เปิดใจแกนนำพันธมิตรฯ ต่อการตั้งพรรคการเมือง เผยขอฉันทามติที่ประชุมสร้างประชาธิปไตยทางตรงครั้งแรกในไทย “สนธิ” ชี้หากตั้ง
พรรคก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการสร้างการเมืองใหม่ ระบุไม่ได้หวังจำนวน ส.ส. แย้มอาจทำหน้าที่แค่ผู้คุมกฎ “พล.ต.จำลอง”ย้ำการตั้งพรรคไม่ใช่เป้าหมายแต่แรก แต่เป็นความต้องการของมวลชนที่ผิดหวังกับการเมืองปัจจุบัน “สมเกียรติ” ลั่นถึงเวลาขุมหลุมฝังการเมืองเก่าที่โกงกินบ้านเมืองจนย่อยยับ “พิภพ” ระบุพร้อมเปิดกว้างทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างการเมืองใหม่ ขจัดนักการเมืองเลว
วานนี้ (24 พ.ค.) ในการประชุมสภาพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่อาคารนันทนาการ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งมีตัวแทนจากภาคทุกส่วนทั่วประเทศประมาณ 2,000 คนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นกรณีการตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้ตามวิถีทางของระบบประชาธิปไตย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ทั้ง 5 คน ได้แก่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
สนธิ ลิ้มทองกุล
ถ้าตั้งพรรค อย่าคิดถึงจำนวนส.ส.
นายสนธิกล่าวประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่า จากเหตุการณ์ 17 เม.ย.ที่ตนถูกลอบยิงเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่าการต่อสู้ของพันธมิตรฯ เดินมาถูกทางแล้ว ส่วนคำถามที่ตามมาเกี่ยวกับเรื่องการตั้งพรรคการเมืองว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ต้องขอฉันทานุมัติจากพี่น้องพันธมิตรฯ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ พันธมิตรฯ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ พรรคการเมืองนั้นถ้าจะมีการตั้งก็จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ซึ่งพันธมิตรฯ มีเครื่องมือหลายอย่าง นอกจากพรรคการเมืองแล้วอาจมีมูลนิธิที่ออกไปสร้างปัญญาให้ประชาชน ทั้งนี้ 5 แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพี่น้องพันธมิตรฯ เป็นคนเลือก ไม่ใช่ตั้งกันเองเด็ดขาด
นายสนธิยังเปรียบเทียบอีกว่า พรรคพันธมิตรฯ หากตั้งขึ้นมาก็เปรียบเสมือนพรรคกระยาจกที่มีผู้อาวุโสรักษากฎของพรรค ซึ่งถ้ามีพรรคพันธมิตรฯ 5 แกนนำก็อาจจะทำหน้าที่เพียงผู้อาวุโสรักษากฎเท่านั้น ใครไม่ทำตามกฎก็จะทำลายพลังฝีมือทันทีซึ่งถ้าพรรคจัดตั้งขึ้นมา พรรคนี้จะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยกรรมการบริหารพรรคจะไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อผู้ใดลงเลือกตั้ง คนที่มีสิทธิ์คือพี่น้องพันธมิตรฯ เท่านั้น
ทั้งนี้ หากตนเองเสียชีวิตไปในวันนั้น ทุกอย่างก็เป็นเรื่องสมมติ เอเอสทีวีก็อาจต้องปิด แต่ที่เราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ทุกวันนี้ก็เพื่อลูกหลาน ขอให้เข้าใจ กระสุนปืนหนึ่งร้อยกว่านัดที่ยิงใส่ตน เป็นเครื่องสะท้อนว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เป็นอันตรายต่อการเมืองระบอบเก่า โดยที่พรรคการเมืองระบอบเก่าอยากเห็นพันธมิตรฯ ใช้วิถีทางการต่อสู้บนท้องถนนเท่านั้น แต่อีกสักกี่ปีกี่ชาติถึงจะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การที่เราจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ฉันทานุมัติ
“เป็นตายแล้วแต่ฟ้าลิขิต ถ้าจะตายนั่งเฉยๆ ก็ตายได้ คนเรามีทั้งคนรักคนเกลียด ถ้าไม่ต้องการให้ต่อสู้ระบบก็สุดแล้วแต่ฉันทานุมัติของพี่น้องพันธมิตรฯ แต่ขอย้ำว่าการต่อสู้ของพวกเราไม่เคยหลอกพี่น้อง และในวันนี้จำเป็นต้องถ่ายทอดสด เพื่อเป็นตัวอย่างให้พรรคการเมืองน้ำเน่าในปัจจุบันได้เห็นประชาธิปไตยทางตรงที่กำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกนี้อีกแล้ว”
นายสนธิกล่าวต่อว่า พี่น้องพันธมิตรฯ ไม่ต้องเกรงว่า 5 แกนนำจะแปดเปื้อน เพราะ 193 วันที่ผ่านมา เราไม่มีอะไรที่จะให้แปดเปื้อนอีกแล้ว และอีกไม่กี่วันเราก็จะตายกันหมดแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่คือต้องสนับสนุนคนดีให้การปกครองบ้านเมือง และสกัดไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง ขณะที่พันธมิตรฯ บางส่วนก็เป็นห่วงและต้องการให้มีการตรวจสอบจากภาคประชาชน แต่หลังจากที่ตรวจสอบกันมาตั้งแต่ปี 2548 แล้วมีรัฐบาลไหนฟังบ้าง แล้วเราจะต่อสู้ในรูปแบบการ
เมืองข้างถนน ไปอีกนานเท่าไหร่ วันนี้เรายังยืนยันที่ใช้ธรรมนำหน้าในการต่อสู้ แต่ต้องเพิ่มพุทธโธนำหน้าอีกด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือหากมีพรรคพันธมิตรต้องมีที่มาที่ไป มีประวัติศาสตร์ แต่การชุมนุม 193 วันก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์แล้ว ขณะที่พรรคการเมืองในวันนี้ส่วนใหญ่ถือเป็นการรวมตัวกันของพวกนักลงทุน ซึ่งไม่มีประวัติศาสตร์ แต่ขอให้เชื่อมั่นและศรัทธา ในเรื่องอุดมการณ์ของแกนนำทั้ง 5 คน การต่อสู้ทางการเมืองเป็นเรื่องยาวนาน และต้องอดทนอย่างสูง จึงขอให้พี่น้องให้พันธมิตรฯ ที่สนับสนุนการตั้งพรรค อย่าคาดหวังว่า ภายใน 2-3 ปีจะต้องประสบสำเร็จ อย่าเอาจำนวน ส.ส.มาตัดสินใจ แต่ขอให้นึกถึงญาติวีรชนหรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นที่ตั้ง และถ้าตั้งพรรคจริงๆ เราจะระดมทุนจากการให้สมาชิกบริจาคเงินเข้าพรรค ขั้นต่ำอาจจะเป็นคนละ 100 บาทต่อเดือน โดยเราจะไม่ใช้เงินเหล่านั้นมาซื้อเสียง แต่จะเอาไปสร้างเครื่องมือในการให้ความรู้และให้ปัญญาแก่ประชาชน
