ASTVผู้จัดการรายวัน – บางจากฯลั่นการหยุดโครงการPQI กระทบกำไรสุทธิเล็กน้อยเพียง 2-3% หลังปริมาณการกลั่นน้ำมันปีนี้เฉลี่ยลดลงจาก 9.3 หมื่นบาร์เรล/วันเหลือเพียง 9.1 หมื่นบาร์เรล/วัน มั่นใจไตรมาส 2 กำไรใกล้เคียงไตรมาสแรก แย้มมีโอกาสจ่ายปันผลระหว่างกาลครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบางจากฯ
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่าจากการหยุดโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) เพื่อซ่อมแซมระบบควบคุมอัตโนมัติในการเปิดปิดและสูบถ่ายน้ำมันของหน่วยแตกตัวโมเลกุลเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ยืนยันว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิทั้งปีเพียง 2-3%เท่านั้น
เนื่องจากโครงการPQIอยู่ระหว่างการทดลองเดินเครื่อง ทำให้ตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นบริษัท CTCI ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเหมาไต้หวันจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขณะเดียวกันบริษัทได้ทำประกันคุ้มครองความเสียหายระหว่างการก่อสร้างและความเสี่ยงจากการล่าช้าของโครงการไว้ด้วย เบื้องต้นบริษัทฯจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นมากที่สุดเพียง2เดือน หากต้องหยุดโรงงานมากกว่านี้บริษัทประกันก็รับผิดชอบไป
" ขณะนี้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับดูไบ(สเปรด)อยู่ที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นสเปรดที่ค่อนข้างแคบ ทำให้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นแบบไฮโดรแครกเกอร์กับโรงกลั่นไฮโดรสกรีมมิ่ง(บางจาก)ไม่แตกต่างกัน ขณะที่ยังมีกำไรจากการเฮดจิ้ง ทำให้การหยุดโครงการPQI จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะโครงการนี้ไม่เสร็จทำให้ยังไม่มีค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมและภาษี ส่วนกำลังการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยปีนี้จะลดลงจากเดิม 9.3 หมื่นบาร์เรล/วันเหลือเพียง 9.1 หมื่นบาร์เรล/วันหากหยุดPQI 2 เดือนเท่านั้น"
ปัจจุบันโรงกลั่นบางจากกลั่นลดลงจาก 9.5 หมื่นบาร์เรล/วันเหลือเพียง 8.5 หมื่นบาร์เรล/วัน และมีปริมาณน้ำมันเตาเพิ่มขึ้นจาก 14%เป็น 35%ของกำลังผลิต ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำสัญญาขายน้ำมันเตาล่วงหน้าทั้งหมด 2เดือนช่วงที่หยุดPQI ในราคาพีเมี่ยมหรือระดับราคาใกล้เคียงราคาน้ำมันดิบ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ จะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงไตรมาส 1/2552 ที่มีกำไรสุทธิ 1,581 ล้านบาท ทำให้มีโอกาสที่บริษัทฯจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งมีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50%ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯขึ้นมา
" ผลการดำเนินงานของบางจากฯปีนี้ยังเป็นปีที่ดีที่สุดแม้ว่าจะมีปัญหาการหยุดซ่อมโครงการPQI ทำให้กำลังการกลั่นลดลลงบ้าง ทำให้เสียรายได้จากสเปรดดีเซลเทียบน้ำมันดิบก็ตาม แต่ยังมีรายได้จากการทำเฮดจิ้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในการทำเฮดจิ้งน้ำมันในปีหน้า แม้ว่าสเปรดจะค่อนข้างแคบก็ตาม"
