ASTVผู้จัดการรายวัน – “บางจากปิโตรเลียม” คาดผลดำเนินงานไตรมาส 1/52 จะดีกว่าไตรมาส4 ปีที่ผ่านมา เหตุมีการทำเฮดจิ้งน้ำมันป้องกันความเสี่ยง และขายน้ำมันเตาได้ ในราคาสูง พร้อมยอมรับอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อหาแนวทางซื้อหุ้นคืน หลังพบมีการซื้อขายในกระดาน 5-8% จากทั้งหมดที่อยู่ถึง 38% คาดได้ข้อสรุปภายในเดือนนี้ ส่วนปีนี้ประเมินว่าราคาน้ำมันจะอยู่ที่ 50-55 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลล์
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 4/51 และน่าดีกว่าผลการดำเนินงานของงวดเดียวในปีก่อน เพราะค่าการกลั่นในช่วงดังกล่าวสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 5 เหรียญสหรัฐ/บาเรลล์อันเป็นผลมาจากการทำสัญญาขายน้ำมันล่วงหน้า (เฮดจิ้ง)ของราคาน้ำมันในช่วงปีที่แล้วถึง40% ของปริมาณการผลิต รวมทั้งการขายน้ำเตาได้ในราคาที่สูงกว่าราคา น้ำมันดิบ
ทั้งนี้ การทำเฮดจิ้งราคาน้ำของ BCP โดยปกติจะทำอยู่ระหว่างช่วง 12-18 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันมมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย โดยราคาค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้เป็นผลมาจากการทำเฮดจิ้งในช่วงระหว่างไตรมาส 1-2 ของปี 51
“บริษัทได้มีการทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาล่วงหน้ากับประเทศญี่ปุ่นไว้ประมาณ 50% ของปริมาณน้ำมันเตาทั้งหมดในช่วงราคาของไตรมาส1-2 ปี 2551 ขณะเดียวกันเราเตรียมจะขยายฐานลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมให้มากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ค่าการกลั่นเฉลี่ยของปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับปี 51 ที่มีค่าการกลั่นที่ 6.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 1.64 เหรียญฯ/บาเรลล์ หรือคิดเป็น 89.02%” นายปฏิภาณ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาปัญหาของสภาพราคาหุ้น BCP เพื่อหาแนวทางเพื่อซื้อหุ้นคืนต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนเมษายนปีนี้ โดยปัจจุบันหุ้นของบริษัทมีการกระจายหุ้นบนกระดานซื้อขายอยู่ที่ 38% ของหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมด แต่เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายเป็นประจำเพียงแค่ 5-8% เท่านั้น
อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทฯ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะมีระดับไม่ต่ำกว่า 36 เหรียญสหรัฐ/บาเรลล์ และเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะมีเฉลี่ยของทั้งปีนี้อยู่ที่ประมาณ 50-55 เหรียญฯ/ต่อบาเรลล์ เทียบกับในช่วงต้นปี 51 ที่มีราคาสูงถึง 89 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลล์ และเคยขึ้นไปสูงสุดกลางปีที่ 140 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลล์ ซึ่งหากตัวเลขเป็นดังนั้นก็เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะไม่เห็นการขาดทุนสต็อกน้ำมันดิบดังเช่นปีที่ผ่านมา
สำหรับในปี 52 บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) น่าจะอยู่ที่ 8.5-9 พันล้านบาท จากเดิมที่เคยตั้งเป้าในปีนี้ไว้ 6-8 พันล้านบาท เนื่องจากโครงปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตา (PQI) ได้สร้างเสร็จและปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองระบบผลิต โดยหากโครงการดังกล่าวดำเนินเชิงพาณิชย์ได้จะทำให้สามารถผลิตน้ำมันได้ประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาเรลล์ต่อวัน เทียบกับปี 51 ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 74,000 บาเรลล์ต่อวัน เพิ่มขึ้น 21,000 บาเรลล์ต่อวัน หรือคิดเป็น 28.39%
