน - “อภิสิทธิ์” สั่งโละทิ้งโครงการรับจำนำสินค้าเกษตรเกลี้ยง ทั้งมันสำปะหลัง ข้าวโพดและข้าว หลังรัฐบาลขาดทุนเละเทะทุกปี หันใช้ระบบประกันราคาและซื้อประกันความเสี่ยงแทน ย้ำพาณิชย์ต้องทบทวนผลประมูลข้าวใหม่ให้เป็นไปตามมติ ครม.ไม่สนถูกฟ้อง ด้าน “เจ๊พร” ยันยังไม่ยกเลิก โยนกรมการค้าต่างประเทศหาข้อสรุปรวมถึงแนวทางระบายสินค้าเกษตรทั้งระบบก่อนเสนอ ครม.พิจารณา “กอร์ปศักดิ์” แย้มสัญญาขายข้าวมีช่องเลิกได้โดยไม่ถูกเอกชนฟ้อง ฝ่ายผู้ส่งออกดิ้นขอขนข้าวออกจากโกดัง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ที่กระทรวงพาณิชย์ วานนี้ (28 พ.ค.) ว่า ในส่วนการดูแลภาคการค้าภายในประเทศ รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรให้หลุดจากวงจรการรับจำนำแบบเดิม มาเป็นระบบประกันราคาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งได้นำร่องในส่วนของมันสำปะหลัง ที่จะใช้วิธีการประกันราคาให้กับเกษตรกร เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับเกษตรกรมากกว่า คือ หากเกษตรขายสินค้าเกษตรได้ราคาต่ำกว่าราคาประกัน ก็มารับเงินชดเชยจากรัฐบาล รวมถึงข้าวที่จะใช้แนวทางให้เกษตรกรซื้อประกันความเสี่ยง โดยรูปแบบกำลังให้หน่วยงานเกี่ยวข้องศึกษาอยู่
“สิ่งที่ต้องแก้ไข คือทำอย่างไรให้การสินค้าเกษตรหลุดจากวงจรการรับจำนำแบบเดิม ที่รัฐต้องเสียงบประมาณจำนวนมาก รับซื้อผลผลิตมาในราคาแพง และเกษตรกรกลับได้ไม่ทั่วถึง มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวทางการระบายสินค้าเกษตรนั้น จะมองจากเป้าหมายการระบายต้องมีความโปร่งใส และทำให้รัฐบาลเสียหายน้อยสุด เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะต้องตัดสินใจนโยบายบนความถูกต้อง ส่วนกรณีที่เอกชนผู้ชนะการประมูลข้าว 17 ราย อาจฟ้องร้อง ครม. ที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น ยังไม่ทราบและไม่รู้สึกกังวล เพราะการตัดสินใจของครม. ถือเป็นนโยบายถูกต้อง และก็ได้ให้คณะทำงานเข้าไปดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว
“เรื่องการประมูลข้าวนั้น มอบหมายให้คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาไปดำเนินการ และเสนอ ครม. บนพื้นฐานคือให้ประเทศเสียหายน้อยสุด ไม่อยากให้ขาดทุนเหมือนกับการระบายสินค้าเกษตรในปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องขายเท่ากับราคาตลาด จะขายต่ำกว่าราคาตลาดก็ไม่เป็นไร แต่ต้องตอบคำถามได้ชัดเจน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
*** ย้ำต้องทบทวนผลประมูลใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่ามีการประมูลขายข้าวในสต็อกไปแล้ว โดยผู้ชนะมีประมาณ 17 บริษัท จะเป็นปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีข้าวโพดก็เคยประมูลไปแล้วตอนนี้ดูเหมือนจะจบไปแล้ว กรณีข้าวทางกระทรวงพาณิชย์ ยังไม่ได้ให้รายละเอียดมา ซึ่งในส่วนของ ครม.เราพูดถึงเรื่องหลักเกณฑ์ หลังจากนี้ต้องไปติดตามดูว่าทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แนวทางการระบายสินค้าคงจะมีข้อสรุปทันก่อนการประชุมครม.ในวันพุธที่ 3 มิ.ย.นี้
เมื่อถามว่า หมายถึงกระทรวงพาณิชย์ ต้องทบทวนในสิ่งที่ประมูลไปแล้วเพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เขาต้องยอมทบทวน ส่วนค่ามัดจำที่มีการจ่ายกันแล้วนั้นตรงนี้ต้องดู เพราะไม่ทราบรายละเอียดว่าไปทำกันถึงขั้นตอนไหน อย่างไร
ส่วนรัฐบาลจะมีทางออกให้กระทรวงพาณิชย์อย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า เขาต้องปฏิบัติตามมติ ครม.