สำหรับพี่น้องที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรค หากมีฉันทานุมัติจากพี่น้องส่วนใหญ่ให้ตั้งพรรค ก็ต้องต้องยอมรับ เพราะนี่คือประชาธิปไตยทางตรง พรรคการเมืองมี 2 ประเภท คือพรรคที่มีรากเหง้าคือพันธมิตรฯ และพรรคที่ไม่มีพรรครากเหง้าเหมือนพรรคการเมืองทั่วไปในปัจจุบัน และขอระบายความคับแค้นใจในรอบ 1 เดือนกว่า จึงขอพูดนานกว่าแกนนำคนอื่น
“คาดว่าพี่น้องคงอยากทราบว่าใครเป็นลอบยิงผม แต่ขอยืนยันว่าเป็นฝีมือคนมีสี ส่วนจะจับใครได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะได้อโหสิกรรมไปหมดสิ้นแล้ว” นายสนธิกล่าว
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
พรรคพธม.จะสำเร็จกว่าพลังธรรม
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า ที่เราชุมนุมกัน 193 วันนั้นเราไม่เคยนึกและไม่เคยคุยกันว่าเราจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ แต่ต่อมาตอนหลัง เมื่อพวกเราเห็นว่า หลังจากเราประสบผลสำเร็จในการชุมนุม ทั้งการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และ ให้รัฐบาลหุ่นเชิดลาออก ก็มีพรรคการเมืองพรรคใหม่เข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็ยังทำการเมือง เก่า เราจึงคิดกันว่าจะตั้งพรรคขึ้นมาดีหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ไม่ใช่เจตนาของเราที่จะตั้งพรรคตั้งแต่แรก
“เราต้องการให้มีการเมืองใหม่ โดยให้พรรคอื่นทำต่างหาก แต่ตอนที่เราไปสหรัฐอเมริกา เสียงกระหึ่มมาก ให้เราตั้งพรรคการเมือง มีพันธมิตรฯ บางคนมาหาตั้งแต่เรายังไม่เข้าที่หัก บอกให้เราตั้งพรรคการเมือง ผมจึงบอกแกนนำไปว่า ให้ถามที่ประชุมในวันรุ่งขึ้นดีไหม ผลก็ออกมาอย่างที่ทราบว่า คนในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเห็นว่าต้องตั้งพรรคขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อยุติ ข้อยุติจะอยู่ที่วันพรุ่งนี้ วันที่ 25 พ.ค.ว่าเราจะตั้งหรือไม่ตั้ง”
พล.ต.จำลองย้ำว่า ถ้าแกนนำพันธมิตรฯ คิดว่าจะตั้งพรรคตั้งแต่ตอนจัดชุมนุม จะต้องประกาศตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.ที่เรายุติการชุมนุมแล้วว่าจะตั้งพรรค แต่เราไม่ได้ประกาศ เพราะไม่ได้คิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้น เราคิดเพียงว่าเมื่อครบ 1 ปีของการเริ่มชุมนุม ในวันที่ 25 พ.ค.เราจะจัดประชุมเพื่อพบปะกับพี่น้องทั่วประเทศเท่านั้น แต่มีเรื่องเกิดขึ้น เมื่อเราทนต่อการเมือเก่าไม่ไหว และจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง การประชุมวันที่ 25 พ.ค.เราจึงกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสอบถามความเห็นของพี่น้อง 2 ประเด็นคือ 1.เราเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในมาตรา 190 ,237 และ 309 ประเด็นที่ 2.เห็นด้วยหรือไม่ ที่จะมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
“เห็นด้วยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บอกว่าเราจะเล่นการเมืองข้างถนนอยู่เรื่อยๆ ไปจนตายหรือ และขอเล่าประสบการส่วนตัวว่า เป็นนักการเมืองกลางถนนมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เมื่อปี 2535 ก็ไปทำการเมืองกลางถนนราชดำเนิน ที่เชิงสะพานผ่านฟ้า เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ทั้งนี้ เมื่อการเมืองในสภาแก้ไขปัญหาวิกฤติไม่ได้ก็ต้องลงสู่กลางถนน เหมือนที่ตนเคยตั้งพรรคพลังธรรม แต่เมื่อทำงานไม่สำเร็จก็ต้องออกไปสู้กลางถนน ตอนต้นปี 2549 รัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเอาเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์ ตนต้องออกไปต่อต้านโดยการไปกินนอนกลางถนนวิทยุ 9 วัน 9 คืน ต่อมาเรามีความจำเป็นต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก เราก็ออกไปกินนอนกลางถนน 33 วัน 33 คืน ซึ่งการเป็นนักการเมืองกลางถนน ต้องลำบากสารพัด ต้องกินอยู่อย่างคนจรจัด ทั้งที่เราไม่ใช่คนจรจัด แต่สภา
มันแก้ปัญหาไม่ได้ เราจึงต้องลงไปกลางถนน”
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า การลงไปชุมนุมกลางถนน ทำให้เราถูกดำเนินคดีมากมายไปหมด แต่เราก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมที่จะถูกขังคุก ไม่เคยไปกดดันว่าห้ามจับคนโน้นคนนี้ นี่คือการเป็นนักการเมืองกลางถนน ดังนั้น ถ้าเป็นการเมืองในสภาได้จะดีที่สุด