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจการตลาด BCP กล่าวว่า ไตรมาส 2 นี้ คาดว่าการบริโภคน้ำมันในประเทศจะขยายตัวติดลบ 1-2% เนื่องจากราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้ ดังนั้น บริษัทฯจะมีแคมเปญสร้างความเชื่อมั่นในการใช้แก๊สโซฮอล์ เพื่อไม่ให้ยอดขายลดลง
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่าจากการหยุดโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) เพื่อซ่อมแซมระบบควบคุมอัตโนมัติในการเปิดปิดและสูบถ่ายน้ำมันของหน่วยแตกตัวโมเลกุลเมื่อวันที่ 21 พ.ค.ที่ผ่านมา ยืนยันว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรสุทธิทั้งปีเพียง 2-3%เท่านั้น
เนื่องจากโครงการPQIอยู่ระหว่างการทดลองเดินเครื่อง ทำให้ตัวเลขความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นบริษัท CTCI ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเหมาไต้หวันจะเป็นผู้รับผิดชอบ ขณะเดียวกันบริษัทได้ทำประกันคุ้มครองความเสียหายระหว่างการก่อสร้างและความเสี่ยงจากการล่าช้าของโครงการไว้ด้วย เบื้องต้นบริษัทฯจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นมากที่สุดเพียง2เดือน หากต้องหยุดโรงงานมากกว่านี้บริษัทประกันก็รับผิดชอบไป
" ขณะนี้ส่วนต่างราคาน้ำมันดีเซลกับดูไบ(สเปรด)อยู่ที่ 5-6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งเป็นสเปรดที่ค่อนข้างแคบ ทำให้ค่าการกลั่นของโรงกลั่นแบบไฮโดรแครกเกอร์กับโรงกลั่นไฮโดรสกรีมมิ่ง(บางจาก)ไม่แตกต่างกัน ขณะที่ยังมีกำไรจากการเฮดจิ้ง ทำให้การหยุดโครงการPQI จะไม่ได้รับผลกระทบมากนักเพราะโครงการนี้ไม่เสร็จทำให้ยังไม่มีค่าใช้จ่ายค่าเสื่อมและภาษี ส่วนกำลังการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยปีนี้จะลดลงจากเดิม 9.3 หมื่นบาร์เรล/วันเหลือเพียง 9.1 หมื่นบาร์เรล/วันหากหยุดPQI 2 เดือนเท่านั้น"
ปัจจุบันโรงกลั่นบางจากกลั่นลดลงจาก 9.5 หมื่นบาร์เรล/วันเหลือเพียง 8.5 หมื่นบาร์เรล/วัน และมีปริมาณน้ำมันเตาเพิ่มขึ้นจาก 14%เป็น 35%ของกำลังผลิต ซึ่งขณะนี้บริษัทได้ทำสัญญาขายน้ำมันเตาล่วงหน้าทั้งหมด 2เดือนช่วงที่หยุดPQI ในราคาพีเมี่ยมหรือระดับราคาใกล้เคียงราคาน้ำมันดิบ ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 นี้ จะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงไตรมาส 1/2552 ที่มีกำไรสุทธิ 1,581 ล้านบาท ทำให้มีโอกาสที่บริษัทฯจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ซึ่งมีนโยบายจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50%ของกำไรสุทธิ ซึ่งจะเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯขึ้นมา
" ผลการดำเนินงานของบางจากฯปีนี้ยังเป็นปีที่ดีที่สุดแม้ว่าจะมีปัญหาการหยุดซ่อมโครงการPQI ทำให้กำลังการกลั่นลดลลงบ้าง ทำให้เสียรายได้จากสเปรดดีเซลเทียบน้ำมันดิบก็ตาม แต่ยังมีรายได้จากการทำเฮดจิ้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในการทำเฮดจิ้งน้ำมันในปีหน้า แม้ว่าสเปรดจะค่อนข้างแคบก็ตาม"
นายยอดพจน์ วงศ์รักมิตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านธุรกิจการตลาด BCP กล่าวว่า ไตรมาส 2 นี้ คาดว่าการบริโภคน้ำมันในประเทศจะขยายตัวติดลบ 1-2% เนื่องจากราคาน้ำมันขายปลีกปรับตัวเพิ่มขึ้นและการปรับขึ้นภาษีสรรพสามิตทำให้ราคาน้ำมันขยับสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้ ดังนั้น บริษัทฯจะมีแคมเปญสร้างความเชื่อมั่นในการใช้แก๊สโซฮอล์ เพื่อไม่ให้ยอดขายลดลง