สำหรับกรอบเวลาจะระบายข้าวล็อตนี้สำเร็จเมื่อไหร่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่จริงแล้วข้าวที่เพิ่งเอาเข้ามาในโครงการจำนำ การระบายต้องดูด้วยว่าผลกระทบต่อตลาดเป็นอย่างไร ความจำเป็นไม่ได้รีบด่วนถึงขั้นต้องระบายทุกอย่างหมดด้วยความรวดเร็ว อันนี้ต้องดูและชั่งน้ำหนักให้ดี
นายอภิสิทธิ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร ชุดที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน ซึ่งมีมติให้กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เป็นผู้ดูแลในการระบายสินค้าเกษตรว่า เป็นแนวทางที่เสนอในครม. คือทำบทบาทของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจนว่ามีหน้าที่อะไร ตอนนี้มีความสับสนในบทบาทของแต่ละหน่วยงาน เพราะที่ผ่านมาดูจากประสบการณ์ปีที่แล้ว การให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้ามารับผิดชอบงานระบายสินค้าเป็นจุดอ่อน เพราะอคส. มีหน้าที่เก็บรักษามากกว่าเป็นผู้กำหนดแนวทางระบายสินค้า
เมื่อถามว่า นางพรทิวา ได้แสดงความน้อยใจอะไรหรือไม่ที่ไม่ให้ อคส. ดำเนินการเรื่องข้าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่มีเรื่องทำงานแล้วจะน้อยใจอะไรกันคงไม่ได้ เพราะทุกอย่างเพื่อประโยชน์สำเร็จของงานคือการรักษาประ โยชน์ของประเทศ เชื่อว่าทุกฝ่ายคงเข้าใจ
สำหรับบรรยากาศการเดินทางไปประชุมมอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการของนายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงพาณิชย์นั้น เป็นไปอย่างชื่นมื่น หลังจากนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์รุ่นที่ 1 มีการร่วมถ่ายภาพกับผู้สำเร็จหลักสูตรบนเวที โดยนางพรทิวา นั่งด้านขวา และ นายอลงกรณ์ นั่งด้านซ้าย พร้อมกับสนทนาอย่างเป็นกันเอง ขณะที่นักข่าวตั้งข้อสังเกตว่า นางพรทิวา ได้ยกมือขวาขึ้นโพสท่านิ้วชี้ตั้งฉากกับหัวแม่โป้ง เอาไว้ใต้คางแล้ว แล้วโน้มตัวไปหานายอภิสิทธิ์ ทำให้ นายอภิสิทธิ์ หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
***ย้ำการเมืองต้องไม่เป็นอุปสรรค
นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แสดงความเชื่อมั่นตัวเลขเศรษฐกิจว่าจะกลับไปอยู่ในแดนบวกในปลายปี 2552 หรืออย่างช้าต้นปี 2553 ว่า มีตัวเลขหลายอย่างประกอบกัน ทั้งตัวเลขที่เราไล่มาเป็นรายเดือน หรือผลกระทบจากมาตรการที่มีการใช้ทั้งในประเทศและของต่างประเทศในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงการคาดการณ์ของต่างประเทศต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉะนั้นตรงนี้เป็นจุดที่เรามั่นใจว่าน่าจะทำให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะนั้นได้
ส่วนปัญหาทางการเมืองจะส่งผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ย้ำตลอดว่าการเมืองต้องไม่เป็นอุปสรรค ถึงได้พยายามย้ำเตือน ขอร้องเพื่อนนักการเมืองทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ว่าความจริงแล้วประเทศเรามีโอกาสดีมาก อยากให้การเมืองได้ผลักดันให้ประเทศได้ใช้โอกาส อย่าให้การเมืองมาทำลายโอกาสของประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้ว การเมืองจะไม่เป็นที่ยอมรับ และจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ต่างๆมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีปัจจัยอะไรที่ห่วงว่าการเมืองกำลังจะทำลายโอกาสประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่ามีหลายเรื่อง ขณะนี้มีหลายฝ่ายที่แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง การทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้ง 2 เรื่องนี้ คิดว่าประชาชนมองด้วยความห่วงใย หรือมองด้วยความไม่พอใจมากที่สุดเวลาเกิดขึ้นในระบบการเมือง