“ขอยืนว่าแกนนำฯ ไม่มีการชี้นำว่าจะต้องตั้งพรรคให้ได้ ถ้าเสียงส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ผมเห็นด้วยเต็มที่ เพราะพันธมิตรเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เป็นคนดี ที่เสียสละเพื่อบ้านเมือง ไม่หวังอะไรจากการที่ตนเองต้องไปเหนื่อยยาก และเป็นผู้มีความรู้ทางการเมืองเป็นอย่างดี”พล.ต.จำลองกล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนเคยเป็นนักการเมืองในสภาด้วยเช่นกัน จากการเป็นวุฒิสมาชิก เคยตั้งกลุ่มรวมพลัง และตั้งพรรคพลังธรรมส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีสัญญาประชาคมที่แน่ชัดว่า ไม่โกงทั้งต่อหน้าลับหลัง ไม่ซื้อเสียงแจกข้าวของเพื่อแลกคะแนนเสียง ไม่จ้วงจาบหยาบช้า การเลือกตั้ง
ในปี 2535 ครั้งแรกเราได้ 41 คน ปี 2535 ครั้งที่ 2 เราได้ 47 คน มีการวิเคราะห์กันว่า นี่เป็นการใหม่ใฝ่หรือไม่ โดยนักวิชาการชาวอังกฤษได้เขียนหนังสือชื่อ “ Jumlong Srimuang and the new Thai politics ” หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และการเมืองใหม่ของไทย แต่ที่พรรคพลังธรรมอยู่ไมได้ถึงขณะนี้ สาเหตุเนื่องจาก ในตอนนั้นเรายังไม่มีคนแบบพันธมิตรฯ ไม่มีคนดี คนที่เสียสละเอาจริงเอาจังเพื่อบ้านเมืองเหมือนในปัจจุบัน และเราไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ครั้งแรก จึงไม่มีผลงานไปบอกชาวบ้านให้เลือกตั้งเข้ามาอีกได้
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า วันนี้เมื่อเทียบกับพรรคพลังธรรมเมื่อ 21 ปีที่แล้ว มี 3 เรื่องใหญ่ ที่คิดว่าพรรคการเมืองใหม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ คือ
1.มีพันธมิตรฯ ที่มีความรู้ทางการเมืองเป็นล้านๆ คน 2.มีสื่อที่ทรงพลังหนุนช่วยคือ เอเอสทีวี 3.เรามีองค์กรอิสระที่หนุนช่วยให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม แม้ว่าจะไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เช่น ก.ก.ต.ทำให้คนซื้อเสียงทำได้ยากขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่เราผูกตัวเราเองมัดแขนขาตัวเองแล้วไปชกกับเขา เขาก็โกงได้โกงเอา นี่คือ
สาเหตุที่พรรคการเมืองในขณะนั้นเล็กลงๆ แต่วันนี้มีอะไรมาชดเชยอย่างที่บอกแล้ว
“อย่างไรก็ตาม การจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ อยู่ที่ความพร้อม ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของพี่น้องบอกว่าไม่ตั้ง พวกผมก็สบาย ไม่มีงานเพิ่ม แต่ถ้าท่านให้ตั้งพรรค ไม่เห็นใจสนธิ นี่ขนาดยังไม่ตั้งพรรคก็ถูกยิงแล้ว เราก็ถึงคราวต้องลำบากอีก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราประชุมกันแล้วเมื่อวานนี้ ยืนยันว่าเราไม่มีธง เราเป็นประชาธิปไตยโดยตรง เราจะถามพี่น้องก่อนว่า ทำงี้ไหม ทำงั้นไหม พี่น้องว่าไง เราทำตาม”พล.ต.จำลองกล่าว
สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
ถึงเวลาขุดหลุมฝังนักการเมืองเก่า
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้ มีตัวแทนเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ และตัวแทนพันธมิตรฯ จากภาคพื้นอเมริกามาร่วมประชุมกับพี่น้องพันธมิตรฯ ด้วย วันนี้พวกเรามาไว้อาลัยต่อความตายของการเมืองเก่า การเมืองแห่งความฉิบหายของบ้านเมือง ที่ประชุมแห่งนี้กำลังสาปส่งการเมืองเก่า และเตรียมสถาปนาการเมืองใหม่ขึ้น
ผลของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ 3 อย่าง คือ 1.ชนชั้นที่มีความรู้ขยายตัวอย่างกว้างขวางและตั้งตัวเองเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นชนชั้นผู้รู้เท่ากันและประณามโค่นล้มระบบทักษิณ ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และขุดหลุมฝังการเมืองเก่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ที่ 2 มีการเปิดโปงอย่างเข้มแข็งอย่างไม่เคยมีมาก่อนของสื่อเอเอสทีวี ทำให้เกิดการขยายตัวขององค์ความรู้ ตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์สนธิ มาจนถึงวันนี้เป็นการโค่นล้มระบอบเก่าให้สูญไปจากแผ่นดินไทย ปรากฏการณ์ที่ 3 การจัดตั้งไปสู่องค์กรการเมืองใหม่ ทั้ง 3 ปรากฏการณ์นี้คือปัจจุบันที่จะพลิกโฉมประเทศไทย เป็นการขุดหลุมฝังการเมืองเก่าที่ตายไปแล้ว
นายสมเกียรติกล่าวว่า การประกาศการเมืองใหม่เป็นสัญญาประชาคม เป็นพันธสัญญาใหม่ของประชาชน ที่ประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเดินหน้าสู่การเมืองใหม่ พันธสัญญาของเราที่ต้องลงมติภายใต้ความรับผิดชอบ ไม่ใช่ลงมติแล้วกลับบ้านเฉย เมื่อลงมติแล้วต้องเชื่อมั่นว่ามีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองได้ ไม่ใช่นักการเมือง ที่เอาแต่เงินมาทุ่มซื้อและโกงกิน
ทั้งนี้ ในอดีตมีความพยายามตั้งพรรคการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนมาแล้ว 4 พรรค คือ พรรคพลังใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยคนก่อตั้งคือ นพ.กระแส ชนะวงศ์ และนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตในปัจจุบัน 2.พรรคสังคมนิยม ของ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม 3.พรรคแนวร่วมสังคมนิยมของนายแคล้ว นรปติ และดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ที่มาร่วมประชุมกับพันธมิตรฯ ในวันนี้ และ 4.พรรคพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อย่างไรก็ตาม พรรคเหล่านี้สลายตัวเองไปแล้ว พันธมิตรฯ จะต้องรับบทเรียนจากพรรคเหล่านี้ ถ้าคิดจะมีพรรคการเมืองใหม่
