ความร่วมมือการค้าข้าวไทย-เวียดนาม ที่ได้ก่อร่างสร้างตัวกันมาตั้งแต่ปี 2544 ที่รัฐมนตรีทั้ง 2 ฝ่ายได้ริเริ่มกันเอาไว้ มาถึงวันนี้ เกิดความชัดเจนเป็นรูปธรรมมากขึ้นแล้ว เพราะความร่วมมือได้มีการสานต่อ และนำไปสู่ภาคปฏิบัติ และทั้ง 2 ประเทศได้ให้ความสำคัญ โดยมีเป้าหมายที่จะผลักดันราคาข้าวในตลาดโลกให้ปรับตัวสูงขึ้น
ผู้ส่งออกสามารถขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรมและเกษตรกรของทั้ง 2 ประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศ มีความร่วมมือค้าข้าวระหว่างกัน ก็ได้มีการเปิดเวทีหารือเพื่อสานต่อความร่วมมือกันมาหลายต่อหลายครั้ง และหลายเวที ทั้งในระดับรัฐบาลกับรัฐบาล เอกชนกับเอกชน หรือมีเวทีหารือร่วมทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และในแต่ละครั้งก็มีความคืบหน้าที่จะดำเนินการร่วมกันเป็นระยะๆ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14-15 พ.ค.2552 นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นำคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วยกรมการค้าต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสมาคมชาวนาไทยเดินทางไปประเทศเวียดนามเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือเรื่องข้าวและความร่วมมือด้านการค้าอื่นๆ ให้เกิดความคืบหน้า
“ทั้ง 2 ฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างกว้างขวางและมีความเห็นชอบร่วมกัน โดยในด้านความร่วมมือเรื่องข้าว เห็นชอบที่จะร่วมกันกระชับและขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด ราคา การผลิต อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้มีคณะทำงาน 3 คณะ ประกอบด้วย 1.เจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้ส่งออก และชาวนา”นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือในส่วนของเจ้าหน้าที่อาวุโส จะมีการเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายข้าวของแต่ละประเทศและหารือแนวโน้มตลาดโดยเวียดนามมอบให้กรมการส่งออกและนำเข้าเป็นหน่วยงานกลาง และไทยมอบสำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานกลาง กำหนดรูปแบบการประสานงานต่อไป
ในส่วนของผู้ส่งออก สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสมาคมอาหารแห่งชาติเวียดนามจะแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การค้า ราคา และการขนส่งข้าวอย่างสม่ำเสมอ
ในส่วนของชาวนา สมาคมชาวนาไทยและสหพันธ์ชาวนาเวียดนามจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับการผลิต การตลาด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเกษตรของทั้งสองประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของชาวนาให้ดีขึ้น
คณะทำงานทั้ง 3 คณะ จะมีการหารือร่วมกันในระหว่างนี้ และจะมีการรายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานให้กับรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีโอกาสจะพบปะกันอีกครั้งในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ที่กำหนดจัดการประชุมในเดือนส.ค.นี้ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ
ไทยและเวียดนามจะสานต่อความร่วมมือข้าวระหว่างกันในตลาดโลกได้อย่างไร และเป้าหมายในการผลักดันให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น ที่จะส่งผลให้ผู้ส่งออกทั้ง 2 ประเทศ มีรายได้เพิ่มขึ้น และเกษตรกรของทั้ง 2 ประเทศขายข้าวได้ราคาดีขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะมีทิศทางออกมาให้เห็นอย่างไร คงจะต้องจับตาดูกันต่อไป
ผู้ส่งออกสามารถขายข้าวได้ในราคาที่เป็นธรรมและเกษตรกรของทั้ง 2 ประเทศมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
หลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศ มีความร่วมมือค้าข้าวระหว่างกัน ก็ได้มีการเปิดเวทีหารือเพื่อสานต่อความร่วมมือกันมาหลายต่อหลายครั้ง และหลายเวที ทั้งในระดับรัฐบาลกับรัฐบาล เอกชนกับเอกชน หรือมีเวทีหารือร่วมทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง และในแต่ละครั้งก็มีความคืบหน้าที่จะดำเนินการร่วมกันเป็นระยะๆ
ล่าสุด เมื่อวันที่ 14-15 พ.ค.2552 นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นำคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชน ประกอบด้วยกรมการค้าต่างประเทศ กรมส่งเสริมการส่งออก กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กรมการข้าว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย และสมาคมชาวนาไทยเดินทางไปประเทศเวียดนามเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือเรื่องข้าวและความร่วมมือด้านการค้าอื่นๆ ให้เกิดความคืบหน้า
“ทั้ง 2 ฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นอย่างกว้างขวางและมีความเห็นชอบร่วมกัน โดยในด้านความร่วมมือเรื่องข้าว เห็นชอบที่จะร่วมกันกระชับและขยายความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการตลาด ราคา การผลิต อย่างเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้มีคณะทำงาน 3 คณะ ประกอบด้วย 1.เจ้าหน้าที่อาวุโส ผู้ส่งออก และชาวนา”นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ ความร่วมมือในส่วนของเจ้าหน้าที่อาวุโส จะมีการเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายข้าวของแต่ละประเทศและหารือแนวโน้มตลาดโดยเวียดนามมอบให้กรมการส่งออกและนำเข้าเป็นหน่วยงานกลาง และไทยมอบสำนักบริหารการค้าข้าว กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานกลาง กำหนดรูปแบบการประสานงานต่อไป
ในส่วนของผู้ส่งออก สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยและสมาคมอาหารแห่งชาติเวียดนามจะแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์การค้า ราคา และการขนส่งข้าวอย่างสม่ำเสมอ
ในส่วนของชาวนา สมาคมชาวนาไทยและสหพันธ์ชาวนาเวียดนามจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสบการณ์เกี่ยวกับการผลิต การตลาด เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างเกษตรของทั้งสองประเทศและยกระดับความเป็นอยู่ของชาวนาให้ดีขึ้น
คณะทำงานทั้ง 3 คณะ จะมีการหารือร่วมกันในระหว่างนี้ และจะมีการรายงานความคืบหน้าของการดำเนินงานให้กับรัฐมนตรีของทั้ง 2 ประเทศ ที่มีโอกาสจะพบปะกันอีกครั้งในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ที่กำหนดจัดการประชุมในเดือนส.ค.นี้ ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ
ไทยและเวียดนามจะสานต่อความร่วมมือข้าวระหว่างกันในตลาดโลกได้อย่างไร และเป้าหมายในการผลักดันให้ราคาข้าวปรับตัวสูงขึ้น ที่จะส่งผลให้ผู้ส่งออกทั้ง 2 ประเทศ มีรายได้เพิ่มขึ้น และเกษตรกรของทั้ง 2 ประเทศขายข้าวได้ราคาดีขึ้น มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จะมีทิศทางออกมาให้เห็นอย่างไร คงจะต้องจับตาดูกันต่อไป