"เรายังเชื่อว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 น่าจะดีขึ้น และเราคิดอย่างนี้มาตั้งแต่แรก เพียงแต่พอเกิดเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขของเดือนเมษายนก็กระทบไปด้วย แต่ต้องดูตัวเลขของเดือนพฤษภาคมอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะเลวร้ายลงไปกว่านี้ ส่วนที่มีความกังวลว่าตัวเลขจะต่ำลงไปอีกในไตรมาสต่อไปนั้น คิดว่าเรามีมาตรการหลายอย่างที่เร่งทำ ซึ่งเริ่มมีผลในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ที่ดูตัวเลข เช่น การใช้กำลังการผลิต เรื่องคนออกจากงาน ก็ดูดีขึ้นมา แต่ก็ต้องทำงานกันหนักต่อในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน"
สำหรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. .... ในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ คิดว่าภายในวันที่ 10 กว่าของเดือนมิถุนายน จะสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯได้
*** “เจ๊พร” ดื้อตาใสยันยังไม่ล้ม
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลได้มอบนโยบายดูแลสินค้าเกษตร โดยให้โอนงานระบายข้าวจาก อคส.ไปให้กับ คต. กรณีดังกล่าว ตนเองขอชี้แจงว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้ยกเลิกการประมูลข้าวภาครัฐ 2.6 ล้านตัน ที่มีเอกชน 17 ราย เสนอซื้อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะกรรมการดูแลระบบสินค้าภาคการเกษตรชุด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้อธิบดี คต.เป็นผู้ดูแล ตนจึงมอบนโยบายให้อธิบดี คต. ไปศึกษาและวางกรอบยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรทั้งระบบ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ด้านราคาและการระบาย เพื่อเกิดความเป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
สำหรับการระบายข้าว เป็นหน้าที่ของ คต.ที่จะต้องไปศึกษาวางกรอบและหารือร่วมกับภาคเอกชนที่ซื้อข้าวจากภาครัฐทั้ง 17 ราย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถตกลงกันได้ก่อนเสนอให้ตนพิจารณา หลังจากนั้น จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาสินค้าเกษตรทั้งระบบพิจารณาก่อนเสนอที่ประชุมครม. ทั้งนี้ หากอธิบดี คต.พิจารณาเสร็จเร็ว ก็จะเสนอที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า ถ้าไม่ทันจะเสนอในสัปดาห์ต่อไป
“กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่ได้ยกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวที่ทำไว้กับเอกชน แต่จะเป็นไปตามข้อสัญญาเดิมหรือไม่ต้อง ขึ้นกับผลการประชุมคณะทำงานฯ” นางพรทิวา กล่าว
***“กอร์ปศักดิ์” เผยมีช่องยกเลิก
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่า หากดูจากสัญญาประมูลข้าว คิดว่าคงพอมีช่องทางที่จะยกเลิกการประมูล โดยเอกชนไม่สามารถฟ้องร้องรัฐได้ ส่วนค่ามัดจำที่บางรายมีการจ่ายแล้วก็คืนเขาไป ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงพาณิชย์ จะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ตนเองไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย อย่างไรก็ตาม รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล ทางพาณิชย์ ยังไม่ได้รายงานรายละเอียดเรื่องนี้ในที่ประชุม ครม. หรือคณะกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ส่วนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การฟ้องร้องจากฝ่ายเอกชนนั้น นายกอร์ปศักดิ์ ตอบว่าตามหลักการแล้วหน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเป็นรับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