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า การเมืองในสภาอย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมีการเมืองภาคประชาชนควบคู่ไปด้วย การเมืองเก่า คือการโกงกินของนักการเมือง ตัวเองอ้วนพี แต่ประชาชนประเทศชาติผอมเกร็ง เราต้องขุดหลุมฝังการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ ที่เกิดการสมยอมในอำนาจ มีการซื้อเสียงของคนลงเลือกตั้ง เอาเงินมามากๆ ซื้อพรรคการเมือง ซื้อนักการเมืองมารวมตัวกัน และซื้อประชาชน ระบอบนี้เรียกว่า ระบบทุนสามานย์ของทักษิณ ชินวัตร
“วันนี้พันธมิตรฯ จะไม่ยอมให้การเมืองเกิดการฮั้วและสมยอมอีกต่อไป เรามาลงเสาเอกปักหลักสร้างฐานการเมืองใหม่ เพื่อประชาชน ให้ก้าวรุดหน้าไป ประเทศนี้ตั้งมา 800 ปี ยังไม่มีครั้งใดที่ประชาชนได้ตัดสินใจอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง มีครั้งนี้เป็นครั้งแรก พรรคการเมืองอื่น เวลาเขาเรียกประชุม เขาจะจัดโรงแรมอย่างดี สั่งอาหารอย่างดี ให้สมาชิกพรรคมากินนอน แต่พันธมิตรฯ มาสร้างองค์กรการเมืองใหม่ มานอนรออยู่ในรถ แล้วมาโหวตกัน นี่แสดงว่า พวกเรามาด้วยจิตใจอันสูงส่งแน่วแน่ ที่จะกำหนดทิศทางของบ้านเมือง”
นายสมเกียรติ ย้ำว่า 5 แกนนำ จะไม่ไปไหนอีกแล้ว ต้องไปด้วยกันกับพี่น้องประชาชน เราจะระมัดระวังไม่ให้ประชาชนเสียใจ หรือจะผิดหวังแกนนำไม่ได้ เราไม่มีสิทธิทำการใดๆ โดยพลการ ไม่มีสิทธิทำให้ประชาชนเสียใจเพราะ 5 แกนนำ และองค์กรภาคประชาชนจะต้องเจริญก้าวหน้า และประสบชัยชนะอย่างแน่นอน
พิภพ ธงไชย
พรรคพันธมิตรคือพรรคของประชาชน
นายพิภพ ธงไชย กล่าว ว่า ประวัติศาสตร์จะต้องบันทึกไว้ในการต่อสู้มายาวยาวนานของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 827 ราย รวมถึงการเสียเลือดเนื้อของพี่น้องในอดีตจะไม่สูญเปล่า การต่อสู้ของเราเพื่อต้องการขจัดนักการเมืองเลว ไม่และให้คนมีอำนาจที่ไม่ดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง ซึ่งประวัติศาสตร์การเมืองจะต้องบันทึกว่าพรรคการเมืองของพันธมิตรฯมาจากมวลชนอย่างแท้จริงและจะเป็นของประชาชน
“พวกเราต่อสู้ด้วยการเสียเลือดเนื้อเสียชีวิต ด้วยความอดทนมาตลอด ถ้ามีฉันทามติตั้งพรรคการเมืองพ่อแม่พี่น้อง ต้องสัญญาว่า จะต้องร่วมสู้อยู่ด้วยกัน ทั้งนี้ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้ปรึกษาและสัญญากันแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่ทิ้งประชาชนอย่างเด็ดขาด จะสร้างความเป็นธรรม ในทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างการเมืองใหม่ เพราะประเทศทนความฉิบหายต่อไปไม่ได้แล้ว เราไม่ได้”
นายพิภพกล่าวต่อว่า หากพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ มีมติจะตั้งพรรคการเมือง เราจะไม่ปิดตัวเองเฉพาะคนที่ร่วมชุมนุมในวันนี้เท่านั้น แต่เราพร้อมที่จะเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามาร่วม เข้ามามีส่วนร่วม แต่มีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.ต้องมีอุดมการณ์ตรงกันในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2.ไม่สนับสนุนนักการเมืองให้มีการทุจริต คอร์รัปชัน 3.พร้อมต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมต่อสังคมไม่ใช่บุคคลใดบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ดังนั้น เราควรมาร่วมใจกันทุกภาคส่วน ทุกสี ทุกกลุ่ม เราจะละลายสี ถ้าเห็นตรงกันเชิญมาร่วมได้เลย เราจะทำสิ่งที่ดีที่สุดสู่การเมืองใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศนี้ ที่มีการเชื่อมอุดมการณ์ทางการเมืองที่ปฏิบัติได้ โดยมีมวลชนให้การสนับสนุน
พรรคก็เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการสร้างการเมืองใหม่ ระบุไม่ได้หวังจำนวน ส.ส. แย้มอาจทำหน้าที่แค่ผู้คุมกฎ “พล.ต.จำลอง”ย้ำการตั้งพรรคไม่ใช่เป้าหมายแต่แรก แต่เป็นความต้องการของมวลชนที่ผิดหวังกับการเมืองปัจจุบัน “สมเกียรติ” ลั่นถึงเวลาขุมหลุมฝังการเมืองเก่าที่โกงกินบ้านเมืองจนย่อยยับ “พิภพ” ระบุพร้อมเปิดกว้างทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เพื่อสร้างการเมืองใหม่ ขจัดนักการเมืองเลว
วานนี้ (24 พ.ค.) ในการประชุมสภาพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย ที่อาคารนันทนาการ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งมีตัวแทนจากภาคทุกส่วนทั่วประเทศประมาณ 2,000 คนเข้าร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นกรณีการตั้งพรรคการเมืองเพื่อต่อสู้ตามวิถีทางของระบบประชาธิปไตย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)ทั้ง 5 คน ได้แก่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ได้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย
สนธิ ลิ้มทองกุล
ถ้าตั้งพรรค อย่าคิดถึงจำนวนส.ส.