ทั้งนี้ จากการสำรวจในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 52 พบว่าค่าการตลาด(market margin) ของ BCP จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร เทียบกับปี 51 ที่มีค่าการตลาดเฉลี่ย 0.60 บาท/ลิตร โดยตัวเลขสามเดือนแรกมองว่าเป็นขั้นต่ำและอาจขึ้นไปสูงกว่า 1.50 บาท/ลิตร เพราะภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้ธุรกิจบางแห่งที่ไม่มีรายได้จากค่าการกลั่นหันมาหารายได้จากการขายน้ำมันหน้าปั้มมากขึ้น ตลอดจนยังได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐในส่วนน้ำมันไบโอดีเซล 5% (B5) และน้ำมันแก๊สโซฮอลล์
ขณะที่ผลประกอบการในปี 51 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 750.09 ล้านบาท เทียบกับปี 50 ที่มีกำไรสุทธิ 1763.76 ล้านบาท เรื่องนี้เป็นผลมาจากเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวน ส่งผลให้ธุรกิจด้านโรงกลั่นของบริษัทขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 5 พันกว่าล้านบาท
โดยความสามารถกลั่นน้ำมันดิบของบริษัทในปีที่แล้วเฉลี่ย 7.4 หมื่นบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่กลั่นระดับ 6.6 บาร์เรล/วัน เนื่องจากราคาส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและน้ำมันดิบในปี 51 อยู่ในระดับสูงโดยเฉลี่ย 26 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อีกทั้งยังสามารถส่งออกน้ำมันเตาได้เพิ่มขึ้น ในราคาที่สูงกว่ากา รจำหน่ายน้ำมันเตาทั่วไปในประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯมีค่าการกลั่นที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันสูงถึง 6.54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และมีผลประกอบการ EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่น 4.42 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 1.91 พันล้านบาท
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยว่า บริษัทฯ คาดการณ์ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/52 น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 4/51 และน่าดีกว่าผลการดำเนินงานของงวดเดียวในปีก่อน เพราะค่าการกลั่นในช่วงดังกล่าวสูงขึ้นกว่าปีก่อนถึง 5 เหรียญสหรัฐ/บาเรลล์อันเป็นผลมาจากการทำสัญญาขายน้ำมันล่วงหน้า (เฮดจิ้ง)ของราคาน้ำมันในช่วงปีที่แล้วถึง40% ของปริมาณการผลิต รวมทั้งการขายน้ำเตาได้ในราคาที่สูงกว่าราคา น้ำมันดิบ
ทั้งนี้ การทำเฮดจิ้งราคาน้ำของ BCP โดยปกติจะทำอยู่ระหว่างช่วง 12-18 เดือน เนื่องจากราคาน้ำมันมมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย โดยราคาค่าการกลั่นที่สูงขึ้นนี้เป็นผลมาจากการทำเฮดจิ้งในช่วงระหว่างไตรมาส 1-2 ของปี 51
“บริษัทได้มีการทำสัญญาซื้อขายน้ำมันเตาล่วงหน้ากับประเทศญี่ปุ่นไว้ประมาณ 50% ของปริมาณน้ำมันเตาทั้งหมดในช่วงราคาของไตรมาส1-2 ปี 2551 ขณะเดียวกันเราเตรียมจะขยายฐานลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมให้มากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ค่าการกลั่นเฉลี่ยของปีนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 8 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เทียบกับปี 51 ที่มีค่าการกลั่นที่ 6.54 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้น 1.64 เหรียญฯ/บาเรลล์ หรือคิดเป็น 89.02%” นายปฏิภาณ กล่าว