***ซีพีนกรู้พร้อมเจรจาใหม่
นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด หนึ่งในผู้ชนะประมูลข้าวสต๊อกรัฐบาล กล่าวว่า ยินดีที่จะเข้าไปเจรจากับกรมการค้าต่างประเทศ หากมีการเรียกผู้ชนะประมูลเข้าไปขอปรับราคาเพิ่มเติม แม้ว่าราคาข้าวที่บริษัทชนะประมูล จะเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ซึ่งราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ตันละ 2.5-2.6 หมื่นบาท ราคาที่เสนอซื้อไปก็อยู่ในระดับนั้น ก็สามารถเพิ่มราคาขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่หากจะมีการล้มประมูลข้าว ก็ไม่ขัดข้อง แต่ภาครัฐควรกำหนดเงื่อนไขประมูล (ทีโออาร์) ให้ชัดเจน และควรเปิดระบายทั้งในประเทศและส่งออกควบคู่กันไป รวมถึงการระบายผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วย เพื่อให้เงื่อนไขเปิดกว้างมากขึ้น
***เอเชียโกลเด้นฯ ยันราคาเหมาะแล้ว
นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ ประธานบริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ จำกัด กล่าวว่า จะทำหนังสือถึง รมว.พาณิชย์ และองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อสอบถามความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรกับข้าวสารที่ได้มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว เพราะขณะนี้ไม่รู้ว่าจะดำเนินธุรกิจอย่างไร เนื่องจากขนข้าวออกไปไม่ได้ ทำให้เกิดความเสียหาย เพราะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาแล้ว โดยข้าวที่บริษัทชนะประมูลมีปริมาณ 5 แสนตัน ในราคาเฉลี่ยตันละ 1.45 หมื่นบาท เป็นราคาเหมาะสม และไม่เห็นความจำเป็นต้องมีการต่อรองราคาเพิ่มอีก เนื่องจากราคาดังกล่าวบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีต้นทุนที่ตันละ 1.65 หมื่นบาท คิดเป็นราคาส่งออกเท่ากับตันละ 480 เหรียญสหรัฐ/ตัน ยากต่อการแข่งขัน เพราะราคาข้าวเวียดนามขณะนี้อยู่ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน
*** ประกันราคาระวังสวมสิทธิ์
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า แนวทางการประกันราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า จะต้องมีการศึกษารายละเอียด เพื่อกำหนดราคาประกันได้ถูกต้อง โดยวิธีการจะต้องลงลึกไปถึงจำนวนผลผลิตของเกษตรกร ราคาตลาด ต้นทุน และกำไรที่เกษตรควรได้รับ ถึงจะกำหนดออกมาเป็นราคาขั้นต่ำ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดี แต่ต้องระวังในเรื่องการสวมสิทธิ์เกษตรกร ดังนั้นจะต้องมีตรวจสอบการขึ้นทะเบียนของเกษตรอย่างละเอียดและถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวไม่ถึงว่าผิดหลักองค์การค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เพราะไม่ใช่การอุดหนุนโดยตรง เป็นเพียงวิธีการพยุงราคาสินค้าเกษตรภายในไว้เท่านั้น
*** ประชุม “ข้าวโพด- คชก.” 29 พ.ค.นี้
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่าวันที่ 29 พ.ค.นี้ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรก (คชก.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการยกเรื่องการดำเนินการระบายข้าวโพดในสต๊อก จำนวน 4.49 แสนตัน หลังจากที่ครม.ได้ตีกลับมารอบหนึ่ง หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ ทำเรื่องเสนอ โดยครม.ยังคงติดใจ การระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 4.49 แสนตัน ที่ให้เอกชน 3 รายที่ชนะการประมูล พบว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก
พร้อมกันนั้น จะมีการตรวจสอบคณะอนุกรรมการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่อนุมัติการระบายข้าวโพด ว่ามีอำนาจหรือไม่
ประเด็นดังกล่าว นายกฯตั้งข้อสังเกตว่า จะเป็นการดำเนินการคาบเกี่ยวและไปซ้ำซ้อนกับมติครม.เดิมจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาหรือไม่ เนื่องจากอนุกรรมการด้านการตลาดข้าวโพดมีแนวทางระบายและจำหน่ายสินค้าเกษตรต่างๆ ที่รับจำนำอยู่แล้ว