นายสนธิกล่าวประเมินสถานการณ์ทางการเมืองว่า จากเหตุการณ์ 17 เม.ย.ที่ตนถูกลอบยิงเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนว่าการต่อสู้ของพันธมิตรฯ เดินมาถูกทางแล้ว ส่วนคำถามที่ตามมาเกี่ยวกับเรื่องการตั้งพรรคการเมืองว่าใครจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง ต้องขอฉันทานุมัติจากพี่น้องพันธมิตรฯ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือ พันธมิตรฯ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ พรรคการเมืองนั้นถ้าจะมีการตั้งก็จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการต่อสู้ของพันธมิตรฯ ซึ่งพันธมิตรฯ มีเครื่องมือหลายอย่าง นอกจากพรรคการเมืองแล้วอาจมีมูลนิธิที่ออกไปสร้างปัญญาให้ประชาชน ทั้งนี้ 5 แกนนำพันธมิตรฯ จะเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพี่น้องพันธมิตรฯ เป็นคนเลือก ไม่ใช่ตั้งกันเองเด็ดขาด
นายสนธิยังเปรียบเทียบอีกว่า พรรคพันธมิตรฯ หากตั้งขึ้นมาก็เปรียบเสมือนพรรคกระยาจกที่มีผู้อาวุโสรักษากฎของพรรค ซึ่งถ้ามีพรรคพันธมิตรฯ 5 แกนนำก็อาจจะทำหน้าที่เพียงผู้อาวุโสรักษากฎเท่านั้น ใครไม่ทำตามกฎก็จะทำลายพลังฝีมือทันทีซึ่งถ้าพรรคจัดตั้งขึ้นมา พรรคนี้จะต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยกรรมการบริหารพรรคจะไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อผู้ใดลงเลือกตั้ง คนที่มีสิทธิ์คือพี่น้องพันธมิตรฯ เท่านั้น
ทั้งนี้ หากตนเองเสียชีวิตไปในวันนั้น ทุกอย่างก็เป็นเรื่องสมมติ เอเอสทีวีก็อาจต้องปิด แต่ที่เราต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ทุกวันนี้ก็เพื่อลูกหลาน ขอให้เข้าใจ กระสุนปืนหนึ่งร้อยกว่านัดที่ยิงใส่ตน เป็นเครื่องสะท้อนว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เป็นอันตรายต่อการเมืองระบอบเก่า โดยที่พรรคการเมืองระบอบเก่าอยากเห็นพันธมิตรฯ ใช้วิถีทางการต่อสู้บนท้องถนนเท่านั้น แต่อีกสักกี่ปีกี่ชาติถึงจะสำเร็จ อย่างไรก็ตาม การที่เราจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ก็สุดแล้วแต่ฉันทานุมัติ
“เป็นตายแล้วแต่ฟ้าลิขิต ถ้าจะตายนั่งเฉยๆ ก็ตายได้ คนเรามีทั้งคนรักคนเกลียด ถ้าไม่ต้องการให้ต่อสู้ระบบก็สุดแล้วแต่ฉันทานุมัติของพี่น้องพันธมิตรฯ แต่ขอย้ำว่าการต่อสู้ของพวกเราไม่เคยหลอกพี่น้อง และในวันนี้จำเป็นต้องถ่ายทอดสด เพื่อเป็นตัวอย่างให้พรรคการเมืองน้ำเน่าในปัจจุบันได้เห็นประชาธิปไตยทางตรงที่กำลังจะเริ่มขึ้น ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกนี้อีกแล้ว”
นายสนธิกล่าวต่อว่า พี่น้องพันธมิตรฯ ไม่ต้องเกรงว่า 5 แกนนำจะแปดเปื้อน เพราะ 193 วันที่ผ่านมา เราไม่มีอะไรที่จะให้แปดเปื้อนอีกแล้ว และอีกไม่กี่วันเราก็จะตายกันหมดแล้ว แต่ที่ยังคงอยู่คือต้องสนับสนุนคนดีให้การปกครองบ้านเมือง และสกัดไม่ให้คนไม่ดีเข้ามาบริหารบ้านเมือง ขณะที่พันธมิตรฯ บางส่วนก็เป็นห่วงและต้องการให้มีการตรวจสอบจากภาคประชาชน แต่หลังจากที่ตรวจสอบกันมาตั้งแต่ปี 2548 แล้วมีรัฐบาลไหนฟังบ้าง แล้วเราจะต่อสู้ในรูปแบบการ
เมืองข้างถนน ไปอีกนานเท่าไหร่ วันนี้เรายังยืนยันที่ใช้ธรรมนำหน้าในการต่อสู้ แต่ต้องเพิ่มพุทธโธนำหน้าอีกด้วย
นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือหากมีพรรคพันธมิตรต้องมีที่มาที่ไป มีประวัติศาสตร์ แต่การชุมนุม 193 วันก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์แล้ว ขณะที่พรรคการเมืองในวันนี้ส่วนใหญ่ถือเป็นการรวมตัวกันของพวกนักลงทุน ซึ่งไม่มีประวัติศาสตร์ แต่ขอให้เชื่อมั่นและศรัทธา ในเรื่องอุดมการณ์ของแกนนำทั้ง 5 คน การต่อสู้ทางการเมืองเป็นเรื่องยาวนาน และต้องอดทนอย่างสูง จึงขอให้พี่น้องให้พันธมิตรฯ ที่สนับสนุนการตั้งพรรค อย่าคาดหวังว่า ภายใน 2-3 ปีจะต้องประสบสำเร็จ อย่าเอาจำนวน ส.ส.มาตัดสินใจ แต่ขอให้นึกถึงญาติวีรชนหรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นที่ตั้ง และถ้าตั้งพรรคจริงๆ เราจะระดมทุนจากการให้สมาชิกบริจาคเงินเข้าพรรค ขั้นต่ำอาจจะเป็นคนละ 100 บาทต่อเดือน โดยเราจะไม่ใช้เงินเหล่านั้นมาซื้อเสียง แต่จะเอาไปสร้างเครื่องมือในการให้ความรู้และให้ปัญญาแก่ประชาชน