ขณะเดียวกันบริษัทฯ อยู่ระหว่างศึกษาปัญหาของสภาพราคาหุ้น BCP เพื่อหาแนวทางเพื่อซื้อหุ้นคืนต่อไป ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือนเมษายนปีนี้ โดยปัจจุบันหุ้นของบริษัทมีการกระจายหุ้นบนกระดานซื้อขายอยู่ที่ 38% ของหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมด แต่เป็นหุ้นที่มีการซื้อขายเป็นประจำเพียงแค่ 5-8% เท่านั้น
อย่างไรก็ตามในปีนี้ บริษัทฯ ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะมีระดับไม่ต่ำกว่า 36 เหรียญสหรัฐ/บาเรลล์ และเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะมีเฉลี่ยของทั้งปีนี้อยู่ที่ประมาณ 50-55 เหรียญฯ/ต่อบาเรลล์ เทียบกับในช่วงต้นปี 51 ที่มีราคาสูงถึง 89 เหรียญสหรัฐต่อบาเรลล์ และเคยขึ้นไปสูงสุดกลางปีที่ 140 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรลล์ ซึ่งหากตัวเลขเป็นดังนั้นก็เชื่อว่าปีนี้บริษัทจะไม่เห็นการขาดทุนสต็อกน้ำมันดิบดังเช่นปีที่ผ่านมา
สำหรับในปี 52 บริษัทฯ ตั้งเป้าว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) น่าจะอยู่ที่ 8.5-9 พันล้านบาท จากเดิมที่เคยตั้งเป้าในปีนี้ไว้ 6-8 พันล้านบาท เนื่องจากโครงปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตา (PQI) ได้สร้างเสร็จและปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองระบบผลิต โดยหากโครงการดังกล่าวดำเนินเชิงพาณิชย์ได้จะทำให้สามารถผลิตน้ำมันได้ประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาเรลล์ต่อวัน เทียบกับปี 51 ที่มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 74,000 บาเรลล์ต่อวัน เพิ่มขึ้น 21,000 บาเรลล์ต่อวัน หรือคิดเป็น 28.39%
ทั้งนี้ จากการสำรวจในช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 52 พบว่าค่าการตลาด(market margin) ของ BCP จะเฉลี่ยอยู่ที่ 1.40 บาท/ลิตร เทียบกับปี 51 ที่มีค่าการตลาดเฉลี่ย 0.60 บาท/ลิตร โดยตัวเลขสามเดือนแรกมองว่าเป็นขั้นต่ำและอาจขึ้นไปสูงกว่า 1.50 บาท/ลิตร เพราะภาวะการแข่งขันที่รุนแรง ส่งผลให้ธุรกิจบางแห่งที่ไม่มีรายได้จากค่าการกลั่นหันมาหารายได้จากการขายน้ำมันหน้าปั้มมากขึ้น ตลอดจนยังได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐในส่วนน้ำมันไบโอดีเซล 5% (B5) และน้ำมันแก๊สโซฮอลล์
ขณะที่ผลประกอบการในปี 51 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 750.09 ล้านบาท เทียบกับปี 50 ที่มีกำไรสุทธิ 1763.76 ล้านบาท เรื่องนี้เป็นผลมาจากเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกมีความผันผวน ส่งผลให้ธุรกิจด้านโรงกลั่นของบริษัทขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน 5 พันกว่าล้านบาท
โดยความสามารถกลั่นน้ำมันดิบของบริษัทในปีที่แล้วเฉลี่ย 7.4 หมื่นบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่กลั่นระดับ 6.6 บาร์เรล/วัน เนื่องจากราคาส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลและน้ำมันดิบในปี 51 อยู่ในระดับสูงโดยเฉลี่ย 26 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล อีกทั้งยังสามารถส่งออกน้ำมันเตาได้เพิ่มขึ้น ในราคาที่สูงกว่ากา รจำหน่ายน้ำมันเตาทั่วไปในประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯมีค่าการกลั่นที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันสูงถึง 6.54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และมีผลประกอบการ EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่น 4.42 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนหน้าที่อยู่ในระดับ 1.91 พันล้านบาท