***มาร์คเตือนอย่าให้การเมืองเป็นตัวถ่วง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเมืองต้องไม่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาศักยภาพประเทศ ตนจึงได้พยายามย้ำเตือนขอร้องเพื่อนนักการเมืองทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เพราะจริงๆ แล้วประเทศมีโอกาสดีมากอยากให้การเมืองได้ผลักดันให้ประเทศได้ใช้โอกาสอย่าให้การเมืองมาทำลายโอกาสของประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วการเมืองจะไม่เป็นที่ยอมรับและยิ่งทำให้ซ้ำเติมสถานการณ์ต่างๆ
ต่อข้อถามว่าเวลานี้มีปัจจัยอะไรที่เป็นบวกว่าการเมืองกำลังจะทำลายโอกาส ประเทศ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่ตนคิดขณะนี้ก็มีหลายฝ่ายอออกมา แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมาไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนคิดว่า ประชาชนมองด้วยความ ห่วงใย หรือด้วยความไม่พอใจมากที่สุดเวลาเกิดขึ้นในระบบการเมือง.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้กับหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ที่กระทรวงพาณิชย์ วานนี้ (28 พ.ค.) ว่า ในส่วนการดูแลภาคการค้าภายในประเทศ รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตรให้หลุดจากวงจรการรับจำนำแบบเดิม มาเป็นระบบประกันราคาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ซึ่งได้นำร่องในส่วนของมันสำปะหลัง ที่จะใช้วิธีการประกันราคาให้กับเกษตรกร เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์กับเกษตรกรมากกว่า คือ หากเกษตรขายสินค้าเกษตรได้ราคาต่ำกว่าราคาประกัน ก็มารับเงินชดเชยจากรัฐบาล รวมถึงข้าวที่จะใช้แนวทางให้เกษตรกรซื้อประกันความเสี่ยง โดยรูปแบบกำลังให้หน่วยงานเกี่ยวข้องศึกษาอยู่
“สิ่งที่ต้องแก้ไข คือทำอย่างไรให้การสินค้าเกษตรหลุดจากวงจรการรับจำนำแบบเดิม ที่รัฐต้องเสียงบประมาณจำนวนมาก รับซื้อผลผลิตมาในราคาแพง และเกษตรกรกลับได้ไม่ทั่วถึง มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับประโยชน์” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แนวทางการระบายสินค้าเกษตรนั้น จะมองจากเป้าหมายการระบายต้องมีความโปร่งใส และทำให้รัฐบาลเสียหายน้อยสุด เพราะคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะต้องตัดสินใจนโยบายบนความถูกต้อง ส่วนกรณีที่เอกชนผู้ชนะการประมูลข้าว 17 ราย อาจฟ้องร้อง ครม. ที่ทำให้เกิดความเสียหายนั้น ยังไม่ทราบและไม่รู้สึกกังวล เพราะการตัดสินใจของครม. ถือเป็นนโยบายถูกต้อง และก็ได้ให้คณะทำงานเข้าไปดูแลเรื่องดังกล่าวแล้ว
“เรื่องการประมูลข้าวนั้น มอบหมายให้คณะทำงานที่ตั้งขึ้นมาไปดำเนินการ และเสนอ ครม. บนพื้นฐานคือให้ประเทศเสียหายน้อยสุด ไม่อยากให้ขาดทุนเหมือนกับการระบายสินค้าเกษตรในปีที่ผ่านมา แต่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องขายเท่ากับราคาตลาด จะขายต่ำกว่าราคาตลาดก็ไม่เป็นไร แต่ต้องตอบคำถามได้ชัดเจน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
*** ย้ำต้องทบทวนผลประมูลใหม่
ผู้สื่อข่าวถามว่า กระทรวงพาณิชย์ ยอมรับว่ามีการประมูลขายข้าวในสต็อกไปแล้ว โดยผู้ชนะมีประมาณ 17 บริษัท จะเป็นปัญหาหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กรณีข้าวโพดก็เคยประมูลไปแล้วตอนนี้ดูเหมือนจะจบไปแล้ว กรณีข้าวทางกระทรวงพาณิชย์ ยังไม่ได้ให้รายละเอียดมา ซึ่งในส่วนของ ครม.เราพูดถึงเรื่องหลักเกณฑ์ หลังจากนี้ต้องไปติดตามดูว่าทุกอย่างเป็นไปตามหลักเกณฑ์หรือไม่ อย่างไรก็ตาม แนวทางการระบายสินค้าคงจะมีข้อสรุปทันก่อนการประชุมครม.ในวันพุธที่ 3 มิ.ย.นี้
เมื่อถามว่า หมายถึงกระทรวงพาณิชย์ ต้องทบทวนในสิ่งที่ประมูลไปแล้วเพื่อให้เป็นไปตามมติ ครม. ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ใช่ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ เขาต้องยอมทบทวน ส่วนค่ามัดจำที่มีการจ่ายกันแล้วนั้นตรงนี้ต้องดู เพราะไม่ทราบรายละเอียดว่าไปทำกันถึงขั้นตอนไหน อย่างไร
ส่วนรัฐบาลจะมีทางออกให้กระทรวงพาณิชย์อย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวย้ำว่า เขาต้องปฏิบัติตามมติ ครม.