สำหรับพี่น้องที่ไม่เห็นด้วยกับการตั้งพรรค หากมีฉันทานุมัติจากพี่น้องส่วนใหญ่ให้ตั้งพรรค ก็ต้องต้องยอมรับ เพราะนี่คือประชาธิปไตยทางตรง พรรคการเมืองมี 2 ประเภท คือพรรคที่มีรากเหง้าคือพันธมิตรฯ และพรรคที่ไม่มีพรรครากเหง้าเหมือนพรรคการเมืองทั่วไปในปัจจุบัน และขอระบายความคับแค้นใจในรอบ 1 เดือนกว่า จึงขอพูดนานกว่าแกนนำคนอื่น
“คาดว่าพี่น้องคงอยากทราบว่าใครเป็นลอบยิงผม แต่ขอยืนยันว่าเป็นฝีมือคนมีสี ส่วนจะจับใครได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ เพราะได้อโหสิกรรมไปหมดสิ้นแล้ว” นายสนธิกล่าว
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
พรรคพธม.จะสำเร็จกว่าพลังธรรม
พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า ที่เราชุมนุมกัน 193 วันนั้นเราไม่เคยนึกและไม่เคยคุยกันว่าเราจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ แต่ต่อมาตอนหลัง เมื่อพวกเราเห็นว่า หลังจากเราประสบผลสำเร็จในการชุมนุม ทั้งการคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และ ให้รัฐบาลหุ่นเชิดลาออก ก็มีพรรคการเมืองพรรคใหม่เข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็ยังทำการเมือง เก่า เราจึงคิดกันว่าจะตั้งพรรคขึ้นมาดีหรือไม่ แต่ยืนยันว่า ไม่ใช่เจตนาของเราที่จะตั้งพรรคตั้งแต่แรก
“เราต้องการให้มีการเมืองใหม่ โดยให้พรรคอื่นทำต่างหาก แต่ตอนที่เราไปสหรัฐอเมริกา เสียงกระหึ่มมาก ให้เราตั้งพรรคการเมือง มีพันธมิตรฯ บางคนมาหาตั้งแต่เรายังไม่เข้าที่หัก บอกให้เราตั้งพรรคการเมือง ผมจึงบอกแกนนำไปว่า ให้ถามที่ประชุมในวันรุ่งขึ้นดีไหม ผลก็ออกมาอย่างที่ทราบว่า คนในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเห็นว่าต้องตั้งพรรคขึ้นมาเอง แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อยุติ ข้อยุติจะอยู่ที่วันพรุ่งนี้ วันที่ 25 พ.ค.ว่าเราจะตั้งหรือไม่ตั้ง”
พล.ต.จำลองย้ำว่า ถ้าแกนนำพันธมิตรฯ คิดว่าจะตั้งพรรคตั้งแต่ตอนจัดชุมนุม จะต้องประกาศตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.ที่เรายุติการชุมนุมแล้วว่าจะตั้งพรรค แต่เราไม่ได้ประกาศ เพราะไม่ได้คิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้น เราคิดเพียงว่าเมื่อครบ 1 ปีของการเริ่มชุมนุม ในวันที่ 25 พ.ค.เราจะจัดประชุมเพื่อพบปะกับพี่น้องทั่วประเทศเท่านั้น แต่มีเรื่องเกิดขึ้น เมื่อเราทนต่อการเมือเก่าไม่ไหว และจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้ง การประชุมวันที่ 25 พ.ค.เราจึงกำหนดเป็นวัตถุประสงค์เพื่อที่จะสอบถามความเห็นของพี่น้อง 2 ประเด็นคือ 1.เราเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ในมาตรา 190 ,237 และ 309 ประเด็นที่ 2.เห็นด้วยหรือไม่ ที่จะมีพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ
“เห็นด้วยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่บอกว่าเราจะเล่นการเมืองข้างถนนอยู่เรื่อยๆ ไปจนตายหรือ และขอเล่าประสบการส่วนตัวว่า เป็นนักการเมืองกลางถนนมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เมื่อปี 2535 ก็ไปทำการเมืองกลางถนนราชดำเนิน ที่เชิงสะพานผ่านฟ้า เพื่อหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ ทั้งนี้ เมื่อการเมืองในสภาแก้ไขปัญหาวิกฤติไม่ได้ก็ต้องลงสู่กลางถนน เหมือนที่ตนเคยตั้งพรรคพลังธรรม แต่เมื่อทำงานไม่สำเร็จก็ต้องออกไปสู้กลางถนน ตอนต้นปี 2549 รัฐบาล
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะเอาเบียร์เข้าตลาดหลักทรัพย์ ตนต้องออกไปต่อต้านโดยการไปกินนอนกลางถนนวิทยุ 9 วัน 9 คืน ต่อมาเรามีความจำเป็นต้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ลาออก เราก็ออกไปกินนอนกลางถนน 33 วัน 33 คืน ซึ่งการเป็นนักการเมืองกลางถนน ต้องลำบากสารพัด ต้องกินอยู่อย่างคนจรจัด ทั้งที่เราไม่ใช่คนจรจัด แต่สภา
มันแก้ปัญหาไม่ได้ เราจึงต้องลงไปกลางถนน”
พล.ต.จำลอง กล่าวต่อว่า การลงไปชุมนุมกลางถนน ทำให้เราถูกดำเนินคดีมากมายไปหมด แต่เราก็พร้อมที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม พร้อมที่จะถูกขังคุก ไม่เคยไปกดดันว่าห้ามจับคนโน้นคนนี้ นี่คือการเป็นนักการเมืองกลางถนน ดังนั้น ถ้าเป็นการเมืองในสภาได้จะดีที่สุด
“ขอยืนว่าแกนนำฯ ไม่มีการชี้นำว่าจะต้องตั้งพรรคให้ได้ ถ้าเสียงส่วนใหญ่เป็นอย่างไร ผมเห็นด้วยเต็มที่ เพราะพันธมิตรเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่เป็นคนดี ที่เสียสละเพื่อบ้านเมือง ไม่หวังอะไรจากการที่ตนเองต้องไปเหนื่อยยาก และเป็นผู้มีความรู้ทางการเมืองเป็นอย่างดี”พล.ต.จำลองกล่าว