สำหรับกรอบเวลาจะระบายข้าวล็อตนี้สำเร็จเมื่อไหร่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่จริงแล้วข้าวที่เพิ่งเอาเข้ามาในโครงการจำนำ การระบายต้องดูด้วยว่าผลกระทบต่อตลาดเป็นอย่างไร ความจำเป็นไม่ได้รีบด่วนถึงขั้นต้องระบายทุกอย่างหมดด้วยความรวดเร็ว อันนี้ต้องดูและชั่งน้ำหนักให้ดี
นายอภิสิทธิ์ ยังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาสินค้าเกษตร ชุดที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน ซึ่งมีมติให้กรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เป็นผู้ดูแลในการระบายสินค้าเกษตรว่า เป็นแนวทางที่เสนอในครม. คือทำบทบาทของแต่ละหน่วยงานให้ชัดเจนว่ามีหน้าที่อะไร ตอนนี้มีความสับสนในบทบาทของแต่ละหน่วยงาน เพราะที่ผ่านมาดูจากประสบการณ์ปีที่แล้ว การให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) เข้ามารับผิดชอบงานระบายสินค้าเป็นจุดอ่อน เพราะอคส. มีหน้าที่เก็บรักษามากกว่าเป็นผู้กำหนดแนวทางระบายสินค้า
เมื่อถามว่า นางพรทิวา ได้แสดงความน้อยใจอะไรหรือไม่ที่ไม่ให้ อคส. ดำเนินการเรื่องข้าว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงไม่มีเรื่องทำงานแล้วจะน้อยใจอะไรกันคงไม่ได้ เพราะทุกอย่างเพื่อประโยชน์สำเร็จของงานคือการรักษาประ โยชน์ของประเทศ เชื่อว่าทุกฝ่ายคงเข้าใจ
สำหรับบรรยากาศการเดินทางไปประชุมมอบนโยบายให้หัวหน้าส่วนราชการของนายกรัฐมนตรี ที่กระทรวงพาณิชย์นั้น เป็นไปอย่างชื่นมื่น หลังจากนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีมอบวุฒิบัตรแก่ผู้สำเร็จหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์รุ่นที่ 1 มีการร่วมถ่ายภาพกับผู้สำเร็จหลักสูตรบนเวที โดยนางพรทิวา นั่งด้านขวา และ นายอลงกรณ์ นั่งด้านซ้าย พร้อมกับสนทนาอย่างเป็นกันเอง ขณะที่นักข่าวตั้งข้อสังเกตว่า นางพรทิวา ได้ยกมือขวาขึ้นโพสท่านิ้วชี้ตั้งฉากกับหัวแม่โป้ง เอาไว้ใต้คางแล้ว แล้วโน้มตัวไปหานายอภิสิทธิ์ ทำให้ นายอภิสิทธิ์ หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
***ย้ำการเมืองต้องไม่เป็นอุปสรรค
นายกรัฐมนตรียังให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่แสดงความเชื่อมั่นตัวเลขเศรษฐกิจว่าจะกลับไปอยู่ในแดนบวกในปลายปี 2552 หรืออย่างช้าต้นปี 2553 ว่า มีตัวเลขหลายอย่างประกอบกัน ทั้งตัวเลขที่เราไล่มาเป็นรายเดือน หรือผลกระทบจากมาตรการที่มีการใช้ทั้งในประเทศและของต่างประเทศในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมไปถึงการคาดการณ์ของต่างประเทศต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉะนั้นตรงนี้เป็นจุดที่เรามั่นใจว่าน่าจะทำให้สถานการณ์เป็นไปในลักษณะนั้นได้
ส่วนปัญหาทางการเมืองจะส่งผลต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้ย้ำตลอดว่าการเมืองต้องไม่เป็นอุปสรรค ถึงได้พยายามย้ำเตือน ขอร้องเพื่อนนักการเมืองทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน ว่าความจริงแล้วประเทศเรามีโอกาสดีมาก อยากให้การเมืองได้ผลักดันให้ประเทศได้ใช้โอกาส อย่าให้การเมืองมาทำลายโอกาสของประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้ว การเมืองจะไม่เป็นที่ยอมรับ และจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ต่างๆมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีปัจจัยอะไรที่ห่วงว่าการเมืองกำลังจะทำลายโอกาสประเทศ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่ามีหลายเรื่อง ขณะนี้มีหลายฝ่ายที่แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง การทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้ง 2 เรื่องนี้ คิดว่าประชาชนมองด้วยความห่วงใย หรือมองด้วยความไม่พอใจมากที่สุดเวลาเกิดขึ้นในระบบการเมือง
"เรายังเชื่อว่า ตัวเลขเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 น่าจะดีขึ้น และเราคิดอย่างนี้มาตั้งแต่แรก เพียงแต่พอเกิดเหตุการณ์ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตัวเลขของเดือนเมษายนก็กระทบไปด้วย แต่ต้องดูตัวเลขของเดือนพฤษภาคมอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะเลวร้ายลงไปกว่านี้ ส่วนที่มีความกังวลว่าตัวเลขจะต่ำลงไปอีกในไตรมาสต่อไปนั้น คิดว่าเรามีมาตรการหลายอย่างที่เร่งทำ ซึ่งเริ่มมีผลในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ตอนนี้ที่ดูตัวเลข เช่น การใช้กำลังการผลิต เรื่องคนออกจากงาน ก็ดูดีขึ้นมา แต่ก็ต้องทำงานกันหนักต่อในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน"
สำหรับงบกระตุ้นเศรษฐกิจรอบ 2 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. .... ในวันที่ 3 มิถุนายนนี้ คิดว่าภายในวันที่ 10 กว่าของเดือนมิถุนายน จะสามารถนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯได้
*** “เจ๊พร” ดื้อตาใสยันยังไม่ล้ม
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลได้มอบนโยบายดูแลสินค้าเกษตร โดยให้โอนงานระบายข้าวจาก อคส.ไปให้กับ คต. กรณีดังกล่าว ตนเองขอชี้แจงว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้ยกเลิกการประมูลข้าวภาครัฐ 2.6 ล้านตัน ที่มีเอกชน 17 ราย เสนอซื้อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะกรรมการดูแลระบบสินค้าภาคการเกษตรชุด นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้อธิบดี คต.เป็นผู้ดูแล ตนจึงมอบนโยบายให้อธิบดี คต. ไปศึกษาและวางกรอบยุทธศาสตร์สินค้าเกษตรทั้งระบบ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด ด้านราคาและการระบาย เพื่อเกิดความเป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้
สำหรับการระบายข้าว เป็นหน้าที่ของ คต.ที่จะต้องไปศึกษาวางกรอบและหารือร่วมกับภาคเอกชนที่ซื้อข้าวจากภาครัฐทั้ง 17 ราย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนและสามารถตกลงกันได้ก่อนเสนอให้ตนพิจารณา หลังจากนั้น จะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาสินค้าเกษตรทั้งระบบพิจารณาก่อนเสนอที่ประชุมครม. ทั้งนี้ หากอธิบดี คต.พิจารณาเสร็จเร็ว ก็จะเสนอที่ประชุม ครม.สัปดาห์หน้า ถ้าไม่ทันจะเสนอในสัปดาห์ต่อไป
“กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่ได้ยกเลิกสัญญาซื้อขายข้าวที่ทำไว้กับเอกชน แต่จะเป็นไปตามข้อสัญญาเดิมหรือไม่ต้อง ขึ้นกับผลการประชุมคณะทำงานฯ” นางพรทิวา กล่าว
***“กอร์ปศักดิ์” เผยมีช่องยกเลิก
นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลฝ่ายเศรษฐกิจ ให้สัมภาษณ์ “ASTVผู้จัดการรายวัน” ว่า หากดูจากสัญญาประมูลข้าว คิดว่าคงพอมีช่องทางที่จะยกเลิกการประมูล โดยเอกชนไม่สามารถฟ้องร้องรัฐได้ ส่วนค่ามัดจำที่บางรายมีการจ่ายแล้วก็คืนเขาไป ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับกระทรวงพาณิชย์ จะพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไร ตนเองไม่อยากเข้าไปก้าวก่าย อย่างไรก็ตาม รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาล ทางพาณิชย์ ยังไม่ได้รายงานรายละเอียดเรื่องนี้ในที่ประชุม ครม. หรือคณะกรรมการฯ ที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ส่วนความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เช่น การฟ้องร้องจากฝ่ายเอกชนนั้น นายกอร์ปศักดิ์ ตอบว่าตามหลักการแล้วหน่วยงานเจ้าของโครงการจะต้องเป็นรับผิดชอบ ซึ่งเรื่องนี้กระทรวงพาณิชย์ ก็ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ
***ซีพีนกรู้พร้อมเจรจาใหม่
นายสุเมธ เหล่าโมราพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี. อินเตอร์เทรด หนึ่งในผู้ชนะประมูลข้าวสต๊อกรัฐบาล กล่าวว่า ยินดีที่จะเข้าไปเจรจากับกรมการค้าต่างประเทศ หากมีการเรียกผู้ชนะประมูลเข้าไปขอปรับราคาเพิ่มเติม แม้ว่าราคาข้าวที่บริษัทชนะประมูล จะเป็นราคาที่ใกล้เคียงกับราคาตลาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ซึ่งราคาตลาดปัจจุบันอยู่ที่ตันละ 2.5-2.6 หมื่นบาท ราคาที่เสนอซื้อไปก็อยู่ในระดับนั้น ก็สามารถเพิ่มราคาขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่หากจะมีการล้มประมูลข้าว ก็ไม่ขัดข้อง แต่ภาครัฐควรกำหนดเงื่อนไขประมูล (ทีโออาร์) ให้ชัดเจน และควรเปิดระบายทั้งในประเทศและส่งออกควบคู่กันไป รวมถึงการระบายผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าด้วย เพื่อให้เงื่อนไขเปิดกว้างมากขึ้น