อย่างไรก็ตาม พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ตนเคยเป็นนักการเมืองในสภาด้วยเช่นกัน จากการเป็นวุฒิสมาชิก เคยตั้งกลุ่มรวมพลัง และตั้งพรรคพลังธรรมส่งคนลงสมัครรับเลือกตั้ง โดยมีสัญญาประชาคมที่แน่ชัดว่า ไม่โกงทั้งต่อหน้าลับหลัง ไม่ซื้อเสียงแจกข้าวของเพื่อแลกคะแนนเสียง ไม่จ้วงจาบหยาบช้า การเลือกตั้ง
ในปี 2535 ครั้งแรกเราได้ 41 คน ปี 2535 ครั้งที่ 2 เราได้ 47 คน มีการวิเคราะห์กันว่า นี่เป็นการใหม่ใฝ่หรือไม่ โดยนักวิชาการชาวอังกฤษได้เขียนหนังสือชื่อ “ Jumlong Srimuang and the new Thai politics ” หรือ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และการเมืองใหม่ของไทย แต่ที่พรรคพลังธรรมอยู่ไมได้ถึงขณะนี้ สาเหตุเนื่องจาก ในตอนนั้นเรายังไม่มีคนแบบพันธมิตรฯ ไม่มีคนดี คนที่เสียสละเอาจริงเอาจังเพื่อบ้านเมืองเหมือนในปัจจุบัน และเราไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตั้งแต่ครั้งแรก จึงไม่มีผลงานไปบอกชาวบ้านให้เลือกตั้งเข้ามาอีกได้
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า วันนี้เมื่อเทียบกับพรรคพลังธรรมเมื่อ 21 ปีที่แล้ว มี 3 เรื่องใหญ่ ที่คิดว่าพรรคการเมืองใหม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ คือ
1.มีพันธมิตรฯ ที่มีความรู้ทางการเมืองเป็นล้านๆ คน 2.มีสื่อที่ทรงพลังหนุนช่วยคือ เอเอสทีวี 3.เรามีองค์กรอิสระที่หนุนช่วยให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม แม้ว่าจะไม่สามารถทำได้ทั้งหมด เช่น ก.ก.ต.ทำให้คนซื้อเสียงทำได้ยากขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่เราผูกตัวเราเองมัดแขนขาตัวเองแล้วไปชกกับเขา เขาก็โกงได้โกงเอา นี่คือ
สาเหตุที่พรรคการเมืองในขณะนั้นเล็กลงๆ แต่วันนี้มีอะไรมาชดเชยอย่างที่บอกแล้ว
“อย่างไรก็ตาม การจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่ อยู่ที่ความพร้อม ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของพี่น้องบอกว่าไม่ตั้ง พวกผมก็สบาย ไม่มีงานเพิ่ม แต่ถ้าท่านให้ตั้งพรรค ไม่เห็นใจสนธิ นี่ขนาดยังไม่ตั้งพรรคก็ถูกยิงแล้ว เราก็ถึงคราวต้องลำบากอีก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเราประชุมกันแล้วเมื่อวานนี้ ยืนยันว่าเราไม่มีธง เราเป็นประชาธิปไตยโดยตรง เราจะถามพี่น้องก่อนว่า ทำงี้ไหม ทำงั้นไหม พี่น้องว่าไง เราทำตาม”พล.ต.จำลองกล่าว
สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
ถึงเวลาขุดหลุมฝังนักการเมืองเก่า
นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ กล่าวว่า วันนี้ มีตัวแทนเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ และตัวแทนพันธมิตรฯ จากภาคพื้นอเมริกามาร่วมประชุมกับพี่น้องพันธมิตรฯ ด้วย วันนี้พวกเรามาไว้อาลัยต่อความตายของการเมืองเก่า การเมืองแห่งความฉิบหายของบ้านเมือง ที่ประชุมแห่งนี้กำลังสาปส่งการเมืองเก่า และเตรียมสถาปนาการเมืองใหม่ขึ้น
ผลของการต่อสู้ของพันธมิตรฯ 4-5 ปีที่ผ่านมา ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ 3 อย่าง คือ 1.ชนชั้นที่มีความรู้ขยายตัวอย่างกว้างขวางและตั้งตัวเองเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นชนชั้นผู้รู้เท่ากันและประณามโค่นล้มระบบทักษิณ ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และขุดหลุมฝังการเมืองเก่า เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ที่ 2 มีการเปิดโปงอย่างเข้มแข็งอย่างไม่เคยมีมาก่อนของสื่อเอเอสทีวี ทำให้เกิดการขยายตัวขององค์ความรู้ ตั้งแต่เกิดปรากฏการณ์สนธิ มาจนถึงวันนี้เป็นการโค่นล้มระบอบเก่าให้สูญไปจากแผ่นดินไทย ปรากฏการณ์ที่ 3 การจัดตั้งไปสู่องค์กรการเมืองใหม่ ทั้ง 3 ปรากฏการณ์นี้คือปัจจุบันที่จะพลิกโฉมประเทศไทย เป็นการขุดหลุมฝังการเมืองเก่าที่ตายไปแล้ว
นายสมเกียรติกล่าวว่า การประกาศการเมืองใหม่เป็นสัญญาประชาคม เป็นพันธสัญญาใหม่ของประชาชน ที่ประกาศเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะเดินหน้าสู่การเมืองใหม่ พันธสัญญาของเราที่ต้องลงมติภายใต้ความรับผิดชอบ ไม่ใช่ลงมติแล้วกลับบ้านเฉย เมื่อลงมติแล้วต้องเชื่อมั่นว่ามีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองได้ ไม่ใช่นักการเมือง ที่เอาแต่เงินมาทุ่มซื้อและโกงกิน