***เอเชียโกลเด้นฯ ยันราคาเหมาะแล้ว
นายสมบัติ เฉลิมวุฒินันท์ ประธานบริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ จำกัด กล่าวว่า จะทำหนังสือถึง รมว.พาณิชย์ และองค์การคลังสินค้า (อคส.) เพื่อสอบถามความชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไรกับข้าวสารที่ได้มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว เพราะขณะนี้ไม่รู้ว่าจะดำเนินธุรกิจอย่างไร เนื่องจากขนข้าวออกไปไม่ได้ ทำให้เกิดความเสียหาย เพราะมีคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาแล้ว โดยข้าวที่บริษัทชนะประมูลมีปริมาณ 5 แสนตัน ในราคาเฉลี่ยตันละ 1.45 หมื่นบาท เป็นราคาเหมาะสม และไม่เห็นความจำเป็นต้องมีการต่อรองราคาเพิ่มอีก เนื่องจากราคาดังกล่าวบวกค่าใช้จ่ายต่างๆ จะมีต้นทุนที่ตันละ 1.65 หมื่นบาท คิดเป็นราคาส่งออกเท่ากับตันละ 480 เหรียญสหรัฐ/ตัน ยากต่อการแข่งขัน เพราะราคาข้าวเวียดนามขณะนี้อยู่ 400 เหรียญสหรัฐ/ตัน
*** ประกันราคาระวังสวมสิทธิ์
นายยรรยง พวงราช อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า แนวทางการประกันราคาสินค้าเกษตรล่วงหน้า จะต้องมีการศึกษารายละเอียด เพื่อกำหนดราคาประกันได้ถูกต้อง โดยวิธีการจะต้องลงลึกไปถึงจำนวนผลผลิตของเกษตรกร ราคาตลาด ต้นทุน และกำไรที่เกษตรควรได้รับ ถึงจะกำหนดออกมาเป็นราคาขั้นต่ำ ซึ่งเป็นวิธีการที่ดี แต่ต้องระวังในเรื่องการสวมสิทธิ์เกษตรกร ดังนั้นจะต้องมีตรวจสอบการขึ้นทะเบียนของเกษตรอย่างละเอียดและถูกต้อง เพื่อป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์ที่อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม วิธีการดังกล่าวไม่ถึงว่าผิดหลักองค์การค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เพราะไม่ใช่การอุดหนุนโดยตรง เป็นเพียงวิธีการพยุงราคาสินค้าเกษตรภายในไว้เท่านั้น
*** ประชุม “ข้าวโพด- คชก.” 29 พ.ค.นี้
รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่าวันที่ 29 พ.ค.นี้ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ รวมทั้งจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรก (คชก.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ คาดว่าจะมีการยกเรื่องการดำเนินการระบายข้าวโพดในสต๊อก จำนวน 4.49 แสนตัน หลังจากที่ครม.ได้ตีกลับมารอบหนึ่ง หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ ทำเรื่องเสนอ โดยครม.ยังคงติดใจ การระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จำนวน 4.49 แสนตัน ที่ให้เอกชน 3 รายที่ชนะการประมูล พบว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาตลาดมาก
พร้อมกันนั้น จะมีการตรวจสอบคณะอนุกรรมการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่อนุมัติการระบายข้าวโพด ว่ามีอำนาจหรือไม่
ประเด็นดังกล่าว นายกฯตั้งข้อสังเกตว่า จะเป็นการดำเนินการคาบเกี่ยวและไปซ้ำซ้อนกับมติครม.เดิมจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมาหรือไม่ เนื่องจากอนุกรรมการด้านการตลาดข้าวโพดมีแนวทางระบายและจำหน่ายสินค้าเกษตรต่างๆ ที่รับจำนำอยู่แล้ว
***มาร์คเตือนอย่าให้การเมืองเป็นตัวถ่วง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การเมืองต้องไม่เป็นอุปสรรคในการพัฒนาศักยภาพประเทศ ตนจึงได้พยายามย้ำเตือนขอร้องเพื่อนนักการเมืองทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายไหน เพราะจริงๆ แล้วประเทศมีโอกาสดีมากอยากให้การเมืองได้ผลักดันให้ประเทศได้ใช้โอกาสอย่าให้การเมืองมาทำลายโอกาสของประเทศ ไม่เช่นนั้นแล้วการเมืองจะไม่เป็นที่ยอมรับและยิ่งทำให้ซ้ำเติมสถานการณ์ต่างๆ
ต่อข้อถามว่าเวลานี้มีปัจจัยอะไรที่เป็นบวกว่าการเมืองกำลังจะทำลายโอกาส ประเทศ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่ตนคิดขณะนี้ก็มีหลายฝ่ายอออกมา แสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมาไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ตนคิดว่า ประชาชนมองด้วยความ ห่วงใย หรือด้วยความไม่พอใจมากที่สุดเวลาเกิดขึ้นในระบบการเมือง.