ทั้งนี้ ในอดีตมีความพยายามตั้งพรรคการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนมาแล้ว 4 พรรค คือ พรรคพลังใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลา โดยคนก่อตั้งคือ นพ.กระแส ชนะวงศ์ และนายอาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิตในปัจจุบัน 2.พรรคสังคมนิยม ของ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม 3.พรรคแนวร่วมสังคมนิยมของนายแคล้ว นรปติ และดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ ที่มาร่วมประชุมกับพันธมิตรฯ ในวันนี้ และ 4.พรรคพลังธรรมของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อย่างไรก็ตาม พรรคเหล่านี้สลายตัวเองไปแล้ว พันธมิตรฯ จะต้องรับบทเรียนจากพรรคเหล่านี้ ถ้าคิดจะมีพรรคการเมืองใหม่
นายสมเกียรติกล่าวต่อว่า การเมืองในสภาอย่างเดียวแก้ปัญหาไม่ได้ ต้องมีการเมืองภาคประชาชนควบคู่ไปด้วย การเมืองเก่า คือการโกงกินของนักการเมือง ตัวเองอ้วนพี แต่ประชาชนประเทศชาติผอมเกร็ง เราต้องขุดหลุมฝังการเมืองเก่าที่เน่าเฟะ ที่เกิดการสมยอมในอำนาจ มีการซื้อเสียงของคนลงเลือกตั้ง เอาเงินมามากๆ ซื้อพรรคการเมือง ซื้อนักการเมืองมารวมตัวกัน และซื้อประชาชน ระบอบนี้เรียกว่า ระบบทุนสามานย์ของทักษิณ ชินวัตร
“วันนี้พันธมิตรฯ จะไม่ยอมให้การเมืองเกิดการฮั้วและสมยอมอีกต่อไป เรามาลงเสาเอกปักหลักสร้างฐานการเมืองใหม่ เพื่อประชาชน ให้ก้าวรุดหน้าไป ประเทศนี้ตั้งมา 800 ปี ยังไม่มีครั้งใดที่ประชาชนได้ตัดสินใจอนาคตของประเทศอย่างแท้จริง มีครั้งนี้เป็นครั้งแรก พรรคการเมืองอื่น เวลาเขาเรียกประชุม เขาจะจัดโรงแรมอย่างดี สั่งอาหารอย่างดี ให้สมาชิกพรรคมากินนอน แต่พันธมิตรฯ มาสร้างองค์กรการเมืองใหม่ มานอนรออยู่ในรถ แล้วมาโหวตกัน นี่แสดงว่า พวกเรามาด้วยจิตใจอันสูงส่งแน่วแน่ ที่จะกำหนดทิศทางของบ้านเมือง”
นายสมเกียรติ ย้ำว่า 5 แกนนำ จะไม่ไปไหนอีกแล้ว ต้องไปด้วยกันกับพี่น้องประชาชน เราจะระมัดระวังไม่ให้ประชาชนเสียใจ หรือจะผิดหวังแกนนำไม่ได้ เราไม่มีสิทธิทำการใดๆ โดยพลการ ไม่มีสิทธิทำให้ประชาชนเสียใจเพราะ 5 แกนนำ และองค์กรภาคประชาชนจะต้องเจริญก้าวหน้า และประสบชัยชนะอย่างแน่นอน
พิภพ ธงไชย
พรรคพันธมิตรคือพรรคของประชาชน
นายพิภพ ธงไชย กล่าว ว่า ประวัติศาสตร์จะต้องบันทึกไว้ในการต่อสู้มายาวยาวนานของพี่น้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่บาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 827 ราย รวมถึงการเสียเลือดเนื้อของพี่น้องในอดีตจะไม่สูญเปล่า การต่อสู้ของเราเพื่อต้องการขจัดนักการเมืองเลว ไม่และให้คนมีอำนาจที่ไม่ดีเข้ามาปกครองบ้านเมือง ซึ่งประวัติศาสตร์การเมืองจะต้องบันทึกว่าพรรคการเมืองของพันธมิตรฯมาจากมวลชนอย่างแท้จริงและจะเป็นของประชาชน
“พวกเราต่อสู้ด้วยการเสียเลือดเนื้อเสียชีวิต ด้วยความอดทนมาตลอด ถ้ามีฉันทามติตั้งพรรคการเมืองพ่อแม่พี่น้อง ต้องสัญญาว่า จะต้องร่วมสู้อยู่ด้วยกัน ทั้งนี้ 5 แกนนำพันธมิตรฯ ได้ปรึกษาและสัญญากันแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจะไม่ทิ้งประชาชนอย่างเด็ดขาด จะสร้างความเป็นธรรม ในทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างการเมืองใหม่ เพราะประเทศทนความฉิบหายต่อไปไม่ได้แล้ว เราไม่ได้”
นายพิภพกล่าวต่อว่า หากพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ มีมติจะตั้งพรรคการเมือง เราจะไม่ปิดตัวเองเฉพาะคนที่ร่วมชุมนุมในวันนี้เท่านั้น แต่เราพร้อมที่จะเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนของสังคมเข้ามาร่วม เข้ามามีส่วนร่วม แต่มีเงื่อนไข 3 ข้อ คือ 1.ต้องมีอุดมการณ์ตรงกันในชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ 2.ไม่สนับสนุนนักการเมืองให้มีการทุจริต คอร์รัปชัน 3.พร้อมต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมต่อสังคมไม่ใช่บุคคลใดบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
ดังนั้น เราควรมาร่วมใจกันทุกภาคส่วน ทุกสี ทุกกลุ่ม เราจะละลายสี ถ้าเห็นตรงกันเชิญมาร่วมได้เลย เราจะทำสิ่งที่ดีที่สุดสู่การเมืองใหม่ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศนี้ ที่มีการเชื่อมอุดมการณ์ทางการเมืองที่ปฏิบัติได้ โดยมีมวลชนให้การสนับสนุน